คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 35
555 หลายความเห็นบอกว่าต้องรู้ประวัติศาสตร์ หรืออายุ50ปี ถึงจะดูแล้วเข้าใจ
แต่เราดูครั้งแรกตอน16-17 ประมาณ3-4ปีที่แล้ว ก็ชอบมากๆแล้วนะ แต่หลายอย่างก็เพิ่งรู้ว่าล้อประวัติศาสตร์ 555
ที่ชอบน่าจะเพราะหลงรักบุคลิกของGump ที่มองโลกในแง่ดีได้ตลอด ทำอะไรไปเรื่อยๆตามที่อยาก(เช่น ตอนออกไปวิ่ง) โดยไม่ต้องมีความหมาย ความคาดหวังอะไรเลย
ดูเป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ แล้วเราก็อยากทำได้บ้าง
จำได้ว่าตอนดูจบ รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่อิ่มเอมมากๆ ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ ทั้งทึ่งกับมุมมองมองของตัวเอกและหลายๆอย่างที่หนังสื่อออกมา
อาจจะเป็นเพราะเราอิน แล้วก็ชอบหนังแนวนี้อยู่แล้วด้วย คิดว่าถ้าคนอื่นที่ชอบแนวบู๊หรืออะไรประมาณนี้ อาจจะเฉยๆก็ได้
แต่เราดูครั้งแรกตอน16-17 ประมาณ3-4ปีที่แล้ว ก็ชอบมากๆแล้วนะ แต่หลายอย่างก็เพิ่งรู้ว่าล้อประวัติศาสตร์ 555
ที่ชอบน่าจะเพราะหลงรักบุคลิกของGump ที่มองโลกในแง่ดีได้ตลอด ทำอะไรไปเรื่อยๆตามที่อยาก(เช่น ตอนออกไปวิ่ง) โดยไม่ต้องมีความหมาย ความคาดหวังอะไรเลย
ดูเป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ แล้วเราก็อยากทำได้บ้าง
จำได้ว่าตอนดูจบ รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่อิ่มเอมมากๆ ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ ทั้งทึ่งกับมุมมองมองของตัวเอกและหลายๆอย่างที่หนังสื่อออกมา
อาจจะเป็นเพราะเราอิน แล้วก็ชอบหนังแนวนี้อยู่แล้วด้วย คิดว่าถ้าคนอื่นที่ชอบแนวบู๊หรืออะไรประมาณนี้ อาจจะเฉยๆก็ได้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
คนส่วนใหญ่ในสังคมชอบเอาชีวิตของตัวเองไปยึดติดกับอนาคต ยึดติดกับเป้าหมาย มองว่าชีวิตปัจจุบันเป็นช่วงที่ทนทุกข์
โลกเรามีคนอยู่ 2 ประเภท คือ "นักท่องเที่ยว" และ "นักเดินทาง"
ถ้าสมมติว่าเป้าหมายของทั้งคู่คือ ภูเขาเอเวอเรสต์
"นักท่องเที่ยว" จะทำยังไงก็ได้เพื่อให้ตัวเองไปถึงภูเขาให้เร็วที่สุด ไม่สนใจระหว่างทาง พุ่งไปที่จุดหมายปลายทางเป็นหลัก เขาไม่มีความสุขระหว่างการเดินทางเลย ความสุขของเขาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เขาไปถึงภูเขาเอเวอร์เรสต์แล้ว ดังนั้นหากภารกิจของเขาล้มเหลวหรือตายไปซะก่อน เขาจะรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองไร้ค่ามาก เพราะทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จ
แต่ "นักเดินทาง" จะไม่ยึดติดกับเป้าหมาย เขาจะโฟกัสไปกับสิ่งค่างๆที่เขาพบเห็นรอบตัว เดินทางแบบไม่รีบร้อน เหนื่อยก็พัก มีแวะถ่ายรูปตามจุดต่างบ้าง เขามีความสุขระหว่างการเดินทางมาก ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาในการเดินทางนานกว่า "นักท่องเที่ยว" หากภารกิจล้มเหลวระหว่างทาง เขาก็ไม่รู้สึกเสียดาย เพราะ ใช้ชีวิตคุ้มค่ามากพอแล้ว
ตัวละครอื่นๆในหนังเรื่อง Forrest Gump อย่าง เจนนี่ และ ผู้หมวดแดน จึงเป็นภาพแทนของ "นักท่องเที่ยว" พวกเขายึดติดกับความฝันและจุดหมายอันสูงสุด อยากเป็นนักร้องชื่อดัง อยากตายในสนามรบ แต่พอเป้าหมายล้มเหลว พวกเขากลับรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองไร้ค่า และกดตนเองให้ต่ำลง
ฟอเรสท์ กัมพ์ คือภาพแทนของ " นักเดินทาง" ชีวิตของเขาเป็นเหมือนขนนกที่ล่องลอยไปทั่ว เขาไม่รู้ว่าชีวิตของตัวเองจะเป็นอย่างไรต่อไป กัมพ์เป็นคนที่มีความสุขในทุกช่วงของชีวิต ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน เขาก็มีความสุขได้จากการมองโลกในแง่ดี กัมพ์เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ใน " ปัจจุบัน" กระตือรือร้นและสนุกสนานกับสิ่งที่กำลังทำอยู่อย่างเต็มที่ เล่นกีฬาก็มีความสุขกับการวิ่งและการหวดลูกปิงปองมากกว่าการทำแต้มคะแนน ขนาดอยู่ในค่ายทหารโหดๆ เขาก็รู้สึกสนุก มองว่ามันง่าย แค่ยืนตัวตรง ฟังคำสั่งก็พอแล้ว
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เปลี่ยนชีวิตผมเลย ทำให้ผมลดความอ้วนได้ เมื่อก่อนตอนอ้วน ผมเป็น "นักเที่ยวท่อง" ผมมองว่า ผมจะมีความสุขและมั่นใจในตัวเองได้ก็ต่อเมื่อ ผมผอมแล้ว ดังนั้นภารกิจก็คือต้องผอมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจึงออกกำลังกายและคุมอาหารอย่างหักโหม กินแบบอดๆอยาก แต่ก็ล้มเหลว เพราะผมไม่มีความสุขเลย
ดังนั้น ผมจึงเปลี่ยนมาเป็น "นักเดินทาง" ผมออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป กินอาหารที่มีประโยชน์ มีตามใจปากบ้างเล็กน้อย ใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน มีความสุขเวลาที่เหงื่ออกตอนออกกำลังกายและกินอาหารที่ดี วิธีนี้ใช้เวลานานมากกว่าผมจะลดได้ แต่มันกลับเป็นวิธีที่ได้ผลดีมากและยั่งยืนในระยายาว ตอนนี้หุ่นเฟริมแล้ว555
ขอบคุณ Foreest Gump
โลกเรามีคนอยู่ 2 ประเภท คือ "นักท่องเที่ยว" และ "นักเดินทาง"
ถ้าสมมติว่าเป้าหมายของทั้งคู่คือ ภูเขาเอเวอเรสต์
"นักท่องเที่ยว" จะทำยังไงก็ได้เพื่อให้ตัวเองไปถึงภูเขาให้เร็วที่สุด ไม่สนใจระหว่างทาง พุ่งไปที่จุดหมายปลายทางเป็นหลัก เขาไม่มีความสุขระหว่างการเดินทางเลย ความสุขของเขาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เขาไปถึงภูเขาเอเวอร์เรสต์แล้ว ดังนั้นหากภารกิจของเขาล้มเหลวหรือตายไปซะก่อน เขาจะรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองไร้ค่ามาก เพราะทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จ
แต่ "นักเดินทาง" จะไม่ยึดติดกับเป้าหมาย เขาจะโฟกัสไปกับสิ่งค่างๆที่เขาพบเห็นรอบตัว เดินทางแบบไม่รีบร้อน เหนื่อยก็พัก มีแวะถ่ายรูปตามจุดต่างบ้าง เขามีความสุขระหว่างการเดินทางมาก ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาในการเดินทางนานกว่า "นักท่องเที่ยว" หากภารกิจล้มเหลวระหว่างทาง เขาก็ไม่รู้สึกเสียดาย เพราะ ใช้ชีวิตคุ้มค่ามากพอแล้ว
ตัวละครอื่นๆในหนังเรื่อง Forrest Gump อย่าง เจนนี่ และ ผู้หมวดแดน จึงเป็นภาพแทนของ "นักท่องเที่ยว" พวกเขายึดติดกับความฝันและจุดหมายอันสูงสุด อยากเป็นนักร้องชื่อดัง อยากตายในสนามรบ แต่พอเป้าหมายล้มเหลว พวกเขากลับรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองไร้ค่า และกดตนเองให้ต่ำลง
ฟอเรสท์ กัมพ์ คือภาพแทนของ " นักเดินทาง" ชีวิตของเขาเป็นเหมือนขนนกที่ล่องลอยไปทั่ว เขาไม่รู้ว่าชีวิตของตัวเองจะเป็นอย่างไรต่อไป กัมพ์เป็นคนที่มีความสุขในทุกช่วงของชีวิต ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน เขาก็มีความสุขได้จากการมองโลกในแง่ดี กัมพ์เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ใน " ปัจจุบัน" กระตือรือร้นและสนุกสนานกับสิ่งที่กำลังทำอยู่อย่างเต็มที่ เล่นกีฬาก็มีความสุขกับการวิ่งและการหวดลูกปิงปองมากกว่าการทำแต้มคะแนน ขนาดอยู่ในค่ายทหารโหดๆ เขาก็รู้สึกสนุก มองว่ามันง่าย แค่ยืนตัวตรง ฟังคำสั่งก็พอแล้ว
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เปลี่ยนชีวิตผมเลย ทำให้ผมลดความอ้วนได้ เมื่อก่อนตอนอ้วน ผมเป็น "นักเที่ยวท่อง" ผมมองว่า ผมจะมีความสุขและมั่นใจในตัวเองได้ก็ต่อเมื่อ ผมผอมแล้ว ดังนั้นภารกิจก็คือต้องผอมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจึงออกกำลังกายและคุมอาหารอย่างหักโหม กินแบบอดๆอยาก แต่ก็ล้มเหลว เพราะผมไม่มีความสุขเลย
ดังนั้น ผมจึงเปลี่ยนมาเป็น "นักเดินทาง" ผมออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป กินอาหารที่มีประโยชน์ มีตามใจปากบ้างเล็กน้อย ใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน มีความสุขเวลาที่เหงื่ออกตอนออกกำลังกายและกินอาหารที่ดี วิธีนี้ใช้เวลานานมากกว่าผมจะลดได้ แต่มันกลับเป็นวิธีที่ได้ผลดีมากและยั่งยืนในระยายาว ตอนนี้หุ่นเฟริมแล้ว555
ขอบคุณ Foreest Gump
ความคิดเห็นที่ 7
ขอถามรสนิยมจขกท. ก่อนครับ ปกติดูหนังแนวไหนเป็นหลักครับ อยู่ดีๆ มีคนเอาส้มตำปูปลาร้ามาให้ผมกินผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน
พูดถึงหนังเรื่องนี้ เอาแง่เทคนิคการถ่ายทำก่อน ถือเป็นสุดยอดในยุคนั้นทีเดียว การที่ gump ไปโผล่ในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ได้ประหนึ่งอยู่ในยุคนั้นจริงๆ ถือเป็นเรื่องน่าประทับใจมาก แต่ถ้าพูดถึงมาตรฐานปัจจุบัน มันก็นะ...
การแสดงในเรื่องนี้มันสุดยอดตรงที่ gump เป็น autistic และคุณรับรู้ได้เลย โดยไม่ตะขิดตะขวงใจว่านั่น hank นะไม่ใช่ gump การเล่นบทแบบนี้ให้พอดีมันยาก ถ้าล้นคุณก็รู้ว่าแสดง ถ้าน้อยคุณก็บ่นว่าแข็ง
บท ง่ายๆ ตรงๆ ดูแล้วมีความหวังและอบอุ่นหัวใจ ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แต่ก็ดูดเราไว้ตลอด มันไม่ใช่เวลาดู series ที่แม้แสนง่วง ก็ต้องกดดูตอนต่อ เพราะอยากรู้จะเป็นยังไง แต่มันแค่ดูดเราไว้ เพราะเราเริ่มรู้สึกเหมือนกำลังดูเรื่องราวของเพื่อนคนนึง
และสุดท้ายคือดนตรี ถ้าคุณเปิดฟังในวันหยุดพร้อมกับกาแฟร้อน ก็ถือเป็นวันดีๆ วันนึงแล้วละ
ดนตรี
พูดถึงหนังเรื่องนี้ เอาแง่เทคนิคการถ่ายทำก่อน ถือเป็นสุดยอดในยุคนั้นทีเดียว การที่ gump ไปโผล่ในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ได้ประหนึ่งอยู่ในยุคนั้นจริงๆ ถือเป็นเรื่องน่าประทับใจมาก แต่ถ้าพูดถึงมาตรฐานปัจจุบัน มันก็นะ...
การแสดงในเรื่องนี้มันสุดยอดตรงที่ gump เป็น autistic และคุณรับรู้ได้เลย โดยไม่ตะขิดตะขวงใจว่านั่น hank นะไม่ใช่ gump การเล่นบทแบบนี้ให้พอดีมันยาก ถ้าล้นคุณก็รู้ว่าแสดง ถ้าน้อยคุณก็บ่นว่าแข็ง
บท ง่ายๆ ตรงๆ ดูแล้วมีความหวังและอบอุ่นหัวใจ ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แต่ก็ดูดเราไว้ตลอด มันไม่ใช่เวลาดู series ที่แม้แสนง่วง ก็ต้องกดดูตอนต่อ เพราะอยากรู้จะเป็นยังไง แต่มันแค่ดูดเราไว้ เพราะเราเริ่มรู้สึกเหมือนกำลังดูเรื่องราวของเพื่อนคนนึง
และสุดท้ายคือดนตรี ถ้าคุณเปิดฟังในวันหยุดพร้อมกับกาแฟร้อน ก็ถือเป็นวันดีๆ วันนึงแล้วละ
ดนตรี
ความคิดเห็นที่ 76
เคย อ่านเมื่อปีที่แล้ว ส่วนตัวผมชอบเรื่องนี้มาก.
เป็น บทความ จากเพจ. เบิกโรงซินีม่า
(มองมุมหนัง)
Forrest Gump (ภาพยนตร์)
ขนนก ไม้ปิงปอง รองเท้า หมวก และเหรียญเกียรติยศ
5 สิ่งของสะท้อนตัวตนของ "FORREST GUMP"
“Stupid is as stupid does.” โง่หรือฉลาดอยู่ที่ “การกระทำ” หาใช่ที่กายภายนอก
แม้ภายนอกฟอร์เรสต์จะดูทึ่มดูโง่ในสายตาของใครหลายคน แต่ด้วยซื่อตรงต่อ “ความคิด” และ “การกระทำ” ของตัวเอง
ทำให้ฟอร์เรสต์สามารถทำหลายสิ่ง และเป็นอะไรหลายๆ อย่างที่คนทั่วไปอาจไม่มีวันทำได้
หากมองไปที่ตัวเขาและลองเปิดกระเป๋าของฟอร์เรสต์เหมือนกับที่เราเปิดใจมองคนอื่น
เราจะเห็นว่าความดีงามของฟอร์เรสต์ ถูกบอกเล่าผ่านสิ่งของที่สะท้อนตัวตนของเขาได้อย่างดียิ่ง
.
(1) ขนนก : อย่าคิดมากกับชีวิตและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
..... ชีวิตของฟอร์เรสต์ไม่ต่างจาก “ขนนก” ที่ลอยล่องอยู่ในหนัง
..... คนส่วนใหญ่มักจะอยากลิขิตชีวิตตัวเอง แต่ฟอร์เรสต์ปล่อยให้ชะตาชีวิตลิขิตตัวเขา
..... เราจึงเห็นว่าฟอร์เรสต์เป็นคนไม่มีความฝัน ไม่อยากได้ ไม่เป็นอยาก ไม่อยากหวังอะไร มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาอยากเป็นจริงๆ
ก็คือ “การได้เป็นคนรักของเจนนี่”
..... ในขณะที่เจนนี่ ผู้หมวดแดน และบั๊บบ้า เป็นตัวแทนของการใช้ชีวิตแบบ “นก” ที่ต้องการโบยบิน
และกำหนดชีวิตด้วยตัวของตัวเอง
..... ฟอร์เรสต์ปล่อยชีวิตให้ลอยล่องดุจขนนกที่โดนลมพัด เขาใช้ชีวิตตาม “ครรลอง” ปกติของสังคม
..... เป็นเด็กดี เชื่อฟังครอบครัว ตั้งใจเรียนหนังสือ ทำงานให้มั่นคง สร้างครอบครัวให้แข็งแกร่ง และดูแลบ่มเพาะลูกชาย
ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นต่อไปให้เข้มแข็ง
..... ว่าจะเป็นไปชีวิตแบบฟอร์เรสต์ก็เปรียบเสมือน “กระแสหลัก” ของสังคม เป็นชีวิตพื้นฐานตามปกติที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้
..... ในขณะที่การใช้ชีวิตแบบเจนนี่เปรียบเสมือน “กระแสทางเลือก” ที่หลายคนต่างพยายามค้นหาตัวเอง
รวมทั้งสรรหาทางออกและวิถีใหม่ๆ ให้กับสังคม
..... แต่สุดท้ายก็ต้านทานการใช้ชีวิตในกระแสหลักไม่ได้ จนเจนนี่ต้องเลิกเป็นฮิปปี้ และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแบบทั่วไป
ทำงาน เลี้ยงลูก สร้างครอบครัว แบบเดียวกับวิถีของฟอร์เรสต์
(2) ไม้ปิงปอง : ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
..... ถึงแม้ฟอร์เรสต์จะไม่เคยตีปิงปองมาก่อน แต่ก็สามารถตีปิงปองได้ภายในครั้งแรก
..... คนธรรมดาอาจจะคิดว่าตีปิงปองให้เก่งเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับฟอร์เรสต์กลับทำได้ด้วยเทคนิคง่ายๆ ที่เพื่อนสอน
..... “ไม่ว่าจะเกิดอะไร อย่าละสายตาจากลูกปิงปองกลมๆ ลูกนี้เป็นอันขาด”
..... ตาต้องไว มือต้องเร็ว!! เป็นคุณสมบัติสำคัญมากในการเล่นปิงปอง
..... ฟอร์เรสต์อาจจะไม่รู้ แต่ด้วยวิถีการมองโลกแบบง่ายๆ ทำให้เขาทลายกำแพงที่หลายคนชอบก่อให้กับตัวเองว่า
“มันยากเกินไป เราคงทำมันไม่ได้หรอก”
..... ฟอร์เรสต์จริงจังกับการตีปิงปองไม่ยอมหยุดและฝึกมันจนชำนาญ เวลาผ่านไปไม่กี่เขาก็ได้เป็นตัวแทนทีมชาติไปแข่งกับต่างประเทศ
..... จะว่าไปการตีปิงปองก็ไม่ต่างจากการเล่น "อเมริกันฟุตบอล" และเป็น "ทหาร"
..... เล่นฟุตบอลให้เก่ง ก็แค่วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ส่วนการเป็นทหารที่หลายคนอาจจะมองว่ายากลำบากและเสี่ยงอันตราย
แต่ผู้ชายปัญญานิ่มอย่างฟอร์เรสต์กลับไปได้ดีกับการเป็นทหาร
..... เขามองว่าเป็นทหารก็ไม่ได้มีอะไรยากเลย แค่พูดคำว่า “ครับผม!” และทำทุกอย่างตามที่เขาสั่ง
..... การมองโลกแบบนี้ ก็คือ “การเคารพเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา” ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทหารทุกคนพึงมี
(3) รองเท้า : ทำอะไรทำให้เต็มที่ แล้วผลจะออกมาดีเอง
..... แม่บอกฟอร์เรสต์ว่า “เวลาดูคนให้ดูที่รองเท้า แล้วเราจะรู้ที่มาที่ไปของเขาดี” นั่นเพราะว่าสิ่งของอะไร
ย่อมสะท้อนถึงนิสัยและวินัยของคนใช้งาน
..... ในฉากเปิดเรื่องฟอร์เรสต์นั่งรอรถเมล์ด้วยรองเท้าที่เปื้อนโคลน ซึ่งบ่งบอกว่ารองเท้าคู่นี้น่าจะถูกใช้งานมาอย่างหนัก
..... ในขณะที่หญิงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ รองเท้ากลับขาวสะอาดเอี่ยม ราวกับว่าชีวิตของเธอยังผ่านโลกมาไม่มากนัก
..... แต่สำหรับฟอร์เรสต์รองเท้าของเขา สื่อให้เรารู้ว่าชีวิตของเขาผ่านอะไรมามากมาย เป็นนักอเมริกันฟุตบอล
เป็นวีรบุรุษสงคราม เป็นนักปิงปองทีมชาติ เป็นเจ้าของกิจการ และเป็นนักวิ่งที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคน
.....อะไรทำให้ฟอร์เรสต์ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้?
..... ฟอร์เรสต์ใช้ชีวิตแบบขนนก ไม่มีเป้าหมาย ไม่อยากได้ ไม่อยากฝันอะไรเป็นพิเศษ
..... ความสำเร็จของฟอร์เรสต์มาจากการการที่ “อยากทำอะไร ก็ทำมันให้เต็มที่” แม้เป้าหมายจะไม่ถูกตั้งเอาไว้
แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์มันจะออกมาดี เพราะเขาเป็นตัวอย่างของคนที่ "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด"
..... เช่นเดียวกับ “การวิ่ง” อยู่เฉยๆ ฟอร์เรสต์ก็ใส่รองเท้าที่เจนนี่ซื้อให้ และวิ่งออกไปอย่างไม่มีเป้าหมาย
..... ฟอร์เรสต์วิ่งข้ามรัฐไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นกระแสสังคมและกลายเป็นตัวอย่างให้หลายคนลุกขึ้นมาทำอะไรจริงๆ จังๆ อย่างที่ตัวเองตั้งใจ
..... หลายคนอาจคิดไปเองว่าเขาวิ่งเพื่อเสรีภาพ เพื่อคนยากจน เพื่อสตรี และเพื่อสังคม
..... แต่จริงๆ แล้วเขาวิ่ง เพราะแค่อยากวิ่งเท่านั้นเอง และเขาทำได้ดี แม้จะไม่มีเป้าหมายว่าจะวิ่งไปทำไม
(4) หมวก : รักเพื่อนและรักษาคำพูดของตัวเอง
.....ในสงครามที่เวียดนามฟอร์เรสต์กับบั๊บบ้าเหมือนพี่เหมือนน้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน
..... สองคนนี้มีความต่างกันมาก บั๊บบ้าฝันอยากเป็น “กัปตันเรือกุ้ง” ในขณะที่ฟอร์เรสต์เป็นคน “ไม่มีความฝัน”
..... แต่ถึงอย่างไรความแตกต่างกันก็ไม่ได้จำกัดมิตรภาพความเป็นเพื่อน
..... ฟอร์เรสต์บอกเอาไว้ว่า “บั๊บบ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง แม้แต่คนโง่ๆ อย่างเขาก็ยังรู้เลยว่า เพื่อนดีๆ มันหายากแค่ไหน”
..... บั๊บบ้าเคยชวนฟอร์เรสต์ลงขันทำธุรกิจเรือกุ้ง และเขาก็ตอบตกลง เมื่อบั๊บบ้าจากไปฟอร์เรสต์ก็ไม่ลืมที่จะรักษาคำพูด
และสานต่อความตั้งใจของเพื่อนรักคนนี้
..... เขารวบรวมเงินที่มีอยู่กับตัวซื้อเรือลำหนึ่งมาจับกุ้ง และต่อสู้กับอุปสรรคในการออกเรือ จนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจกุ้ง “Bubba-Gump”
..... และไม่ลืมที่จะยกส่วนแบ่งของบั๊บบ้าให้กับครอบครัวของเพื่อน จนกลายเป็นเศรษฐีและไม่ต้องเป็นคนรับใช้ทำครัวให้ใครกินอีกต่อไป
..... หมวก Bubba-Gump จึงเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า ฟอร์เรสต์ไม่เคยลืมและไม่เคยทอดทิ้งเพื่อนของตัวเอง
(5) เหรียญเกียรติยศ : ความกล้าหาญ
..... ฟอร์เรสต์ได้เป็นวีรบุรุษสงครามและได้รับเหรียญเกียรติยศ เขามอบมันให้กับเจนนี่
..... “ผมได้มันมาเพราะทำตามที่คุณบอก”
..... ก่อนไปสงครามเจนนี่บอกกับฟอร์เรสต์ว่า “ถ้าเจออะไร อย่าทำเป็นเก่ง ให้วิ่งหนีเลย” ฟอร์เรสต์ทำตามอย่างไม่มีกังขา
เขาเอาชีวิตรอดกลับได้ และยังช่วยทหารอีกหลายชีวิตให้รอดพ้นอีกด้วย
..... ฟอร์เรสต์วิ่งหลบกระสุนและระเบิดเข้าไปช่วยผู้หมวดแดน บั๊บบ้า และเพื่อนในกองทัพ
..... บางทีการมีเพื่อนที่อาจจะไม่ค่อยฉลาด แต่ซื่อสัตย์แบบฟอร์เรสต์ก็เป็นเรื่องดี เพราะถ้าฟอร์เรสต์กลายเป็นใครที่ฉลาดขึ้นมาอีกนิด
เขาอาจจะไม่ยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเอง เพื่อแลกกับชีวิตของคนอื่น
..... เขาอาจจะเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้งเหมือนที่คนฉลาดหลายๆ คน จ้องจะหยิบฉวยโอกาสดีๆ ให้กับตัวเอง
..... เหรียญกล้าหาญที่ฟอร์เรสต์ได้มา จึงเป็นของอีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนตัวตนอันน่ายกย่องของเขา
เครดิต. เพจ "เบิกโรงซินีม่า"
เป็น บทความ จากเพจ. เบิกโรงซินีม่า
(มองมุมหนัง)
Forrest Gump (ภาพยนตร์)
ขนนก ไม้ปิงปอง รองเท้า หมวก และเหรียญเกียรติยศ
5 สิ่งของสะท้อนตัวตนของ "FORREST GUMP"
“Stupid is as stupid does.” โง่หรือฉลาดอยู่ที่ “การกระทำ” หาใช่ที่กายภายนอก
แม้ภายนอกฟอร์เรสต์จะดูทึ่มดูโง่ในสายตาของใครหลายคน แต่ด้วยซื่อตรงต่อ “ความคิด” และ “การกระทำ” ของตัวเอง
ทำให้ฟอร์เรสต์สามารถทำหลายสิ่ง และเป็นอะไรหลายๆ อย่างที่คนทั่วไปอาจไม่มีวันทำได้
หากมองไปที่ตัวเขาและลองเปิดกระเป๋าของฟอร์เรสต์เหมือนกับที่เราเปิดใจมองคนอื่น
เราจะเห็นว่าความดีงามของฟอร์เรสต์ ถูกบอกเล่าผ่านสิ่งของที่สะท้อนตัวตนของเขาได้อย่างดียิ่ง
.
(1) ขนนก : อย่าคิดมากกับชีวิตและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
..... ชีวิตของฟอร์เรสต์ไม่ต่างจาก “ขนนก” ที่ลอยล่องอยู่ในหนัง
..... คนส่วนใหญ่มักจะอยากลิขิตชีวิตตัวเอง แต่ฟอร์เรสต์ปล่อยให้ชะตาชีวิตลิขิตตัวเขา
..... เราจึงเห็นว่าฟอร์เรสต์เป็นคนไม่มีความฝัน ไม่อยากได้ ไม่เป็นอยาก ไม่อยากหวังอะไร มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาอยากเป็นจริงๆ
ก็คือ “การได้เป็นคนรักของเจนนี่”
..... ในขณะที่เจนนี่ ผู้หมวดแดน และบั๊บบ้า เป็นตัวแทนของการใช้ชีวิตแบบ “นก” ที่ต้องการโบยบิน
และกำหนดชีวิตด้วยตัวของตัวเอง
..... ฟอร์เรสต์ปล่อยชีวิตให้ลอยล่องดุจขนนกที่โดนลมพัด เขาใช้ชีวิตตาม “ครรลอง” ปกติของสังคม
..... เป็นเด็กดี เชื่อฟังครอบครัว ตั้งใจเรียนหนังสือ ทำงานให้มั่นคง สร้างครอบครัวให้แข็งแกร่ง และดูแลบ่มเพาะลูกชาย
ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นต่อไปให้เข้มแข็ง
..... ว่าจะเป็นไปชีวิตแบบฟอร์เรสต์ก็เปรียบเสมือน “กระแสหลัก” ของสังคม เป็นชีวิตพื้นฐานตามปกติที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้
..... ในขณะที่การใช้ชีวิตแบบเจนนี่เปรียบเสมือน “กระแสทางเลือก” ที่หลายคนต่างพยายามค้นหาตัวเอง
รวมทั้งสรรหาทางออกและวิถีใหม่ๆ ให้กับสังคม
..... แต่สุดท้ายก็ต้านทานการใช้ชีวิตในกระแสหลักไม่ได้ จนเจนนี่ต้องเลิกเป็นฮิปปี้ และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแบบทั่วไป
ทำงาน เลี้ยงลูก สร้างครอบครัว แบบเดียวกับวิถีของฟอร์เรสต์
(2) ไม้ปิงปอง : ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
..... ถึงแม้ฟอร์เรสต์จะไม่เคยตีปิงปองมาก่อน แต่ก็สามารถตีปิงปองได้ภายในครั้งแรก
..... คนธรรมดาอาจจะคิดว่าตีปิงปองให้เก่งเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับฟอร์เรสต์กลับทำได้ด้วยเทคนิคง่ายๆ ที่เพื่อนสอน
..... “ไม่ว่าจะเกิดอะไร อย่าละสายตาจากลูกปิงปองกลมๆ ลูกนี้เป็นอันขาด”
..... ตาต้องไว มือต้องเร็ว!! เป็นคุณสมบัติสำคัญมากในการเล่นปิงปอง
..... ฟอร์เรสต์อาจจะไม่รู้ แต่ด้วยวิถีการมองโลกแบบง่ายๆ ทำให้เขาทลายกำแพงที่หลายคนชอบก่อให้กับตัวเองว่า
“มันยากเกินไป เราคงทำมันไม่ได้หรอก”
..... ฟอร์เรสต์จริงจังกับการตีปิงปองไม่ยอมหยุดและฝึกมันจนชำนาญ เวลาผ่านไปไม่กี่เขาก็ได้เป็นตัวแทนทีมชาติไปแข่งกับต่างประเทศ
..... จะว่าไปการตีปิงปองก็ไม่ต่างจากการเล่น "อเมริกันฟุตบอล" และเป็น "ทหาร"
..... เล่นฟุตบอลให้เก่ง ก็แค่วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ส่วนการเป็นทหารที่หลายคนอาจจะมองว่ายากลำบากและเสี่ยงอันตราย
แต่ผู้ชายปัญญานิ่มอย่างฟอร์เรสต์กลับไปได้ดีกับการเป็นทหาร
..... เขามองว่าเป็นทหารก็ไม่ได้มีอะไรยากเลย แค่พูดคำว่า “ครับผม!” และทำทุกอย่างตามที่เขาสั่ง
..... การมองโลกแบบนี้ ก็คือ “การเคารพเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา” ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทหารทุกคนพึงมี
(3) รองเท้า : ทำอะไรทำให้เต็มที่ แล้วผลจะออกมาดีเอง
..... แม่บอกฟอร์เรสต์ว่า “เวลาดูคนให้ดูที่รองเท้า แล้วเราจะรู้ที่มาที่ไปของเขาดี” นั่นเพราะว่าสิ่งของอะไร
ย่อมสะท้อนถึงนิสัยและวินัยของคนใช้งาน
..... ในฉากเปิดเรื่องฟอร์เรสต์นั่งรอรถเมล์ด้วยรองเท้าที่เปื้อนโคลน ซึ่งบ่งบอกว่ารองเท้าคู่นี้น่าจะถูกใช้งานมาอย่างหนัก
..... ในขณะที่หญิงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ รองเท้ากลับขาวสะอาดเอี่ยม ราวกับว่าชีวิตของเธอยังผ่านโลกมาไม่มากนัก
..... แต่สำหรับฟอร์เรสต์รองเท้าของเขา สื่อให้เรารู้ว่าชีวิตของเขาผ่านอะไรมามากมาย เป็นนักอเมริกันฟุตบอล
เป็นวีรบุรุษสงคราม เป็นนักปิงปองทีมชาติ เป็นเจ้าของกิจการ และเป็นนักวิ่งที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคน
.....อะไรทำให้ฟอร์เรสต์ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้?
..... ฟอร์เรสต์ใช้ชีวิตแบบขนนก ไม่มีเป้าหมาย ไม่อยากได้ ไม่อยากฝันอะไรเป็นพิเศษ
..... ความสำเร็จของฟอร์เรสต์มาจากการการที่ “อยากทำอะไร ก็ทำมันให้เต็มที่” แม้เป้าหมายจะไม่ถูกตั้งเอาไว้
แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์มันจะออกมาดี เพราะเขาเป็นตัวอย่างของคนที่ "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด"
..... เช่นเดียวกับ “การวิ่ง” อยู่เฉยๆ ฟอร์เรสต์ก็ใส่รองเท้าที่เจนนี่ซื้อให้ และวิ่งออกไปอย่างไม่มีเป้าหมาย
..... ฟอร์เรสต์วิ่งข้ามรัฐไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นกระแสสังคมและกลายเป็นตัวอย่างให้หลายคนลุกขึ้นมาทำอะไรจริงๆ จังๆ อย่างที่ตัวเองตั้งใจ
..... หลายคนอาจคิดไปเองว่าเขาวิ่งเพื่อเสรีภาพ เพื่อคนยากจน เพื่อสตรี และเพื่อสังคม
..... แต่จริงๆ แล้วเขาวิ่ง เพราะแค่อยากวิ่งเท่านั้นเอง และเขาทำได้ดี แม้จะไม่มีเป้าหมายว่าจะวิ่งไปทำไม
(4) หมวก : รักเพื่อนและรักษาคำพูดของตัวเอง
.....ในสงครามที่เวียดนามฟอร์เรสต์กับบั๊บบ้าเหมือนพี่เหมือนน้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน
..... สองคนนี้มีความต่างกันมาก บั๊บบ้าฝันอยากเป็น “กัปตันเรือกุ้ง” ในขณะที่ฟอร์เรสต์เป็นคน “ไม่มีความฝัน”
..... แต่ถึงอย่างไรความแตกต่างกันก็ไม่ได้จำกัดมิตรภาพความเป็นเพื่อน
..... ฟอร์เรสต์บอกเอาไว้ว่า “บั๊บบ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง แม้แต่คนโง่ๆ อย่างเขาก็ยังรู้เลยว่า เพื่อนดีๆ มันหายากแค่ไหน”
..... บั๊บบ้าเคยชวนฟอร์เรสต์ลงขันทำธุรกิจเรือกุ้ง และเขาก็ตอบตกลง เมื่อบั๊บบ้าจากไปฟอร์เรสต์ก็ไม่ลืมที่จะรักษาคำพูด
และสานต่อความตั้งใจของเพื่อนรักคนนี้
..... เขารวบรวมเงินที่มีอยู่กับตัวซื้อเรือลำหนึ่งมาจับกุ้ง และต่อสู้กับอุปสรรคในการออกเรือ จนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจกุ้ง “Bubba-Gump”
..... และไม่ลืมที่จะยกส่วนแบ่งของบั๊บบ้าให้กับครอบครัวของเพื่อน จนกลายเป็นเศรษฐีและไม่ต้องเป็นคนรับใช้ทำครัวให้ใครกินอีกต่อไป
..... หมวก Bubba-Gump จึงเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า ฟอร์เรสต์ไม่เคยลืมและไม่เคยทอดทิ้งเพื่อนของตัวเอง
(5) เหรียญเกียรติยศ : ความกล้าหาญ
..... ฟอร์เรสต์ได้เป็นวีรบุรุษสงครามและได้รับเหรียญเกียรติยศ เขามอบมันให้กับเจนนี่
..... “ผมได้มันมาเพราะทำตามที่คุณบอก”
..... ก่อนไปสงครามเจนนี่บอกกับฟอร์เรสต์ว่า “ถ้าเจออะไร อย่าทำเป็นเก่ง ให้วิ่งหนีเลย” ฟอร์เรสต์ทำตามอย่างไม่มีกังขา
เขาเอาชีวิตรอดกลับได้ และยังช่วยทหารอีกหลายชีวิตให้รอดพ้นอีกด้วย
..... ฟอร์เรสต์วิ่งหลบกระสุนและระเบิดเข้าไปช่วยผู้หมวดแดน บั๊บบ้า และเพื่อนในกองทัพ
..... บางทีการมีเพื่อนที่อาจจะไม่ค่อยฉลาด แต่ซื่อสัตย์แบบฟอร์เรสต์ก็เป็นเรื่องดี เพราะถ้าฟอร์เรสต์กลายเป็นใครที่ฉลาดขึ้นมาอีกนิด
เขาอาจจะไม่ยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเอง เพื่อแลกกับชีวิตของคนอื่น
..... เขาอาจจะเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้งเหมือนที่คนฉลาดหลายๆ คน จ้องจะหยิบฉวยโอกาสดีๆ ให้กับตัวเอง
..... เหรียญกล้าหาญที่ฟอร์เรสต์ได้มา จึงเป็นของอีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนตัวตนอันน่ายกย่องของเขา
เครดิต. เพจ "เบิกโรงซินีม่า"
แสดงความคิดเห็น
forrest gump ... สนุกตรงใหน ทำไมถึงขึ้นหิ้งเป็นหนังอมตะ ??
เพิ่งจะมาได้ดู ไม่กี่วันนี้เอง ... ดูจนจบก็ยังเฉย ๆ หน้านิ่ง ๆ
ถามความรู้สึกว่าเป็นไงบ้าง สนุกมั้ย ? ดีใหม ? ไม่มีคำตอบ จขกท ไม่มีไรจะพูดเลย
ถ้าถามว่า แล้วมันแย่หรอ ?? ห่วยหรอ ?? จขกท ก็ไม่มีคำตอบ ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน ...
แต่มีคำถามในหัวว่า ทำไมหนังถึงเป็นที่พูดถึงกันมาก บางสำนัก บางคนยกให้เป็นหนังขึ้นหิ้ง
ใครที่ประทับใจเรื่องนี้ ช่วยบอกหน่อยว่า หนังเรื่องนี้ดียังไง น่าประทับใจตรงใหน
ช่วยเล่าที เผื่อผมจะกลับไปดูเก็บรายระเอียดอีกรอบ