!SPOILER ALERT!

คือเราไม่ได้มีปัญหากับความเป็น musical ของหนัง จริงๆ เรากลับรู้สึกว่า ความเป็นหนังเพลงใน La La Land มันถูกเอามาเล่นใหม่ได้น่าสนใจตรงที่ตอนตั้นและตอนจบของหนัง ฉากที่ผู้คนออกมาร้องรำทำเพลงกันบนไฮเวย์ และฉากจินตนการถึงความรักที่ไม่มีวันได้มาพบกันอีกในตอนจบ ทั้งสองฉาก หนังเพลงถูกเอามาใช้เป็นไปเพื่อการปลดปล่อยความอันอั้นต่อสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในชีวิตจริง (ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างเมื่อวานเรานั่งรถเมย์กลับบ้าน รถเมย์ที่จับเราไปนั่งในห้องเก็บสัมภาระพร้อมกับคนอีกประมาณสิบคน สภาพดูไม่ได้ กลิ่นเหม็นอับ อากาศไม่ถ่ายเท รถโคลงเคลง ติดติดดับดับ เราไม่มีทางเลือก เราเลยเอาเพลงมานั่งฟัง ร้องเพลง แล้วเวลาที่ยากลำบากนั้นมันก็ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว น่าแปลก ที่เหตุการณ์นี้เกิดก่อนจะไปดู La La Land ไม่กี่ชั่วโมง)

เอาจริงๆ แล้วพาร์ทที่ร้องเพลงกันก็ไม่ได้มากมายอย่างที่คิด แบบใน The Umbrellas of Cherbourg (1964) ที่ร้องกันตลอดเวลา แล้วก็ไม่ได้ร้องเฉพาะเป็นฉากๆ อย่างใน Singin' in the Rain (1952) เรารู้สึกว่า La La Land เป็นส่วนผสมของ musical จากสองทวีป เป็นหนังที่ทำมาเพื่อจงใจคารวะหนังเพลง อย่างที่บอก เราไม่ได้ปัญหากับความเป็นหนังเพลง แต่เรามีปัญหากับการเอา “เนื้อหา” ในหนังเพลงยุคก่อนมาทำใหม่ในยุคนี้
เราว่ามันมีบทหลายๆ ตอนที่ไปยืมเอามาจากหนังเพลงอย่าง การล่มสลายของหนังเงียบ และการยอมปรับไปเป็นหนังเสียงเพื่ออยู่รอด ใน Singin' in the Rain (1952) กับการจางหายของเพลงแจ๊ส และการยอมไปเล่นดนตรีผสมผสานของเซบ การฝันถึงการตั้งชื่อลูก และตอนจบของหนังความรักไปคนละทิศคนละทาง ใน The Umbrellas of Cherbourg (1964) กับการตั้งชื่อบาร์ของเซบและมีญ่า เช่นเดียวกับตอนจบของ La La Land และคงมีอีกหลายๆ อย่างที่เราไม่ได้สังเกต ประกอบกับหนังเพลงยุคเก่า เราดูเมื่อหลายปีที่แล้ว เลยจำอะไรแทบไม่ได้ แถมหนังเพลงที่เราชอบมากๆ ก็ไมไ่ด้ถูกเอามาอ้างอิงใน La La Land เท่าไหร่ คือ A Star Is Born (1954) (เรื่องนี้จำได้ว่าตอนดูคิดแต่ว่าทำไม Esther เหมือนเลดี้ กาก้าได้ขนาดนี้ แล้วสุดท้าย นางก็จะได้มาแสดงจริงในเวอร์ชั่น 2017)
เมื่อหนังปฏิบัติตัวในฐานะหนังที่จงใจคารวะหนังยุคเก่าในระดับที่เอาเนื้อเรื่องเกือบทั้งเรื่องของหนังยุคเก่ามาวิพากย์ในสังคมร่วมสมัย ซึ่งไม่ใช่วิถีของการคารวะหนังยุคเก่าแบบหนังเราเราคุ้นชิน ที่มักเอามาบางส่วน อย่างในฉากเปลื้องผ้า By the Time It Gets Dark (2016) ที่จงใจคารวะ Contempt (1963) หรือภาพอิคอนใน Nymphomaniac (2013) ที่จงใจคารวะ Andrei Rublev (1966) ซึ่งเราก็เห็นความพยายามของคนเขียนบทที่ต้องเปลี่ยนรายละเอียดหลายๆอย่างในหนังยุคก่อนให้ร่วมสมัย
พาร์ทที่เรามีปัญหามากๆ คือ เรารู้สึกว่าตอนจบที่เดเมี่ยนพยายามอยากให้มันเหมือน The Umbrellas of Cherbourg (1964) ซึ่งในหนัง พระ-นาง จากกันเพราะสงครามอาณานิคมฝรั่งเศส ในยุคนั้น ยิ่งในภาวะสงครามการสื่อสารคงแย่จริงๆ ไม่เอื้ออำนวยให้ความรัก Geneviève จึงตกลงปลงใจกับ Cassard ทั้งๆที่เธอไม่ได้รัก แต่เพราะสภาวะแวดล้อมเอื้ออำนวย สุดท้ายทั้งคู่ก็มีเส้นทางของตัวเอง แต่ใน La La Land เรารู้สึกว่ามันง่ายไปหน่อยที่ทั้งคู่จะแยกจากกัน เพียงเพราะอาชีพ
หนังเองก็เน้นนำเสนอเรื่องราวของเซบมากกว่ามีญ่า เราเข้าใจน่าจะเพราะว่าเดเมี่ยนถนัดทำหนังดนตรี เรายังเห็นจุดอ่อนของพาร์ทการแสดง หรือการโชว์เต้นซึ่งเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ขาดไมไ่ด้ของหนังเพลง นี่เองอาจทำให้เดเมี่ยนเน้นนำเสนอผู้ชาย ตอนจบของหนังเราเลยรู้สึกไม่อิ่ม เรารับรู้เรื่องราวของฝ่ายชายมากกว่า เราก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว อาชีพนักแสดงกับนักดนตรี จะเป็นอุปสรรคความรักได้ขนาดไหน เพียงแต่เรายังไม่ได้รับเหตุผลมากพอว่าทำไมเขาจึงยอมแยกจากกัน ทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี จินตภาพในตอนท้ายก็บอกไม่ได้ว่าเป็นของใคร เซบหรือมีญ่า หรือทั้งคู่ แต่เราว่าที่แน่คนที่ยังมั่นคงในความรักคือเซบ คือยังตั้งชื่อบาร์ด้วยชื่อที่คนรักบอก ยังไม่มีคนรักใหม่ (หรือเปล่า) เราไม่รู้ว่าทำไมมีญ่าถึงยอมมีคนรักใหม่ ทั้งๆที่รักเซบปานจะกลืนกิน เป็นคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา

Damien Chazelle จากที่เราเห็นผลงานของเขาใน Whiplash (2014) หรือใน Guy and Madeline on a Park Bench (2009) เรื่องหลังนี่เราไม่ได้ดู แต่เห็นว่ามีส่วนผสมของจากทั้ง Bande à part (1964) และ The Umbrellas of Cherbourg (1964) และดนตรีแจ๊สของ Miles Davis ซึ่งผลงานหนังของเขาก็สะท้อนถึงการระบายความอัดอั้น ในฐานะที่เขาอยากเป็นมือกลองวงดนตรีแจ๊ส แต่เขาทำไม่ได้ ล้มเลิกความตั้งใจ แล้วหันมาเอาดีด้านการทำหนัง
เขายังเคยให้สัมภาษณ์ว่า หนังที่เขาเขียนบทให้ เช่น The Last Exorcism Part II (2013) หรือ 10 Cloverfield Lane (2016) ที่ดูเหมือนจะอยู่คนละจักรวาลกับหนังที่เดเที่ยนกำกับเอง ทั้งหมดก็ทำไปเพราะการว่าจ้าง ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็มีความฝันที่อยากมีหนังของตัวเอง ว่าไปก็คล้ายกับมีญ่าที่สุดท้ายเธอก็อยากเขียนบทละครให้ตัวเองทั้งที่ๆก็ไปแคสบทละครคนอื่น แล้วบทที่เธอได้เป็นนักแสดงจริงๆ ก็เป็นบทที่เธอมีส่วนร่วมในการเขียน (เธอร่วมสร้างคาแรกเตอร์ตัวละคร) หรืออย่างเซบเองที่ยอมเล่นดนตรีผสมผสานทั้งๆที่เขาก็มีฝันจะเป็นผับดนตรีแจ๊ส นั่นหมายถึงว่าการทำหนังสำหรับเดเมี่ยนก็เสมือนว่าเขาได้หลุดไปในโลกหนังเพลง ที่ๆ ทุกความฝันเป็นไปได้ เขาได้ไล่ล่าความฝันจนสำเร็จในเส้นทางของนักดนตรี ได้เป็นมือกลองแจ๊สสมใจ ใน Whiplash (2014) ซึ่งก็คล้ายกับฉากเริ่มและฉากจบของ La La Land เช่นกัน
เดเมี่ยนใช้เวลาทำงานเขียนบทหนังส่วนใหญ่ที่แอลเอ เขามีแนวคิดว่าอยากเอาสิ่งเก่าๆ มาเล่าในโลกปัจจุบันที่หลายๆ สิ่งดูเหมือนจะไม่ราบรื่นเสมอไป นั่นเป็นที่มาของ La La Land ที่เส้นทางก็ยากลำบาก เพราะดนตรีแจ๊สถูกมองว่าเป็น Genre ที่ตายแล้ว เขาไม่กล้าแม้กระทั้งจะเสนอบทในนายทุนหน้าไหน ซึ่งสุดท้ายก็ดิ้นรนจนได้ทำกับ Focus Features แต่จนแล้วจนรอด ค่ายหนังก็พยายามจะปรับเปลี่ยนบทหนัง ทั้งการเปลี่ยนพระเอกให้ชอบดนตรีร๊อค หรือจุดจบของหนังที่ไม่สมหวังก็ถูกบีบให้ต้องชื่นมื่น ในระหว่างที่เดเมี่ยนเองอยู่ระหว่างการตัดสินว่าจะล้มเลิกความฝันที่จะทำหนังเพลง หรือจะเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด Whiplash ก้ได้เข้าชิงออสการ์ห้าสาขา นั่นจึงนำชื่อเสียงและเครดิตมาสู่เดเมี่ยน และแล้วเขาก็ได้ทำอย่างที่เขาฝันไว้

La La Land จึงไม่ใช่เพียงหนังเพลงที่พูดถึงคนตัวเล็กๆ ในเมืองแอลเอที่อยากมีที่ทางของตัวเองในเมืองใหญ่แห่งนี้ ไม่ใช่เพียงหนังที่พูดถึงการเป็นลูกจ้างของเซบและมีญ่า กล้าออกมาล่าฝัน ท้อแท้ ล้มเลิก แล้วก็กลับมาสู้ใหม่ แต่ La La Land ส่วนหนึ่งก็คือรางวัลที่เฉลิมฉลองความสำเร็จในเส้นทางการทำหนังของเดเมี่ยน โดยที่สุดท้ายเดเมี่ยนจะได้หรือไม่ได้ออสการ์ก็ตามก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอีกต่อไป
หากวันนั้นเขาล้มเลิกความตั้งใจ กรีดเนื้อตัวเองแลกกับรายได้เล็กๆน้อยๆ ตามที่นายทุนสั่ง เราคงไม่ได้ดูหนังเพลงที่แม้ว่าสำหรับเราตอนจบมันขอจบง่ายไป แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ได้ปลุกกระแสของทั้งหนังเพลงเอง และแนวดนตรีแจ๊ส แต่นั่นก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ ที่สุดท้าย หนังเพลงจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งก็คงไม่ใช่เพราะ La La Land เพียงอย่างเดียว แต่ก็คงด้วยหลายปัจจัย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับทิศทางภาพยนตร์ต่อจากนี้
ที่แน่ๆ นี่คือห้วงเวลาที่นายเดเมี่ยนได้หลุดไปในโลกของเสียงเพลงอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าสุดท้ายเขาก็จะต้องตื่นขึ้นมาในโลกของความเป็นจริงก็ตาม
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยนะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: La La Land {Damien Chazelle}, 2016
เราว่ามันมีบทหลายๆ ตอนที่ไปยืมเอามาจากหนังเพลงอย่าง การล่มสลายของหนังเงียบ และการยอมปรับไปเป็นหนังเสียงเพื่ออยู่รอด ใน Singin' in the Rain (1952) กับการจางหายของเพลงแจ๊ส และการยอมไปเล่นดนตรีผสมผสานของเซบ การฝันถึงการตั้งชื่อลูก และตอนจบของหนังความรักไปคนละทิศคนละทาง ใน The Umbrellas of Cherbourg (1964) กับการตั้งชื่อบาร์ของเซบและมีญ่า เช่นเดียวกับตอนจบของ La La Land และคงมีอีกหลายๆ อย่างที่เราไม่ได้สังเกต ประกอบกับหนังเพลงยุคเก่า เราดูเมื่อหลายปีที่แล้ว เลยจำอะไรแทบไม่ได้ แถมหนังเพลงที่เราชอบมากๆ ก็ไมไ่ด้ถูกเอามาอ้างอิงใน La La Land เท่าไหร่ คือ A Star Is Born (1954) (เรื่องนี้จำได้ว่าตอนดูคิดแต่ว่าทำไม Esther เหมือนเลดี้ กาก้าได้ขนาดนี้ แล้วสุดท้าย นางก็จะได้มาแสดงจริงในเวอร์ชั่น 2017)
เมื่อหนังปฏิบัติตัวในฐานะหนังที่จงใจคารวะหนังยุคเก่าในระดับที่เอาเนื้อเรื่องเกือบทั้งเรื่องของหนังยุคเก่ามาวิพากย์ในสังคมร่วมสมัย ซึ่งไม่ใช่วิถีของการคารวะหนังยุคเก่าแบบหนังเราเราคุ้นชิน ที่มักเอามาบางส่วน อย่างในฉากเปลื้องผ้า By the Time It Gets Dark (2016) ที่จงใจคารวะ Contempt (1963) หรือภาพอิคอนใน Nymphomaniac (2013) ที่จงใจคารวะ Andrei Rublev (1966) ซึ่งเราก็เห็นความพยายามของคนเขียนบทที่ต้องเปลี่ยนรายละเอียดหลายๆอย่างในหนังยุคก่อนให้ร่วมสมัย
พาร์ทที่เรามีปัญหามากๆ คือ เรารู้สึกว่าตอนจบที่เดเมี่ยนพยายามอยากให้มันเหมือน The Umbrellas of Cherbourg (1964) ซึ่งในหนัง พระ-นาง จากกันเพราะสงครามอาณานิคมฝรั่งเศส ในยุคนั้น ยิ่งในภาวะสงครามการสื่อสารคงแย่จริงๆ ไม่เอื้ออำนวยให้ความรัก Geneviève จึงตกลงปลงใจกับ Cassard ทั้งๆที่เธอไม่ได้รัก แต่เพราะสภาวะแวดล้อมเอื้ออำนวย สุดท้ายทั้งคู่ก็มีเส้นทางของตัวเอง แต่ใน La La Land เรารู้สึกว่ามันง่ายไปหน่อยที่ทั้งคู่จะแยกจากกัน เพียงเพราะอาชีพ
หนังเองก็เน้นนำเสนอเรื่องราวของเซบมากกว่ามีญ่า เราเข้าใจน่าจะเพราะว่าเดเมี่ยนถนัดทำหนังดนตรี เรายังเห็นจุดอ่อนของพาร์ทการแสดง หรือการโชว์เต้นซึ่งเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ขาดไมไ่ด้ของหนังเพลง นี่เองอาจทำให้เดเมี่ยนเน้นนำเสนอผู้ชาย ตอนจบของหนังเราเลยรู้สึกไม่อิ่ม เรารับรู้เรื่องราวของฝ่ายชายมากกว่า เราก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว อาชีพนักแสดงกับนักดนตรี จะเป็นอุปสรรคความรักได้ขนาดไหน เพียงแต่เรายังไม่ได้รับเหตุผลมากพอว่าทำไมเขาจึงยอมแยกจากกัน ทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี จินตภาพในตอนท้ายก็บอกไม่ได้ว่าเป็นของใคร เซบหรือมีญ่า หรือทั้งคู่ แต่เราว่าที่แน่คนที่ยังมั่นคงในความรักคือเซบ คือยังตั้งชื่อบาร์ด้วยชื่อที่คนรักบอก ยังไม่มีคนรักใหม่ (หรือเปล่า) เราไม่รู้ว่าทำไมมีญ่าถึงยอมมีคนรักใหม่ ทั้งๆที่รักเซบปานจะกลืนกิน เป็นคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา
เขายังเคยให้สัมภาษณ์ว่า หนังที่เขาเขียนบทให้ เช่น The Last Exorcism Part II (2013) หรือ 10 Cloverfield Lane (2016) ที่ดูเหมือนจะอยู่คนละจักรวาลกับหนังที่เดเที่ยนกำกับเอง ทั้งหมดก็ทำไปเพราะการว่าจ้าง ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็มีความฝันที่อยากมีหนังของตัวเอง ว่าไปก็คล้ายกับมีญ่าที่สุดท้ายเธอก็อยากเขียนบทละครให้ตัวเองทั้งที่ๆก็ไปแคสบทละครคนอื่น แล้วบทที่เธอได้เป็นนักแสดงจริงๆ ก็เป็นบทที่เธอมีส่วนร่วมในการเขียน (เธอร่วมสร้างคาแรกเตอร์ตัวละคร) หรืออย่างเซบเองที่ยอมเล่นดนตรีผสมผสานทั้งๆที่เขาก็มีฝันจะเป็นผับดนตรีแจ๊ส นั่นหมายถึงว่าการทำหนังสำหรับเดเมี่ยนก็เสมือนว่าเขาได้หลุดไปในโลกหนังเพลง ที่ๆ ทุกความฝันเป็นไปได้ เขาได้ไล่ล่าความฝันจนสำเร็จในเส้นทางของนักดนตรี ได้เป็นมือกลองแจ๊สสมใจ ใน Whiplash (2014) ซึ่งก็คล้ายกับฉากเริ่มและฉากจบของ La La Land เช่นกัน
เดเมี่ยนใช้เวลาทำงานเขียนบทหนังส่วนใหญ่ที่แอลเอ เขามีแนวคิดว่าอยากเอาสิ่งเก่าๆ มาเล่าในโลกปัจจุบันที่หลายๆ สิ่งดูเหมือนจะไม่ราบรื่นเสมอไป นั่นเป็นที่มาของ La La Land ที่เส้นทางก็ยากลำบาก เพราะดนตรีแจ๊สถูกมองว่าเป็น Genre ที่ตายแล้ว เขาไม่กล้าแม้กระทั้งจะเสนอบทในนายทุนหน้าไหน ซึ่งสุดท้ายก็ดิ้นรนจนได้ทำกับ Focus Features แต่จนแล้วจนรอด ค่ายหนังก็พยายามจะปรับเปลี่ยนบทหนัง ทั้งการเปลี่ยนพระเอกให้ชอบดนตรีร๊อค หรือจุดจบของหนังที่ไม่สมหวังก็ถูกบีบให้ต้องชื่นมื่น ในระหว่างที่เดเมี่ยนเองอยู่ระหว่างการตัดสินว่าจะล้มเลิกความฝันที่จะทำหนังเพลง หรือจะเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด Whiplash ก้ได้เข้าชิงออสการ์ห้าสาขา นั่นจึงนำชื่อเสียงและเครดิตมาสู่เดเมี่ยน และแล้วเขาก็ได้ทำอย่างที่เขาฝันไว้
หากวันนั้นเขาล้มเลิกความตั้งใจ กรีดเนื้อตัวเองแลกกับรายได้เล็กๆน้อยๆ ตามที่นายทุนสั่ง เราคงไม่ได้ดูหนังเพลงที่แม้ว่าสำหรับเราตอนจบมันขอจบง่ายไป แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ได้ปลุกกระแสของทั้งหนังเพลงเอง และแนวดนตรีแจ๊ส แต่นั่นก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ ที่สุดท้าย หนังเพลงจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งก็คงไม่ใช่เพราะ La La Land เพียงอย่างเดียว แต่ก็คงด้วยหลายปัจจัย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับทิศทางภาพยนตร์ต่อจากนี้
ที่แน่ๆ นี่คือห้วงเวลาที่นายเดเมี่ยนได้หลุดไปในโลกของเสียงเพลงอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าสุดท้ายเขาก็จะต้องตื่นขึ้นมาในโลกของความเป็นจริงก็ตาม
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยนะครับ https://www.facebook.com/survival.king