แชร์ประสบการณ์การลงทุนแบบพื้นฐานผสานเทคนิคค่ะ

สวัสดีค่ะ หลังจากอ่านกระทู้แชร์ประสบการณ์ในการลงทุนมาหลายกระทู้ วันนี้เราจึงอยากแชร์ประสบการณ์การลงทุนของตัวเองบ้างค่ะ ตั้งแต่เริ่มลงทุนมา เราก็ผ่านเหตุการณ์ขาดทุนมาหลายรูปแบบเลยค่ะ ซื้อตามข่าวบ้างเพื่อนบอกบ้าง ไลน์กระซิบบ้าง 555 ไม่ประสบความสำเร็จค่ะ

จนกระทั่งวันหนึ่งเรานอนคิดว่ามันต้องมีอะไรที่ผิดแน่ๆค่ะ เรียนหนังสือยังไม่เคยสอบตกเลยค่ะ  ทำไมมาสอบตกเรื่องการลงทุนได้ คิดไปคิดมา ก็พบว่าเราอาจจะยังเรียนรู้น้อยไปค่ะ เราคิดว่าตอนเรียนเรายังต้องตั้งใจเรียนศึกษาหาความรู้  ต้องทำแบบฝึกหัดบ่อยๆเพื่อเพิ่มความรู้และความชำนาญ เรื่องการลงทุนก็น่าจะเหมือนกัน เราจึงเปลี่ยนวิธีใหม่ค่ะ

หันมาซื้อหนังสือการลงทุน และตั้งใจศึกษาอย่างจริงจังค่ะจนกระทั่งเราได้มาพบกับหนังสือการลงทุนที่เปลี่ยนชีวิตเราค่ะ



หนังสือเล่มแรก คือ  Common Stocks and Uncommon Profits  หุ้นสามัญ กับ กำไรที่ไม่สามัญ ของฟิลลิป ฟิชเชอร์ เป็นแนวทางการลงทุนในหุ้นเติบโต ในหนังสือจะบอกถึงคุณสมบัติของหุ้นเติบโตค่ะ เราอ่านหลายรอบมากค่ะ อ่านจนกระทั่งมีหุ้นลอยเข้ามาในหัวเลยค่ะ มโนแรงมากค่ะ 555 แรกๆหุ้นก็ยังไม่ลอยมานะคะ เราต้องศึกษาหุ้นในตลาดให้มากขึ้นด้วยค่ะ เพราะถ้าเรารู้จักหุ้นน้อยจะไม่มีอะไรลอยเข้ามาค่ะ มโนไม่ออกค่ะ

หนังสือเล่มที่สอง คือ How to Make Money in Stocks ของ "วิลเลียม โอนีล"เล่มนี้เป็นการพูดถึงระบบ CANSLIM เพื่อใช้คัดกรองหุ้นค่ะ รวมถึงเป็นเล่มที่ทำให้เราสนใจศึกษาพฤติกรรมราคาหุ้นด้วยกราฟเทคนิคด้วยค่ะ การใช้กราฟเทคนิคประกอบการลงทุนของเราเราใช้แบบเรียบง่ายค่ะ ดูแนวโน้มของหุ้น และใช้การดู volume ซื้อ-ขาย ประกอบค่ะ เพราะเราเชื่อว่าการลงทุนควรเป็นอะไรที่เรียบง่ายและใช้ได้จริงค่ะ


เมื่อก่อนเราเคยคิดว่าความรู้การลงทุนแบบปัจจัยพื้นฐาน กับความรู้การลงทุนด้านกราฟเทคนิคเป็นเหมือนเสือสองตัวที่ไม่สามารถอยู่ถ้ำเดียวกันได้ แต่จากการลงทุนแล้วกลับพบว่า หากเราเลือกลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานดี ร่วมกับ การใช้กราฟเทคนิคประกอบนั้นมีส่วนช่วยให้การลงทุนของเราดีขึ้นค่ะ เหรียญมีสองด้านค่ะ  ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองแบบต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียค่ะ ข้อดีของการใช้กราฟเทคนิคคือ ทำให้เรารู้จังหวะเข้าซื้อ จังหวะขายที่ดีขึ้นค่ะ ส่วนข้อเสียคือ เมื่อเราขายแล้วหากเรากลับเข้ามาซื้อใหม่ในหุ้นตัวเดิมที่ราคาสูงขึ้นเราจะทำใจลำบากค่ะ ตรงนี้หากเราใช้ปัจจัยด้านพื้นฐานมาเสริมจะทำให้การลงทุนของเรามีจังหวะเข้าซื้อที่ดี และเราสามารถถือลงทุนได้นานจนกว่าพื้นฐานกิจการจะเปลี่ยนแปลงแล้วจึงขายค่ะ ช่วงเวลานั้นอาจนานหลายปีหรือหากเป็นหุ้นที่เติบโตยาวนานช่วงเวลาขายอาจไม่มีก็เป็นได้ค่ะ

ส่วนการศึกษาด้านปัจจัยพื้นฐาน ทำให้เราไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนของราคาหุ้นค่ะ เพราะเราทราบว่าบางช่วงที่หุ้นขึ้นแรงๆ หรือลงแรงๆ เป็นผลมาจากมีนักลงทุนที่ใช้ปัจจัยเทคนิคประกอบเข้าซื้อหุ้นพร้อมๆกัน เพราะสัญญาณบอกให้ซื้อค่ะ ช่วงขายก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราทราบแบบนี้เราจะไม่ตกใจเวลาที่หุ้นตกลงแรงๆ หรือไม่เหลิงในช่วงที่หุ้นกระชากขึ้นแรงๆเช่นกันค่ะ



การเลือกหุ้น


สมมติว่าหุ้นที่เราเลือกชื่อ 309

1. เลือกลงทุนในธุรกิจที่เราเข้าใจ
ควรศึกษา Business model ของตัวธุรกิจให้เข้าใจค่ะ ส่วนตัวเราจะศึกษา เว็บไซต์บริษัท  แบบรายงาน 56-1  Oppdayของบริษัท
            
2. คุณภาพของกิจการ


อัตราส่วนทางการเงินที่เราสนใจดูคือ
อัตรากำไรขึ้นต้น %GPM
อัตรากำไรสุทธิ  %NPM
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น  %ROE
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนสินทรัพย์ %ROA

อัตราส่วนทางการเงิน ทั้ง 4 ตัวนี้เราชอบให้สูงๆ ยิ่งเป็น 2 หลักยิ่งดี หากเจอกิจการไหนที่อัตราส่วนทางการเงินทั้ง 4 ตัวนี้เป็นเลข 2 หลักขึ้นไป เรียกได้ว่ากิจการคุณภาพดีระดับนางฟ้า (แต่มีจุดหนึ่งที่เราต้องระวังคือ ธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง และมีอัตรากำไรสุทธิสูง ธุรกิจแบบนี้มักดึงดูดคู่แข่งลงสู่สนามธุรกิจเดียวกัน) จึงควรวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจร่วมด้วย เพราะหากธุรกิจไม่มีจุดแข็งที่แตกต่างจากธุรกิจเดียวกัน ในระยะยาวอาจต้องสูญเสียความสามารถในการทำกำไรไป อาจนำไปสู่การตกต่ำลงของธุรกิจค่ะ

อัตราส่วนทั้ง 4 ตัวนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม (จะเขียนถึงในโอกาสต่อไป)
หนี้สินต่อทุน D/E ควรต่ำกว่า 1 (มีข้อยกเว้นบางกรณี)
P/E เราไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่เราเลือกลงทุนในหุ้นเติบโต ซึ่ง P/E จะสูงค่ะ

สรุป หุ้นตัวนี้ มีอัตราส่วนทางการเงินอยู่ในเกณฑ์ที่เรายอมรับได้ค่ะ ยิ้ม



3. งบการเงิน

จากงบการเงินจะเห็นได้ว่า

1. ยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เมื่อเทียบกัน 3 ไตรมาส
2. EBITDA สูงขึ้น
2. กำไรต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้น



จังหวะการเข้าซื้อหุ้น



หากเป็นนักลงทุนสายพื้นฐานจะใช้การประเมินราคาเหมาะสมเพื่อเข้าซื้อหุ้น  แต่ในที่นี้เราจะแชร์จังหวะการเข้าซื้อหุ้นโดยใช้กราฟเทคนิคอล ซึ่งเราเชื่อว่าความรู้ในแต่ละศาสตร์การลงทุนย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะที่ผ่านมาเราเห็นว่าในแต่ละศาสตร์การลงทุนนั้นก็มีทั้งผู้ที่ประสบความสำเร็จ และมีผู้ที่ล้มเหลวเช่นเดียวกันค่ะ


หุ้นที่อยู่ในช่วงจังหวะของการเติบโต
จะมีจังหวะในการเข้าหุ้นหลายจังหวะ
ขึ้นอยู่กับว่าเราค้นพบหุ้นตัวนี้เมื่อไหร่?




จากกราฟ เราเริ่มสนใจหุ้น 309 ตั้งแต่ช่วงที่มี Volume ซื้อเป็นปริมาณมากครั้งแรกตั้งแต่ก่อนสิงหาคม จากนั้นเราจึงเริ่มศึกษาพื้นฐานกิจการ ตัวธุรกิจทำการค้าอย่างไร วิเคราะห์ Business model และ วิเคราะห์ตัวธุรกิจตามหลัก SWOT analysis ถึงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรค เมื่อวิเคราะห์ตามหลักเกณฑ์การลงทุนที่เราวางไว้แล้ว เราก็ต้องมาประเมินว่าเราจะลงทุนหรือไม่? หากเราเลือกลงทุนเราจึงมาวางแผนการลงทุนต่อไปค่ะ

จากภาพจะเห็นได้ว่า เส้นสีน้ำเงินที่ขีดไว้เป็นเส้นแนวต้านที่หากราคาหุ้นผ่านขึ้นไปได้จะถือว่าเป็นการทะลุกรอบการ sideway ออกด้านข้าง แผนที่เราวางไว้คือ หากหุ้นยังเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ sideway เราไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานอีกเท่าไหร่จึงจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น เราใช้วิธีการที่เรียบง่ายที่สุดคือ "รอ"
เหรียญมีสองด้าน การจังหวะการเข้าซื้อหุ้นก็เช่นกันค่ะ หากเราเลือกซื้อหุ้นในจุดที่ต่ำที่สุด เราอาจพบกับราคาที่ต่ำกว่าเดิมก็เป็นได้ หากเราเลือกซื้อหุ้นที่ราคาทะลุกรอบแนว sideway แน่นอนว่าเราไม่ได้ซื้อหุ้นในราคาถูกที่สุด แต่ก็เป็นราคาที่แลกมากับการที่หุ้นจะเข้าสู่ช่วง "แนวโน้มขาขึ้น" เลย  ทุกวันเมื่อตลาดปิดเราจะเปิดกราฟดูว่าราคาทะลุกรอบ sideway ขึ้นมาหรือยัง หากยังไม่ทะลุก็ไม่ซื้อ จะเห็นว่าในภาพมีหลายครั้งที่ราคาเคลื่อนขึ้นมาแตะแนวต้าน แต่ก็ไหลลงไป (ตรงนี้หากใครเล่น swing trade เป็นก็สามารถทำกำไรได้จากการเล่นรอบค่ะ )



จนกระทั่งวันที่เรารอคอยก็มาถึง ราคา หุ้น309 สามารถทะลุกรอบ sideway  2.40 ขึ้นมาได้ เราจึงเข้าซื้อ




ถึงตรงนี้อยากบอกว่าเมื่อเราเจอธุรกิจใดที่น่าสนใจอยากให้ใจเย็นๆ เพราะหากเราใจร้อน ไม่วางแผนก่อนการลงทุนเราจะเสียโอกาสในจุดเข้าซื้อที่ดีที่สุดไป  และถึงแม้ว่าเราพลาดจุดเข้าซื้อครั้งแรกไปแล้ว ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ใจร้ายกับเรานัก  เราทุกคนรู้ดีว่าไม่มีหุ้นใดขึ้นทุกวัน เมื่อขึ้นไปแล้ววันหนึ่งก็จะ "หยุด"
แล้ว "ย่อตัว" ลง ตรงนี้เป็นโอกาสสำหรับคนที่มีหุ้นอยู่แล้วและอยากซื้อเพิ่ม หรือ หากใครยังไม่มีหุ้นแล้วอยากเข้าซื้อก็เป็นจังหวะซื้อที่ดีเช่นกันค่ะ



ความแตกต่างของหุ้นเติบโตกับหุ้นชนิดอื่น อยู่ที่ตรงนี้ค่ะ หุ้นเติบโตจะมีลักษณะการเติบโตสูงขึ้นไปตามพื้นฐานของผลประกอบการของธุรกิจที่มีกำไรมากขึ้น ราคาหุ้นจึงสามารถเติบโตสูงขึ้นได้จนกลายเป็นหุ้นหลายเด้ง แต่หากเป็นหุ้นเก็งกำไร ราคาจะสูงขึ้นในช่วงสั้นๆแต่หากกิจการไม่มีผลประกอบการที่ดี วันหนึ่งราคาจะตกลงดังเดิมค่ะ

ไม่ว่าเราใช้เครื่องมือใดเป็นตัวช่วยการลงทุนสิ่งที่เราต้องระลึกไว้เสมอคือ หุ้นไม่ได้ขึ้นลงตามความคิดที่เราอยากให้เป็นค่ะ แต่หุ้นขึ้นลงตามผลประกอบการของกิจการ สิ่งนี้เป็นหัวใจหลักของการลงทุนค่ะ



จากภาพด้านบน จะเห็นได้ว่าเมื่อหุ้นวิ่งทะลุกรอบ sideway ที่ 2.40 บาท หุ้นวิ่งขึ้นไปเป็นภาพของขาขึ้น
ภาพของขาขึ้นเป็นการลงทุนที่เราควรศึกษาให้มากค่ะ เพราะหุ้นแบบนี้แหละที่สามารถเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของเราได้ค่ะ

หุ้นที่เป็นขาขึ้นจะมีการทำ New high ครั้งที่ 1 แล้วย่อตัวลง หลังจากนั้นกลับตัวขึ้นไปทำ New high อีกครั้งที่ 2 และอาจทำ New high ขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนเป็นที่มาของหุ้นหลายเด้งที่เราเคยได้ยินกัน หุ้นสิบเด้งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อต้องมีเด้งแรกก่อน หากหุ้นที่เราลงทุนไม่มีเด้งแรกก็ไม่ควรฝันถึงหุ้นสิบเด้งค่ะ


ราคาหุ้นแต่ละครั้งที่ทำ New high จะสูงขึ้นกว่าเดิม จากนั้นราคาหุ้นจะย่อตัวลงมา  แต่เป็นการย่อแล้วขึ้นต่อเพื่อไปทำ New high ใหม่ลักษณะนี้เราเรียกว่า Throw back



จากภาพจะเห็นได้ว่าเมื่อเกิด Throw back (ครั้งแรกลูกศรสีเขียว และครั้งที่สองลูกศรสีเหลือง) หากราคาย่อลงไม่มาก ตอนกลับตัวขึ้นไป จะสามารถขึ้นไปได้แรง และหากเราดู volume ประกอบจะพบว่าช่วงที่ราคาหุ้นย่อตัวลงจากแรงขาย แรงขายนั้นแทบจะไม่มี volume เลยแปลว่ามีคนขายหุ้นออกมาน้อย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปตามพื้นฐานของหุ้น

หากเราลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี หากธุรกิจเติบโตดีมีกำไร เราเองก็ย่อมอยากลงทุนกับกิจการแบบนี้เป็นเวลานาน เปรียบได้กับเมื่อราคาหุ้นสูงขึ้นไปจึงมีปริมาณการขายหุ้นออกมาน้อย เพราะนักลงทุนยังคาดหวังกับการเติบโตต่อไปในอนาคต แต่หากนักลงทุนคนไหนที่ไม่เคยศึกษาพื้นฐานของธุรกิจเมื่อราคาหุ้นสูงขึ้นไป 5-10% ก็หวาดกลัวว่าหากไม่รีบขายทำกำไรแล้ว ราคาหุ้นอาจตกลงดังเดิมจึงเป็นที่มาของการขายหมูนั่นเอง จากประสบการณ์การลงทุนเราคิดว่าการลงทุนนั้นปัจจัยทางพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคเป็นสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลกันค่ะ  



จิตวิทยาการลงทุน


การลงทุนเป็นเรื่องสนุกเพราะมีอะไรให้ติดตามตลอดเวลาและเราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ค่ะ ถึงตรงนี้แล้วเราอยากแชร์ประสบการณ์การลงทุนของเราว่าการเลือกลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานดี เมื่อเราวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว เราควรลงทุนหุ้นให้เหมือนการลงทุนในธุรกิจ เพราะการลงทุนระยะยาวเป็นการลดความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้น โอกาสที่เราจะขาดทุนนั้นจึงน้อยลง

การลงทุนระยะยาวนั้นจะมีสองปัจจัยหลักที่ทำให้เราขาดทุนได้คือ ความโลภและความกลัว เมื่อเราโลภเราจะรีบร้อนเข้าซื้อในราคาสูงเกินไป  และเมื่อเรากลัวเราจะขายเร็วเกินไปดังนั้นนอกจากการศึกษาด้านพื้นฐานและเทคนิคอลแล้ว การศึกษาเรื่องจิตวิทยาการลงทุนก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ

การจดบันทึกการลงทุนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับเรามากค่ะ เราทุกคนสามารถพัฒนาตัวเองได้ด้วยการวิเคราะห์ว่าในอดีตเราลงทุนผิดพลาดเพราะอะไร แต่ละคนย่อมมีจุดที่ผิดพลาดแตกต่างกันไป หากเรารู้ว่าตัวเราเคยผิดพลาดในจุดไหน แล้วเรายอมรับความผิดพลาดนั้นด้วยตัวเราเอง แก้ไขสิ่งที่ผิดนั้นด้วยตัวเราเอง ประสบการณ์นี้จะทำให้เราเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองขึ้นจากเดิมค่ะ

ยิ้ม มากกว่าหุ้นคือการลงทุนในความรู้  ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่