นี่กระทู้แรกของเรา สวัสดีนะคะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

ตามหัวข้อค่ะ ความฝันที่อยากเป็นนู่นเป็นนี่ หรือ ความจริงคือสิ่งที่กำลังเรียนอยู่จะจบแล้วนี้
แนะนำตัวก่อนนะ คือ เราเรียนกายภาพบำบัดจ้า ปี4 เรียนก็เฉยๆนะไม่ใช่ว่าไม่ชอบแล้วก็ไม่ใช่ว่าชอบ เกรดก็ไม่ได้ดีแล้วก็ไม่ได้แย่อ่ะ ที่เลือกตอนนั้นเพราะสอบอันที่อยากเรียนไม่ติดเพราะเราเรียนไม่เก่งอะเด็กหลังห้องติดเล่นด้วยเลยไม่มีอะไรให้เลือกได้มากเหมือนคนอื่น มาอัพตัวเองก็ตอนมหาลัยเพราะโตแล้วคิดได้แล้วมั้ง ที่เลือกกายภาพบำบัดเพราะมันเหมาะกับบุคคลิกเรา ลุยๆค่ะ ซึ่งก็เรียนมาจะจบในไม่ช้าแล้ว แต่เรามีปัญหาที่ยังคิดไม่ตก เกี่ยวกับความจริงเราชอบอะไรกันแน่ ที่เรียนอยู่ชอบแล้วมั้ย แล้วความฝันคือเราอยากเรียนในสิ่งที่ชอบซึ่งมี 2 อย่าง แล้วเราควรเลือกอะไร .. อารมณ์เหมือนเด็กม.6กำลังจะต่อมหาลัย งงๆ สับสนๆ คิดไม่ตก ..คิดมา 4 ปี แล้วนี่ก็จนเรียนจะจบก็ยังตอบคำถามไม่ได้เลยสักข้อว่าชอบแล้วหรือเปล่า แต่ก็เรียนมาจนจะจบแล้ว มันถึงเวลาแล้วหล่ะค่ะ ถึงเวลาแล้วที่ต้องตัดสินใจ ว่าชีวิตจะไปทางไหน จะอยู่กับความจริงหรือทำตามฝันต่อไป
ตอนนี้มีความคิดมันมีเข้ามามากมาย ทำตามฝันที่อยากเรียนแพทย์บ้างเอย หรือพอแล้วฝันก้มหน้าก้มตาเรียนโทต่อด้านที่เรียนอยู่บ้างเอยทำตามความจริงที่เป็นไป หรือทำตามฝันเล็กๆอีกข้อที่อยากเรียนการบินอยากเป็นนักบินบ้างเอย ซึ่งมันก็ตลกนะ เพราะ 2 อย่างแรกมันก็ดูตรงไปตรงมา ยังโยงกับสิ่งที่เราเรียนมา แต่น่าตลกตรงอันสุดท้าย ดูออกจะฉีกออกมาเลยกับอันอื่นๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีอีกตัวเลือกนะคืออยู่กับความจริงจบมาแล้วเราจะทำงานเลย
แต่เดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟังว่าจุดเริ่มต้นความฝันเรา ที่มีทั้ง 2 อย่าง มันมาจากอะไร??
1. เรียนแพทย์
มันก็เป็นสิ่งที่เราคิดอยากเรียนอยากเป็นแต่เด็กๆ ไม่ใช่เพราะถูกปลูกฝังหรืออย่างไรก็ตาม มันเกิดจากความชอบ ชอบด้วยใจที่บริสุทธิ์ก็ว่าได้ เพราะชอบแต่เด็กๆ ไม่ได้ชอบเพราะถูกกกดดันหรือบังคับแต่อย่างใดจนโตมาจนรู้ว่าเรียนหมอมันเหนื่อยอย่างนู้นอย่างนี้มันก็ยังอยากเรียนอยู่ เคยจำได้ว่าครั้งนึงตอนที่เป็นเด็กๆยายป่วยแล้วต้องไปโรงพยาลประจำจังหวัดในตอนดึกๆมากแล้วซึ่งเราก็จำเวลาไม่ได้ แต่รู้ว่าถูกปลุกให้พายายมาหาหมอ มีพ่อ แม่ พี่และเรา พายายไปโรงพยาบาล ตอนไปถึงเค้าก็พาไปตรวจนู่นนี่นั่น เรายังคงจำเรื่องราวต่างๆได้ดีไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่มันก็ยังคงจำบรรยากาศ ความรู้สึก สิ่งที่เห็น ถึงจะไม่ละเอียดเท่าตอนที่เกิดขึ้นตอนนั้นแต่มันก็ยังคงชัดเจนอยู่บ้างในความคิด ในตอนนั้นยายต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลในคืนนั้นเลย พยาบาลกับแม่ก็พายายไปนอนที่ห้องผู้ป่วยรวม มันเป็นตึกที่ค่อนข้างสูงมองออกมานอกระเบียงก็เห็นแสงไฟจากบ้านช่องไม่มากไม่น้อยเพราะตึกไม่ได้สูงนัก ไฟถนนสีส้มๆที่สว่างขึ้นมาบนตึกตรงแถวตึกฝั่งตรงข้ามที่เตี้ยกว่าก็จะเห็นมีญาติคนไข้นั่งๆนอนๆกัน และมองเข้าไปตรงห้องรวมที่ยายนอนก็พอมีแสงไฟเล็กน้อยให้พยาบาลคอยช่วยเหลือคนไข้ได้ มองออกมาตามระเบียงก็จะเห็นญาติคนไข้นั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นกันเยอะเหมือนกัน พอช่วงตอนกลับมาขึ้นรถเพราะเราไม่ได้นอนเฝ้ายาย ก็เห็นคนมาหยิบบัตรคิว แล้วนั่งรอตรวจกันแต่มืดแต่ดึก ในใจก็นึกว่า ทำไมต้องมารอกันแต่ตอนนี้ แล้วไม่รู้ว่าความคิดที่ดังหรืออะไรสักอย่างก็ได้ยินเสียงคนถามพยาบาลว่า "
หมอมาตรวจกี่โมง" พยาบาลตอบว่ากี่โมงหรือตอบว่าอะไร เราก็จำไม่ได้ แต่ที่จำได้คือคำพูดของคนที่ถามพูดต่อจากที่พยาบาลพูดจบว่า "
ไม่รู้ ไม่รู้แล้วงี้ใครจะเฝ้าหลานให้ฉันหล่ะ" .. แค่นี้ความคิดทุกอย่างความสงสัยทุกอย่างก็พุ่งเข้ามา แต่ก็พอจำได้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่โทษหมอ ..ทำไม ทำไมต้องมาช้ามาสาย คนเค้ารอกันจะแย่ งานการก็มีก็ต้องทำ แล้วทำไมต้องอดหลับอดนอนมารอแล้วไม่รู้ว่าจะเจอ จะตรวจตอนไหน แต่พอโตมาอีกหน่อยพอไปโรงพยาบาลหรือเจอหมอก็จะมีภาพเหตุการณ์นี้มาตลอดในหัว จนโตเข้ามัธยมก็เริ่มคิดได้ว่านี่แหละ นี่คงเป็นสิ่งที่เราอยากเป็น ถ้าเราได้เป็นหมอ เราคงจะมาให้ตรงเวลาถึงมันจะทำยากก็ตามเพราะเราเริ่มรู้เริ่มเห็นมากขึ้นว่าที่หมอบางคนมาช้ามาตรวจสายบางที่เค้าอดหลับอดนอนบ้างมาด้วยสติที่ไม่ครบ 100 บ้าง แล้วยิ่งเราเรียนกายภาพบำบัดได้ฝึกงานในโรงพยาบาลต่างๆได้ขึ้นวอร์ดบ้าง เจอหน้าหมอบางคนบอกบุญไม่รับไม่รู้ว่ามันจะพังอะไรขนาดนั้น นศพ.บางคนเจอแล้วก็งงว่านี่นศพ.หรือศพกันแน่ โทรมเหลือเกิน มาราวกันด้วยร่างไร้วิญญาณบ้าง มือไม้อ่อนเวลาจับปากกาเขียนชาตขอบตาที่ผ่านสงครามมาอย่างหนักหน่วงบ้างก็ทำให้พอจะเข้าใจว่าทำไมหมอบางคนมาสายมาช้า แต่ก็ยังทำให้เรายังอยากเป็นหมออยู่ดีและถ้าได้เป็นหมอคงไปอยู่ไกลๆที่ที่เข้ามายาก จะเข้ามาทีก็ต้องฝากบ้านฝากลูกหลานทีมาแล้วก็ต้องรีบกลับไป ถ้าเราได้เป็นคงดี คงไปอยู่ในที่แถวนั้น พวกเค้าจะได้ไม่ต้องลำบากเข้ามาถึงตัวเมืองเพื่อมารับการรักษาอะไรแบบนี้ และนี่แหละมั้งคงเป็นจุดเริ่มต้นของความฝัน แต่ด้วยความที่เป็นเด็กและคิดไม่ได้ก็เลยทำให้ติดเล่นและไม่ตั้งใจเต็มที่เลยทำให้ไม่ตั้งใจเรียนไม่ตั้งใจอ่านจริงๆ จนมาถึงตอนม.6 ความคิดแปลกใหม่ก็เข้ามาเพิ่มให้ชีวิต มีจุดหมายที่เจาะจงกว่าเดิม จำไม่ได้ว่าเพราะอะไรหรือพบเจออะไรที่อยากทำให้เป็นหมอทหาร ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าเราเป็นหมอทหารการเข้าไปในที่ชนบทในพื้นที่ต่างๆคงง่าย เพราะด้วยความที่เราเป็นทหาร ถ้ามีเรื่องอะไรที่มันลำบากๆหรือไปพวกชายแดน ยังไงๆเค้าก็คงต้องเลือกทหารเข้าไป แล้วถ้าเราเป็นหมอทหาร มันก็ตอบโจทย์กับสิ่งที่คิดแล้วไม่ใช่หรอ เพราะฉะนั้นความคิดนี้ก็ผุดเข้ามาทำให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น แต่เพราะความขี้เกียจที่เป็นปัญหาหลักและความติดเล่นของเด็กก็ทำให้แพทย์พระมงกุฎที่หวังไว้พังลงไม่เป็นท่า จนมาตอนนี้เรียนป.ตรีจะจบแล้วกลับมาคิดกี่ทีหรือเห็นหมอพระมงกุฎที่ไหนก็ตามก็ยังรู้สึกน้อยใจตัวเอง โทษตัวเองทุกครั้ง มันคือความผิดพลาดจริงๆที่ตอนนั้นไม่ตั้งใจให้มากๆ กว่าจะรู้ตัวก็สาย เพราะแพทย์พระมงกุฎไม่รับเด็กซิ่ว แต่ก็ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีที่มีแพทย์ทหารอากาศเข้ามา ทำให้เรายังคงมีโอกาสอยู่บ้าง ครั้งนี้เรารู้เป้าหมายตัวเอง เรารู้ความต้องการตัวเอง ถ้ามันจะใช่มันก็ต้องใช่ แต่แค่เราต้องพยายามจริงๆ พยายามให้มาก มากที่สุด แต่เพราะเราเรียนไม่เก่งเลยออกจะโง่ด้วยซ้ำ คะแนนต่างๆและเกรดรวมต่างๆตอนจบมัธยมมาก็ไม่ได้ดีอะไรเลยเทียบเป็นอับดับก็เด็กท้ายห้องแหละ ก็คงต้องพยายาม พยายามมากว่าคนอื่นหลายร้อยเท่า แต่เราก็พยายามสอบมาตลอด ทุกรอบทุกครั้งนะแต่ก็ไม่ได้สักที
2. อยากเรียนการบิน อยากเป็นนักบิน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็คงเพราะแต่เด็กๆแล้วมั้ง ชอบเครื่องบิน งานวันเด็กนี่พลาดไม่ได้เลยค่ะ ต้องอ้อนที่บ้านให้พาไปดูเครื่องบิน ชอบมองมันดูสบาย มันดูโล่ง มันดูอิสระ ยิ่งถ้าได้ไปปีนไปจับไปนั่งที่คนขับจับปุ่ม มองเรดาห์นี่ฟินไป3วัน8วันเลยค่ะ เวลาไปเที่ยวที่ต้องผ่านสนามบินดอนเมืองก็ชอบบอกพ่อว่าขึ้นทางด่วนได้ไหม อยากดูเครื่องบินแล้วก็ต้องนั่งประจำการข้างหน้าต่างรถฝั่งที่ติดกับสนามบินไม่ว่าจะยังก็จะมองทุกครั้ง ถ้าไม่ได้ขึ้นทางด่วนก็ยังคงพยายามมองถึงจะมองไม่เห็นก็ตาม ทุกวันนี้ผ่านก็ยังมอง ทุกครั้งที่มองมันจะมีความคิดเข้ามาในใจว่ามันขับยากไหม ถ้าเราขับจะทำได้ไหม ต้องรู้อะไรเยอะแยะแค่ไหนต้องเก่งแค่ไหนถึงขับได้ จนทุกวันนี้แค่ออกไปวิ่งออกกำลังกายนอกบ้าน แค่ได้ยินเสียงเครื่องบินยังต้องมองหาเลย ไม่รู้ทำไม ตอนม.6 ก็คิดอยากต่อการบิน อยากเป็นนักบิน แต่ก็มีคนแนะนำว่าถ้าอยากเรียนด้านนี้ ภาษาต้องได้ ซึ่งอย่างที่ว่าเราเรียนไม่เก่ง เป็นเด็กก็ยังติดเล่น และในตอนนั้นที่บ้านก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่ เลยต้องเลิกล้มความคิดไปแบบเซ็งๆ แต่พอโตมาเริ่มคิดได้เริ่มเข้าใจว่า คนเรามันพัฒนากันได้ ถ้าเราอยากเรียนจริงๆ เรื่องภาษามันหัดกันได้ แล้วลองไปคุยกับที่บ้านดีๆ เค้าก็คงต้องรับฟังเราอยู่
ส่วนเรื่องความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้อ่ะหรอ เรากำลังจะจบแล้วไง เราจะทิ้งความฝันแล้วทำตามความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้ดีมั้ย ซึ่งก็มี 2ตัวเลือกเหมือนกัน
1. อยากเรียนโท
พอได้เรียนกายภาพบำบัดนี้ และสอบหมอไม่ได้สักที ความคิดใหม่ที่จะเรียนโทต่อที่มันเกี่ยวกับที่เรียนก็มีให้ไปต่อเฉพาะด้านได้ ถ้าได้เรียนต่อก็คงดีละมั้งเฉพาะด้านไปเลย จบมาทำงานก็เป็นคุณสมบัติที่ดีอย่างนึงละมั้ง
2.อยากทำงานเลย
นี่ก็เป็นความคิดนึงที่แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จบมาก็อยากทำงานกันเลย อยากเอาความรู้ที่มีมาใช้จริงๆไฟมันแรงอยู่เน๊าะ แต่สำหรับตัวเรามันเป็นความลังเล ใจนึงก็อยากทำงานเลยจะได้เอาที่เรียนมาไปใช้เลยเหมือนคนอื่นๆ แต่อีกใจนึงก็ยังไม่อยากทำ ไม่มั่นใจว่าความรู้ที่มีมันจะเอาไปใช้ได้จริงๆมั้ย แล้วถ้าเราทำผิด ถ้าเราทำไม่ได้ ถ้ารักษาไม่หายทำไงละทีนี้ แต่เข้าใจแหละคนเราไม่ใช่เทวดาที่รักษาทีเดียวแล้วหาย มันก็ต้องมีหายบ้างไม่หายบ้าง ดูจากที่พูดๆมามันเหมือนความกลัวซะมากกว่า แต่งานสมัยนี้ก็หายากจริงๆนะเออ
ก็อย่างที่เล่าค่ะคุณผู้โชมมมมม ..แต่ด้วยอะไรก็ไม่รู้ก็มาลงเอยเรียนกายภาพบำบัดจนมาถึงตอนนี้เวลาผ่านไป 4 ปี จนจะจบเร็วๆนี้แล้ว ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าอยากเรียนอะไร ชอบอะไร อยากเป็นอะไร และถึงเวลาต้องเลือกว่าจะทำตามฝันที่มีเรียนต่อป.ตรีอีกใบ หรือพอแล้วฝันอยู่กับความจริงจะเรียนต่อโทหรือจะทำงาน ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปทิศทางไหนดี เวลาให้คิดก็คิดมานาน คิดมาตลอด 4 ปี แล้วจนตอนนี้เวลาก็จะหมดแล้วก็ยังคิดไม่ได้ซะที ด้วยเหตุผลต่างๆมันก็เป็นเหตุผลของความชอบที่ต่างกันไปปนๆกับความกลัวบ้าง แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้
นี่แหละค่ะ ตามนั้นแลเลยอยากถามชาวพันทิปที่มีประสบการณ์พวกความลังเลพวกนี้ช่วยให้ข้อมูลหรือแชร์ประสบการณ์วิธีการตัดสินใจให้ทีเถอะค่ะ
ปล.ขอบคุณนะคะที่อ่านความยาวยืดเยื้อนี้มาจนจบ ขอบคุณมากๆค่ะ

ความฝันที่มีหรือความจริงที่เป็น .. ควรเลือกอะไร??
ตามหัวข้อค่ะ ความฝันที่อยากเป็นนู่นเป็นนี่ หรือ ความจริงคือสิ่งที่กำลังเรียนอยู่จะจบแล้วนี้
แนะนำตัวก่อนนะ คือ เราเรียนกายภาพบำบัดจ้า ปี4 เรียนก็เฉยๆนะไม่ใช่ว่าไม่ชอบแล้วก็ไม่ใช่ว่าชอบ เกรดก็ไม่ได้ดีแล้วก็ไม่ได้แย่อ่ะ ที่เลือกตอนนั้นเพราะสอบอันที่อยากเรียนไม่ติดเพราะเราเรียนไม่เก่งอะเด็กหลังห้องติดเล่นด้วยเลยไม่มีอะไรให้เลือกได้มากเหมือนคนอื่น มาอัพตัวเองก็ตอนมหาลัยเพราะโตแล้วคิดได้แล้วมั้ง ที่เลือกกายภาพบำบัดเพราะมันเหมาะกับบุคคลิกเรา ลุยๆค่ะ ซึ่งก็เรียนมาจะจบในไม่ช้าแล้ว แต่เรามีปัญหาที่ยังคิดไม่ตก เกี่ยวกับความจริงเราชอบอะไรกันแน่ ที่เรียนอยู่ชอบแล้วมั้ย แล้วความฝันคือเราอยากเรียนในสิ่งที่ชอบซึ่งมี 2 อย่าง แล้วเราควรเลือกอะไร .. อารมณ์เหมือนเด็กม.6กำลังจะต่อมหาลัย งงๆ สับสนๆ คิดไม่ตก ..คิดมา 4 ปี แล้วนี่ก็จนเรียนจะจบก็ยังตอบคำถามไม่ได้เลยสักข้อว่าชอบแล้วหรือเปล่า แต่ก็เรียนมาจนจะจบแล้ว มันถึงเวลาแล้วหล่ะค่ะ ถึงเวลาแล้วที่ต้องตัดสินใจ ว่าชีวิตจะไปทางไหน จะอยู่กับความจริงหรือทำตามฝันต่อไป
ตอนนี้มีความคิดมันมีเข้ามามากมาย ทำตามฝันที่อยากเรียนแพทย์บ้างเอย หรือพอแล้วฝันก้มหน้าก้มตาเรียนโทต่อด้านที่เรียนอยู่บ้างเอยทำตามความจริงที่เป็นไป หรือทำตามฝันเล็กๆอีกข้อที่อยากเรียนการบินอยากเป็นนักบินบ้างเอย ซึ่งมันก็ตลกนะ เพราะ 2 อย่างแรกมันก็ดูตรงไปตรงมา ยังโยงกับสิ่งที่เราเรียนมา แต่น่าตลกตรงอันสุดท้าย ดูออกจะฉีกออกมาเลยกับอันอื่นๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีอีกตัวเลือกนะคืออยู่กับความจริงจบมาแล้วเราจะทำงานเลย
แต่เดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟังว่าจุดเริ่มต้นความฝันเรา ที่มีทั้ง 2 อย่าง มันมาจากอะไร??
1. เรียนแพทย์
มันก็เป็นสิ่งที่เราคิดอยากเรียนอยากเป็นแต่เด็กๆ ไม่ใช่เพราะถูกปลูกฝังหรืออย่างไรก็ตาม มันเกิดจากความชอบ ชอบด้วยใจที่บริสุทธิ์ก็ว่าได้ เพราะชอบแต่เด็กๆ ไม่ได้ชอบเพราะถูกกกดดันหรือบังคับแต่อย่างใดจนโตมาจนรู้ว่าเรียนหมอมันเหนื่อยอย่างนู้นอย่างนี้มันก็ยังอยากเรียนอยู่ เคยจำได้ว่าครั้งนึงตอนที่เป็นเด็กๆยายป่วยแล้วต้องไปโรงพยาลประจำจังหวัดในตอนดึกๆมากแล้วซึ่งเราก็จำเวลาไม่ได้ แต่รู้ว่าถูกปลุกให้พายายมาหาหมอ มีพ่อ แม่ พี่และเรา พายายไปโรงพยาบาล ตอนไปถึงเค้าก็พาไปตรวจนู่นนี่นั่น เรายังคงจำเรื่องราวต่างๆได้ดีไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่มันก็ยังคงจำบรรยากาศ ความรู้สึก สิ่งที่เห็น ถึงจะไม่ละเอียดเท่าตอนที่เกิดขึ้นตอนนั้นแต่มันก็ยังคงชัดเจนอยู่บ้างในความคิด ในตอนนั้นยายต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลในคืนนั้นเลย พยาบาลกับแม่ก็พายายไปนอนที่ห้องผู้ป่วยรวม มันเป็นตึกที่ค่อนข้างสูงมองออกมานอกระเบียงก็เห็นแสงไฟจากบ้านช่องไม่มากไม่น้อยเพราะตึกไม่ได้สูงนัก ไฟถนนสีส้มๆที่สว่างขึ้นมาบนตึกตรงแถวตึกฝั่งตรงข้ามที่เตี้ยกว่าก็จะเห็นมีญาติคนไข้นั่งๆนอนๆกัน และมองเข้าไปตรงห้องรวมที่ยายนอนก็พอมีแสงไฟเล็กน้อยให้พยาบาลคอยช่วยเหลือคนไข้ได้ มองออกมาตามระเบียงก็จะเห็นญาติคนไข้นั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นกันเยอะเหมือนกัน พอช่วงตอนกลับมาขึ้นรถเพราะเราไม่ได้นอนเฝ้ายาย ก็เห็นคนมาหยิบบัตรคิว แล้วนั่งรอตรวจกันแต่มืดแต่ดึก ในใจก็นึกว่า ทำไมต้องมารอกันแต่ตอนนี้ แล้วไม่รู้ว่าความคิดที่ดังหรืออะไรสักอย่างก็ได้ยินเสียงคนถามพยาบาลว่า "หมอมาตรวจกี่โมง" พยาบาลตอบว่ากี่โมงหรือตอบว่าอะไร เราก็จำไม่ได้ แต่ที่จำได้คือคำพูดของคนที่ถามพูดต่อจากที่พยาบาลพูดจบว่า "ไม่รู้ ไม่รู้แล้วงี้ใครจะเฝ้าหลานให้ฉันหล่ะ" .. แค่นี้ความคิดทุกอย่างความสงสัยทุกอย่างก็พุ่งเข้ามา แต่ก็พอจำได้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่โทษหมอ ..ทำไม ทำไมต้องมาช้ามาสาย คนเค้ารอกันจะแย่ งานการก็มีก็ต้องทำ แล้วทำไมต้องอดหลับอดนอนมารอแล้วไม่รู้ว่าจะเจอ จะตรวจตอนไหน แต่พอโตมาอีกหน่อยพอไปโรงพยาบาลหรือเจอหมอก็จะมีภาพเหตุการณ์นี้มาตลอดในหัว จนโตเข้ามัธยมก็เริ่มคิดได้ว่านี่แหละ นี่คงเป็นสิ่งที่เราอยากเป็น ถ้าเราได้เป็นหมอ เราคงจะมาให้ตรงเวลาถึงมันจะทำยากก็ตามเพราะเราเริ่มรู้เริ่มเห็นมากขึ้นว่าที่หมอบางคนมาช้ามาตรวจสายบางที่เค้าอดหลับอดนอนบ้างมาด้วยสติที่ไม่ครบ 100 บ้าง แล้วยิ่งเราเรียนกายภาพบำบัดได้ฝึกงานในโรงพยาบาลต่างๆได้ขึ้นวอร์ดบ้าง เจอหน้าหมอบางคนบอกบุญไม่รับไม่รู้ว่ามันจะพังอะไรขนาดนั้น นศพ.บางคนเจอแล้วก็งงว่านี่นศพ.หรือศพกันแน่ โทรมเหลือเกิน มาราวกันด้วยร่างไร้วิญญาณบ้าง มือไม้อ่อนเวลาจับปากกาเขียนชาตขอบตาที่ผ่านสงครามมาอย่างหนักหน่วงบ้างก็ทำให้พอจะเข้าใจว่าทำไมหมอบางคนมาสายมาช้า แต่ก็ยังทำให้เรายังอยากเป็นหมออยู่ดีและถ้าได้เป็นหมอคงไปอยู่ไกลๆที่ที่เข้ามายาก จะเข้ามาทีก็ต้องฝากบ้านฝากลูกหลานทีมาแล้วก็ต้องรีบกลับไป ถ้าเราได้เป็นคงดี คงไปอยู่ในที่แถวนั้น พวกเค้าจะได้ไม่ต้องลำบากเข้ามาถึงตัวเมืองเพื่อมารับการรักษาอะไรแบบนี้ และนี่แหละมั้งคงเป็นจุดเริ่มต้นของความฝัน แต่ด้วยความที่เป็นเด็กและคิดไม่ได้ก็เลยทำให้ติดเล่นและไม่ตั้งใจเต็มที่เลยทำให้ไม่ตั้งใจเรียนไม่ตั้งใจอ่านจริงๆ จนมาถึงตอนม.6 ความคิดแปลกใหม่ก็เข้ามาเพิ่มให้ชีวิต มีจุดหมายที่เจาะจงกว่าเดิม จำไม่ได้ว่าเพราะอะไรหรือพบเจออะไรที่อยากทำให้เป็นหมอทหาร ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าเราเป็นหมอทหารการเข้าไปในที่ชนบทในพื้นที่ต่างๆคงง่าย เพราะด้วยความที่เราเป็นทหาร ถ้ามีเรื่องอะไรที่มันลำบากๆหรือไปพวกชายแดน ยังไงๆเค้าก็คงต้องเลือกทหารเข้าไป แล้วถ้าเราเป็นหมอทหาร มันก็ตอบโจทย์กับสิ่งที่คิดแล้วไม่ใช่หรอ เพราะฉะนั้นความคิดนี้ก็ผุดเข้ามาทำให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น แต่เพราะความขี้เกียจที่เป็นปัญหาหลักและความติดเล่นของเด็กก็ทำให้แพทย์พระมงกุฎที่หวังไว้พังลงไม่เป็นท่า จนมาตอนนี้เรียนป.ตรีจะจบแล้วกลับมาคิดกี่ทีหรือเห็นหมอพระมงกุฎที่ไหนก็ตามก็ยังรู้สึกน้อยใจตัวเอง โทษตัวเองทุกครั้ง มันคือความผิดพลาดจริงๆที่ตอนนั้นไม่ตั้งใจให้มากๆ กว่าจะรู้ตัวก็สาย เพราะแพทย์พระมงกุฎไม่รับเด็กซิ่ว แต่ก็ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีที่มีแพทย์ทหารอากาศเข้ามา ทำให้เรายังคงมีโอกาสอยู่บ้าง ครั้งนี้เรารู้เป้าหมายตัวเอง เรารู้ความต้องการตัวเอง ถ้ามันจะใช่มันก็ต้องใช่ แต่แค่เราต้องพยายามจริงๆ พยายามให้มาก มากที่สุด แต่เพราะเราเรียนไม่เก่งเลยออกจะโง่ด้วยซ้ำ คะแนนต่างๆและเกรดรวมต่างๆตอนจบมัธยมมาก็ไม่ได้ดีอะไรเลยเทียบเป็นอับดับก็เด็กท้ายห้องแหละ ก็คงต้องพยายาม พยายามมากว่าคนอื่นหลายร้อยเท่า แต่เราก็พยายามสอบมาตลอด ทุกรอบทุกครั้งนะแต่ก็ไม่ได้สักที
2. อยากเรียนการบิน อยากเป็นนักบิน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็คงเพราะแต่เด็กๆแล้วมั้ง ชอบเครื่องบิน งานวันเด็กนี่พลาดไม่ได้เลยค่ะ ต้องอ้อนที่บ้านให้พาไปดูเครื่องบิน ชอบมองมันดูสบาย มันดูโล่ง มันดูอิสระ ยิ่งถ้าได้ไปปีนไปจับไปนั่งที่คนขับจับปุ่ม มองเรดาห์นี่ฟินไป3วัน8วันเลยค่ะ เวลาไปเที่ยวที่ต้องผ่านสนามบินดอนเมืองก็ชอบบอกพ่อว่าขึ้นทางด่วนได้ไหม อยากดูเครื่องบินแล้วก็ต้องนั่งประจำการข้างหน้าต่างรถฝั่งที่ติดกับสนามบินไม่ว่าจะยังก็จะมองทุกครั้ง ถ้าไม่ได้ขึ้นทางด่วนก็ยังคงพยายามมองถึงจะมองไม่เห็นก็ตาม ทุกวันนี้ผ่านก็ยังมอง ทุกครั้งที่มองมันจะมีความคิดเข้ามาในใจว่ามันขับยากไหม ถ้าเราขับจะทำได้ไหม ต้องรู้อะไรเยอะแยะแค่ไหนต้องเก่งแค่ไหนถึงขับได้ จนทุกวันนี้แค่ออกไปวิ่งออกกำลังกายนอกบ้าน แค่ได้ยินเสียงเครื่องบินยังต้องมองหาเลย ไม่รู้ทำไม ตอนม.6 ก็คิดอยากต่อการบิน อยากเป็นนักบิน แต่ก็มีคนแนะนำว่าถ้าอยากเรียนด้านนี้ ภาษาต้องได้ ซึ่งอย่างที่ว่าเราเรียนไม่เก่ง เป็นเด็กก็ยังติดเล่น และในตอนนั้นที่บ้านก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่ เลยต้องเลิกล้มความคิดไปแบบเซ็งๆ แต่พอโตมาเริ่มคิดได้เริ่มเข้าใจว่า คนเรามันพัฒนากันได้ ถ้าเราอยากเรียนจริงๆ เรื่องภาษามันหัดกันได้ แล้วลองไปคุยกับที่บ้านดีๆ เค้าก็คงต้องรับฟังเราอยู่
ส่วนเรื่องความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้อ่ะหรอ เรากำลังจะจบแล้วไง เราจะทิ้งความฝันแล้วทำตามความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้ดีมั้ย ซึ่งก็มี 2ตัวเลือกเหมือนกัน
1. อยากเรียนโท
พอได้เรียนกายภาพบำบัดนี้ และสอบหมอไม่ได้สักที ความคิดใหม่ที่จะเรียนโทต่อที่มันเกี่ยวกับที่เรียนก็มีให้ไปต่อเฉพาะด้านได้ ถ้าได้เรียนต่อก็คงดีละมั้งเฉพาะด้านไปเลย จบมาทำงานก็เป็นคุณสมบัติที่ดีอย่างนึงละมั้ง
2.อยากทำงานเลย
นี่ก็เป็นความคิดนึงที่แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จบมาก็อยากทำงานกันเลย อยากเอาความรู้ที่มีมาใช้จริงๆไฟมันแรงอยู่เน๊าะ แต่สำหรับตัวเรามันเป็นความลังเล ใจนึงก็อยากทำงานเลยจะได้เอาที่เรียนมาไปใช้เลยเหมือนคนอื่นๆ แต่อีกใจนึงก็ยังไม่อยากทำ ไม่มั่นใจว่าความรู้ที่มีมันจะเอาไปใช้ได้จริงๆมั้ย แล้วถ้าเราทำผิด ถ้าเราทำไม่ได้ ถ้ารักษาไม่หายทำไงละทีนี้ แต่เข้าใจแหละคนเราไม่ใช่เทวดาที่รักษาทีเดียวแล้วหาย มันก็ต้องมีหายบ้างไม่หายบ้าง ดูจากที่พูดๆมามันเหมือนความกลัวซะมากกว่า แต่งานสมัยนี้ก็หายากจริงๆนะเออ
ก็อย่างที่เล่าค่ะคุณผู้โชมมมมม ..แต่ด้วยอะไรก็ไม่รู้ก็มาลงเอยเรียนกายภาพบำบัดจนมาถึงตอนนี้เวลาผ่านไป 4 ปี จนจะจบเร็วๆนี้แล้ว ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าอยากเรียนอะไร ชอบอะไร อยากเป็นอะไร และถึงเวลาต้องเลือกว่าจะทำตามฝันที่มีเรียนต่อป.ตรีอีกใบ หรือพอแล้วฝันอยู่กับความจริงจะเรียนต่อโทหรือจะทำงาน ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปทิศทางไหนดี เวลาให้คิดก็คิดมานาน คิดมาตลอด 4 ปี แล้วจนตอนนี้เวลาก็จะหมดแล้วก็ยังคิดไม่ได้ซะที ด้วยเหตุผลต่างๆมันก็เป็นเหตุผลของความชอบที่ต่างกันไปปนๆกับความกลัวบ้าง แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้
นี่แหละค่ะ ตามนั้นแลเลยอยากถามชาวพันทิปที่มีประสบการณ์พวกความลังเลพวกนี้ช่วยให้ข้อมูลหรือแชร์ประสบการณ์วิธีการตัดสินใจให้ทีเถอะค่ะ
ปล.ขอบคุณนะคะที่อ่านความยาวยืดเยื้อนี้มาจนจบ ขอบคุณมากๆค่ะ