จากมุมมองของคนที่ไม่ชอบหนังขวัญใจนักวิจารณ์อย่าง "ARRIVAL"


ค่อนข้างแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเราไม่ชอบหนังขวัญใขนักวิจารณ์เรื่องนี้ ทั้งๆที่ผมชอบพล็อตเรื่องและโครงเรื่องหลักนะมันโอเคมากๆ แต่ด้วยพล็อตเรื่องแบบนี้มันน่าจะสนุกได้มากกว่านี้ เลยมานั่งครุ่นคิดและพบว่าผมไม่ชอบวิธีการดำเนินเรื่องนั่นเอง

พล็อตเรื่องของArrival มันเกี่ยวข้องกับการไขปริศนา การถอดรหัส(ภาษา) ดังนั้นผมจะแฮปปี้มากถ้าหนังดำเนินเรื่องชวนให้คนดูคิดตามคาดเดา ร่วมไขปริศนาไปพร้อมๆตัวละครหลุยส์(นางเอก) ไปทีละสเต็ป จนแปลแมสเสจจากผู้มาเยือนได้สำเร็จ (ฟิลลิ่งเดียวกับตอนดูดร.แอโรเวย์ถอดสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว จนสามารถสร้างยานอวกาศได้สำเร็จในContact หรือการที่เราได้ลุ้นตามเมิร์ฟ ในการแปลแมสเสจจากพ่อในมิติที่4(รึป่าวนะ) จนสามารถแก้สมการแรงโน้มถ่วงได้สำเร็จ จำได้ไหมครับฉากยูเรก้าในInterstellarมันสุดยอดขนาดไหน

ในขณะที่ ตอนเราดูArrival หนังกลับไม่ได้ชวนให้เราคิดตามเลยว่าสัญลักษณ์ต่างๆมันแปลว่าอะไร หนังทำหน้าที่ป้อนคนดูไปเรื่อยๆ ไม่ต้องการให้เราช่วยคิด แค่เชื่อไปตามที่นางเอกบอกก็พอ และพอนางเอกแปลออก เราในฐานะคนดูก็แค่ อ๋อหรอ โอเค เชิญข้อความต่อไปได้เลยจ่ะ! ที่รู้สึกไม่โอเคอีกอย่างคือความรู้ด้านภาษาศาสตร์ของนางเอกที่ถูกดึงมาใช้ในการแปลนั้น หนังก็เล่าแบบผิวๆมาก เราอยากรู้ขั้นตอนกระบวนการคิดของนางเอก ผ่านความสามารถพิเศษด้านภาษาของเธอ แต่สิ่งที่เราเห็นในหนังคือ นางกำลังนั่งคิดอยู่ มีพูดถึงกระบวนการคิดบ้างนิดนึง แล้วก็..อ๋อ รู้ละๆว่าแปลว่าอะไร (แค่เนี๊ย!)

ส่วนตัวละครอื่นๆในเรื่องแทบไม่มีประโยชน์ต่อเรื่องราวเลย เหมือนเจ้าหน้าที่ทั้งรัฐบาลไม่มีใครทำอะไรได้เลย  เรียกว่าตัดพระเอกออกไปก็แทบไม่กระทบโครงเรื่องหลัก  เราคิดว่าหนังควรเผยให้เราได้เห็นกระบวนการทำงานด้านอื่นๆ ของหน่วยงานอื่นๆบ้าง นี่เหมือนไปโฟกัสว่าถ้าแปลภาษาได้คือพอละ(แล้วถ้านางเอกแปลไม่ได้ละ หึ)  นี่กลายเป็นว่านางเอกเป็นความหวังเดียวของทั้งประเทศที่จะกู้โลกไปซะงั้น  และเมื่อนางเอกกลายเป็นตัวละครที่ต้องแบกหนังทั้งเรื่องไปแล้ว เสน่ห์ของตัวละครจึงสำคัญมากๆ แต่โดยส่วนตัวเรารู้สึกคาแรกเตอร์นางเอกไม่มีเสน่ห์เลย(โดยเฉพาะหน้าอมทุกข์อ่อนเพลียตลอดเวลาของหลุยส์) และเราไม่สามารถสัมผัสได้ถึงPassion ของนางเอกที่มีต่อภาระกิจนี้เลยซักนิด

โอเค เราพยายามคิดเข้าข้างผกก.ว่าเค้าต้องการเล่าเรื่องให้ดูจริงดูเรียล ไม่พยายามเร้าอารมณ์ เพียงแค่ให้เรารับรู้ถึงความรู้สึกนางเอกและคล้อยตามอารมณ์และการกระทำของนางเอกในขณะนั้นก็พอ ซึ่งก็ทำได้ดีนะ แต่มันไม่มากพอที่จะทำให้เราประทับใจตัวหนังได้ เราเลยคาดหวังว่าหนังจะโม้ถึงทฤษฎีวิทยาศาสตร์ใหม่ช็อคโลกที่จะได้จากเหตุการณ์นี้ หรืออภิปรัชญาคมๆที่หนังจะสื่อสารถึงคนดูอย่างเรา แต่พอดูจนจบเรื่องก็อ่าว....แค่นี้จริงๆหรอ???? 555

เราคิดว่าถ้าหนังจะบอกเราแค่นี้ หนังควรทำให้เราเอ็นจอยกับการแปลแมสเสจจากผู้มาเยือนให้มากกว่านี้(ด้วยการเดินเรื่องให้คนดูมีส่วนร่วมกับการแปลข้อความอย่างที่บอก) เพราะมันจะช่วยให้เรื่องราวในองค์3หนักแน่น และฉากหักมุมมันอิมแพคกับเราได้มากกว่านี้มากๆ หรืออาจจะมากกว่าฉากยูเรก้าในInterstellar ด้วยซ้ำ

อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกผิดหวังคือการสร้างอารมณ์ร่วมในแง่มุมของความตื่นกลัว ความสับสน ดีใจ ตื่นเต้น กับการปรากฎของผู้มาเยือน โอเคครับ ที่หนังแสดงให้เห็นถึงความโกลาหลไปทั่วโลก ทั้งการชุมนุม การต่อต้าน การจี้ปล้นต่างๆของเหล่ามนุษย์ทุกมุมโลก แต่หนังทำได้เพียงการ"แสดงให้เห็น" แต่ไม่ได้ทำให้เรา"รู้สึกร่วม" เราก็แค่อ๋อมีการประท้วงน้อ มีการจี้ปล้นน้อ ซึ่งเราคาดหวังว่าเราจะได้รับความรู้สึกดังที่กล่าวข้างต้นเหมือนตอนที่เราดูContact ,ET ,Close Encounters of the Third Kind ,The Signs หรือ The X-File ซึ่งบรรยากาศหรือความรู้สึกแบบนี้มันเรียกอะไรก็ไม่รู้ แต่มันเป็นเสน่ห์ของหนังที่พูดถึงการมาเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาว

ในส่วนของงานด้านเทคนิคภาพเสียง ดนตรีประกอบ ฉากต่างๆคือดีมากๆ ไม่มีอะไรให้ติ และช่วยดึงคนดูอย่างเราให้อยู่กับหนังได้อย่างยอดเยี่ยม

แต่เห็นด่าเยอะขนาดนี้ แต่ก็ยังยอมรับนะว่าหนังเรื่องนี้ดีพอที่จะซื้อตั๋วไปดูกัน เพราะขณะที่เราดูเราก็สนุกและอย่างที่บอกเราชอบพล็อตและโครงเรื่องของหนังเรื่องนี้มากๆ เพียงแต่เราคิดว่าการดำเนินเรื่องมันไม่ถูกจริตเราเท่านั้นเอง ซึ่งหากใครถูกจริตกับการเล่าเรื่องแบบนี้ก็น่าจะชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยากครับ

โดยรวมๆแล้ว ให้เทียบกับหนังที่เกี่ยวกับมนุษย์ที่ต้องสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวอันดับ1ในดวงใจอย่างContact เรื่องนี้ห่างชั้นในทุกๆทางครับ ทั้งในเชิงของการเล่าเรื่อง /ปรัชญา / การตั้งคำถามต่อคนดู / หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่