ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีปีใหม่ทุกคนที่หลงเข้ามาในกระทู้นะคะ
จริงๆ เราเคยตั้งกระทู้ไปปากเซแล้วครั้งนึง ตอนที่เพิ่งกลับมา แต่ยังทำไม่เสร็จก็มีงานนู่นนั่นนี รวมถึงทริปอื่นๆ มาขัดจังหวะ ทำให้ทริปปากเซถูกดองไว้นานพอสมควร วันนี้เลยขออนุญาตตั้งกระทู้ใหม่นะคะ

การเดินทางไปปากเซครั้งนี้ แน่นอนว่าเป็นครั้งแรกของเราและเพื่อน (เราไปกันแค่ 2 คน) เราไปกันช่วงต้นเดือนพย. 59 จำวันที่ไม่ค่อยได้แล้ว 55 อยากจะเขียนกระทู้นี้เผื่อจะเป็นแนวทางให้คนที่อยากไป backpack ที่ปากเซเข้ามาอ่าน เพราะตอนที่เราไปยอมรับว่าไปแบบงงๆ ไม่จองที่พัก ไม่จองรถเที่ยวอะไรทั้งนั้น ไปแบบเจออะไรก็ค่อยว่ากัน 55 โชคดีที่ไปกับเพื่อนที่ง่ายๆ อะไรก็ได้เป็นไงเป็นกัน
พร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันเลยดีกว่า
.
.
.
.
DAY 1 เราเลือกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปอุบลฯ โดยเครื่องบิน เพื่อจะได้ประหยัดเวลา (พอดีได้ตั๋วราคาถูกด้วยแหละ อิอิ)
แต่
'อุบลราชธานี ไฟลท์ 10.10 ไม่ทันแล้วค่ะ'
ณ ตอนนั้นแทบอยากทรุดลงไปกองกับพื้นแล้วร้องไห้ ถามจนท.ไปว่า ตอนนี้10.00 อีกสิบนาทีไม่ทันแล้วเหรอคะ จนท.ตอบกลับมาว่า 'งั้นคงต้องวิ่งค่ะ แต่บอกก่อนว่าอาจจะไม่ทันนะคะ'
ณ เวลานั้นวิ่งและวิ่งอย่างเดียวค่ะ ในใจก็คิดหาวิธีถ้าตกเครื่องทำไงดีวะ แต่อีกใจก็ขอลองเสี่ยงดูวะ วิ่งไปก่อนทันไม่ทันค่อยว่ากัน
ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน แต่ตอนนั้นเรี่ยวแรงมีเท่าไหร่ใส่ไปไม่ยั้ง วิ่งสี่คูณร้อยแบกกระเป๋า 2 ใบ ฝ่าฝูงชนไปขึ้นเครื่องเป็นคนสุดท้ายพอดี !!
ทันแบบแทบจะเป็นลม เฮ้อ เกือบไปแล้วเรา

หลังจากขึ้นเครื่องด้วยอัตราการหายใจและหัวใจที่เต้นเร็วผิดปกติ ประมาณ 1 ชม. ถัดมาเราก็ยืนสงบนิ่งอยู่ที่สนามบินอุบลราชธานี
แล้วไปไงต่อวะ ?

สอบถามจนท.ได้ความว่าเข้าบขส.ต้องนั่งแท็กซี่ไป เดินออกไปรอแท็กซี่ด้านนอกอาคาร เจอพี่ผู้หญิงคนนึงจะไปบขส.พอดี พี่เขาเลยชวนแชร์ค่าแท็กซี่ ดีไปอีก
มิเตอร์แท็กซี่เริ่มต้นที่ 30 บาท ประมาณ 15 นาทีเราก็มาถึงบขส.อุบลฯ ค่าเสียหายคนละ 30 บาท
เรานัดเจอกับเพื่อนที่บขส. พอเจอเพื่อนก็ซื้อตั๋วรถตู้อุบล-พิบูล-ช่องเม็ก ราคาคนละ 100 บาท ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. ก็ไปถึงด่านช่องเม็กแบบสบายๆ ไม่มีเรื่องให้ตื่นเต้น

จากนั้นก็เดินไปทำเรื่องขอผ่านด่านขาออกจากไทย เดินเข้าไปทางฝั่งธ.กรุงไทย ไปขอใบตม.6 มากรอกรายละเอียด แล้วไปยื่นพร้อม passport ที่เคาท์เตอร์ หลังจากเสร็จแล้ว เราก็เดินต่อไปด้านหลังได้เลย มันจะเป็นทางลงเดินในอุโมงค์ไปโผล่ที่ฝั่งลาว ขณะที่เดินไปก็จะมีพี่สาวชาวลาวเข้ามาทักทายถามว่าไปปากเซบ่ๆ สองคน 500 บาทส่งถึงที่พัก เรานี่คิดใจใจ หยั่มมมา หนูหาข้อมูลมาคนละ 100 เองนะ หึหึ ไม่ได้กินหนูหร้อก ทำใจแข็งปฏิเสธแล้วเดินไปทำเรื่องผ่านแดนขาเข้าประเทศลาวที่ช่องเบอร์ 6 ชื่ออาคารอะไรไม่รู้ตามรูปด้านล่างเลย
เราเดินหาช่องเบอร์ 6 นานมาก หาไม่เจอเพราะมันจะอยู่ด้านหลังอาคารอ่ะ ต้องเดินอ้อมๆ หาหน่อย พอไปยื่น passport จนท.ก็บอกค่าผ่านด่านคนละ 100 อันนี้เราทำใจไว้แล้วว่ามาครั้งแรกคงโดนราคานี้แหละ 555
**อันนี้สำคัญ ทำเรื่องผ่านด่านขาออกฝั่งไทยแล้วอย่าลืมทำเรื่องขาเข้าที่ฝั่งลาวด้วยนะคะ ไม่งั้นงานอาจจะงอกได้**
พอทำเรื่องผ่านด่านขาเข้าเสร็จพี่สาวคนนึงก็เดินมาถามว่า ไปปากเซบ่ คนละ 100 เห้ย อันนี้ราคาได้อยู่ ตอบตกลงโอเคกันไป จากนั้นก็เดินหาธนาคารเพื่อแลกเงินเป็นเงินกีบ ธนาคารก็อยู่ถัดไปจากห้องเบอร์ 6 นิดเดียวค่ะ แต่ตอนนั้นเวลา 15.30 น. ธนาคารปิดแล้ว แป่ววว เอาไงดี
พี่สาวชาวลาวอีกคนเดินมาบอกว่ารับแลกเงิน 1,000 บาท = 220,000 กีบ ตอนนั้นเราไม่กล้าแลกกลัวโดนกดราคา เลยเปิดกูเกิลดูว่าแลกได้อัตราเท่าไหร่ อากู๋บอกมาว่าได้ 233,000 เอามือถือให้พี่แกดู พี่แกก็โอเคๆ มีบ่นนิดหน่อยว่าไม่ให้กำไรพี่เล๊ยย 555 แถมยังมาอ้อนให้เราซื้อซิมโทรศัพท์อีก แต่เราก็ใจแข็งไม่ซื้อค่ะ จะไม่ใช้มือถือค่ะ (สัญญาณโทรศัพท์เราใช้ได้ถึงแค่เลยด้านช่องเม็กมาหน่อยเดียว ที่เหลือตลอดทริปคือ no service อาศัย wifi ที่พักกับร้านอาหารใช้ ซึ่งก็ไม่ได้เร็วมาก แต่ก็ดีกว่าไม่มี เอาไว้พออัพเดทชีวิตให้เพื่อนพี่น้องรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ 55)
*เราแนะนำว่า ไปที่ลาวใช้เงินกีบดีกว่าค่ะ เพราะเวลาคิดเงินถ้าเราจ่ายเป็นเงินไทยมันจะแพงกว่าคิดเป็นเงินกีบ อาจจะแพงกว่านิดหน่อย แต่อะไรเซฟได้ก็ควรเซฟค่ะ 555*
พอประมาณ 16.00 น. พี่แกก็เรียกขึ้นรถ เราก็นึกว่าขึ้นรถแล้วรถจะออกเลย ป่าวค่ะ รอคนเต็มค่ะ คือกว่ารถจะเคลื่อนตัวออกจากช่องเม็กก็ปาไปเกือบ 17.00 น.แล้วอ่ะ ที่พักก็ยังไม่มี แอบเซ็งเล็กน้อย แต่เซ็งไปก็เท่านั้นแหละค่ะ ทำใจนั่งมองทิวทัศน์ให้ใจสงบดีกว่า (หรือถ้าใครจะนั่งรถทัวร์มาก็มีนะคะ ขึ้นจากบขส มาเหมือนกัน เรานึกว่านั่งรถตู้มาจะเร็วกว่าเลยเลือกรถตู้ แต่เอาจริงๆ ก็ไม่น่าต่างกันเยอะ นั่งรถทัวร์สบายกว่าอีกนะ 55)

ประมาณ 17.45 น. ก็มาถึงปากเซค่ะ ก่อนเข้าปากเซจะข้ามสะพานลาว-ญี่ปุ่น บรรยากาศยามเย็นสวยมากจริงๆ ค่ะ เราอยู่บนรถถ่ายทันไม่กี่รูป ตั้งใจว่าตอนเย็นๆ จะต้องมาเดินที่สะพานนี้ให้ได้ (แน่นอนว่าตั้งใจอะไรไว้ มักจะพลาดเสมอ ใครที่ไปอย่าลืมไปเดินชมวิวนะคะ ตอนเย็นสวยจริงๆ)

เราชอบสีของท้องฟ้ายามเย็นมาก มันให้ความรู้สึกที่เศร้านะ แต่เราก็ชอบ 55


รถจอดให้ลงตรงหน้า Grand hotel เลยสะพานมาหน่อยเดียว ตื่นเต้นมากบอกตรงๆ ไม่รู้ว่าต้องไปหาที่พักที่ไหน พี่สามล้อก็เข้ามาถามกันใหญ่ว่าจะไปไหน เรารีบฝ่าฝูงชนเดินหาที่พัก เดินไปๆ มาๆ แบบงงเส้นทางมาก อาศัยความมั่วอย่างเดียว คืนแรกได้ที่พักที่โรงแรมจำปา ราคา 500 บาท เป็นเตียงคู่ โรงแรมค่อนข้างจะเก่าหน่อย แต่เรานอนคืนเดียวไม่ได้อะไรมาก เก็บของเสร็จก็เดินไปหาข้าวกิน แถวนั้นเงียบมาก ถามคนที่โรงแรมก็บอกว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีอะไร ต้องเข้าไปในเมือง เราก็งง อ้าว ในเมืองไหนอีกอ่ะ แล้วนี่ไม่ใช่ในเมืองเหรอ 55 คือในเมืองที่เขาหมายถึงคือตรงแถวๆ ตลาดดาวเรือง ใกล้ๆ ที่รถจอดให้เราลงอ่ะ ย่านนั้นจะมีที่พัก ร้านอาหาร ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ร้านนำเที่ยวเยอะมาก สรุปว่าคืนแรกเราเดินมาพักกันไกลมาก 555 ร้านอาหารก็ไม่มี เดินไปเจอห้างชื่อ friendship mall เจอร้านก๋วยเตี๋ยวย้อนยุค กินประทังชีวิตไปก่อนละกัน

เรากินเส้นน้อย (เส้นเล็ก) แห้งต้มยำ มีเส้นที่ทำจากไข่เจียวด้วย อร่อยดี เส้นเล็กนุ่มมาก

ของเพื่อนเป็นเล็กน้ำใส อร่อยที่เส้นเหมือนกัน
ค่าเสียหายมื้อแรกทั้งหมด 38,000 กีบ (คนลาวจะเรียก 38 พัน) คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 160 บาท
หลังกินอิ่ม ก็มาเดินย่อยที่ตลาดหน้าห้าง ดูเงียบเหงาไม่ค่อยคึกคักเหมือนบ้านเรา สักพักเราก็กลับที่พัก วางแผนการเดินทางสำหรับวันพรุ่งนี้ โดยไม่รู้เลยว่าทุกอย่างที่วางไว้มันจะผิดแผนไปหมด ..
บันทึกการเดินทาง :: Backpack เที่ยวเมืองปากเซ
จริงๆ เราเคยตั้งกระทู้ไปปากเซแล้วครั้งนึง ตอนที่เพิ่งกลับมา แต่ยังทำไม่เสร็จก็มีงานนู่นนั่นนี รวมถึงทริปอื่นๆ มาขัดจังหวะ ทำให้ทริปปากเซถูกดองไว้นานพอสมควร วันนี้เลยขออนุญาตตั้งกระทู้ใหม่นะคะ
การเดินทางไปปากเซครั้งนี้ แน่นอนว่าเป็นครั้งแรกของเราและเพื่อน (เราไปกันแค่ 2 คน) เราไปกันช่วงต้นเดือนพย. 59 จำวันที่ไม่ค่อยได้แล้ว 55 อยากจะเขียนกระทู้นี้เผื่อจะเป็นแนวทางให้คนที่อยากไป backpack ที่ปากเซเข้ามาอ่าน เพราะตอนที่เราไปยอมรับว่าไปแบบงงๆ ไม่จองที่พัก ไม่จองรถเที่ยวอะไรทั้งนั้น ไปแบบเจออะไรก็ค่อยว่ากัน 55 โชคดีที่ไปกับเพื่อนที่ง่ายๆ อะไรก็ได้เป็นไงเป็นกัน
พร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันเลยดีกว่า
.
.
.
.
DAY 1 เราเลือกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปอุบลฯ โดยเครื่องบิน เพื่อจะได้ประหยัดเวลา (พอดีได้ตั๋วราคาถูกด้วยแหละ อิอิ)
แต่
'อุบลราชธานี ไฟลท์ 10.10 ไม่ทันแล้วค่ะ'
ณ ตอนนั้นแทบอยากทรุดลงไปกองกับพื้นแล้วร้องไห้ ถามจนท.ไปว่า ตอนนี้10.00 อีกสิบนาทีไม่ทันแล้วเหรอคะ จนท.ตอบกลับมาว่า 'งั้นคงต้องวิ่งค่ะ แต่บอกก่อนว่าอาจจะไม่ทันนะคะ'
ณ เวลานั้นวิ่งและวิ่งอย่างเดียวค่ะ ในใจก็คิดหาวิธีถ้าตกเครื่องทำไงดีวะ แต่อีกใจก็ขอลองเสี่ยงดูวะ วิ่งไปก่อนทันไม่ทันค่อยว่ากัน
ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน แต่ตอนนั้นเรี่ยวแรงมีเท่าไหร่ใส่ไปไม่ยั้ง วิ่งสี่คูณร้อยแบกกระเป๋า 2 ใบ ฝ่าฝูงชนไปขึ้นเครื่องเป็นคนสุดท้ายพอดี !!
ทันแบบแทบจะเป็นลม เฮ้อ เกือบไปแล้วเรา
แล้วไปไงต่อวะ ?
มิเตอร์แท็กซี่เริ่มต้นที่ 30 บาท ประมาณ 15 นาทีเราก็มาถึงบขส.อุบลฯ ค่าเสียหายคนละ 30 บาท
เรานัดเจอกับเพื่อนที่บขส. พอเจอเพื่อนก็ซื้อตั๋วรถตู้อุบล-พิบูล-ช่องเม็ก ราคาคนละ 100 บาท ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. ก็ไปถึงด่านช่องเม็กแบบสบายๆ ไม่มีเรื่องให้ตื่นเต้น
เราเดินหาช่องเบอร์ 6 นานมาก หาไม่เจอเพราะมันจะอยู่ด้านหลังอาคารอ่ะ ต้องเดินอ้อมๆ หาหน่อย พอไปยื่น passport จนท.ก็บอกค่าผ่านด่านคนละ 100 อันนี้เราทำใจไว้แล้วว่ามาครั้งแรกคงโดนราคานี้แหละ 555
**อันนี้สำคัญ ทำเรื่องผ่านด่านขาออกฝั่งไทยแล้วอย่าลืมทำเรื่องขาเข้าที่ฝั่งลาวด้วยนะคะ ไม่งั้นงานอาจจะงอกได้**
พอทำเรื่องผ่านด่านขาเข้าเสร็จพี่สาวคนนึงก็เดินมาถามว่า ไปปากเซบ่ คนละ 100 เห้ย อันนี้ราคาได้อยู่ ตอบตกลงโอเคกันไป จากนั้นก็เดินหาธนาคารเพื่อแลกเงินเป็นเงินกีบ ธนาคารก็อยู่ถัดไปจากห้องเบอร์ 6 นิดเดียวค่ะ แต่ตอนนั้นเวลา 15.30 น. ธนาคารปิดแล้ว แป่ววว เอาไงดี
พี่สาวชาวลาวอีกคนเดินมาบอกว่ารับแลกเงิน 1,000 บาท = 220,000 กีบ ตอนนั้นเราไม่กล้าแลกกลัวโดนกดราคา เลยเปิดกูเกิลดูว่าแลกได้อัตราเท่าไหร่ อากู๋บอกมาว่าได้ 233,000 เอามือถือให้พี่แกดู พี่แกก็โอเคๆ มีบ่นนิดหน่อยว่าไม่ให้กำไรพี่เล๊ยย 555 แถมยังมาอ้อนให้เราซื้อซิมโทรศัพท์อีก แต่เราก็ใจแข็งไม่ซื้อค่ะ จะไม่ใช้มือถือค่ะ (สัญญาณโทรศัพท์เราใช้ได้ถึงแค่เลยด้านช่องเม็กมาหน่อยเดียว ที่เหลือตลอดทริปคือ no service อาศัย wifi ที่พักกับร้านอาหารใช้ ซึ่งก็ไม่ได้เร็วมาก แต่ก็ดีกว่าไม่มี เอาไว้พออัพเดทชีวิตให้เพื่อนพี่น้องรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ 55)
*เราแนะนำว่า ไปที่ลาวใช้เงินกีบดีกว่าค่ะ เพราะเวลาคิดเงินถ้าเราจ่ายเป็นเงินไทยมันจะแพงกว่าคิดเป็นเงินกีบ อาจจะแพงกว่านิดหน่อย แต่อะไรเซฟได้ก็ควรเซฟค่ะ 555*
พอประมาณ 16.00 น. พี่แกก็เรียกขึ้นรถ เราก็นึกว่าขึ้นรถแล้วรถจะออกเลย ป่าวค่ะ รอคนเต็มค่ะ คือกว่ารถจะเคลื่อนตัวออกจากช่องเม็กก็ปาไปเกือบ 17.00 น.แล้วอ่ะ ที่พักก็ยังไม่มี แอบเซ็งเล็กน้อย แต่เซ็งไปก็เท่านั้นแหละค่ะ ทำใจนั่งมองทิวทัศน์ให้ใจสงบดีกว่า (หรือถ้าใครจะนั่งรถทัวร์มาก็มีนะคะ ขึ้นจากบขส มาเหมือนกัน เรานึกว่านั่งรถตู้มาจะเร็วกว่าเลยเลือกรถตู้ แต่เอาจริงๆ ก็ไม่น่าต่างกันเยอะ นั่งรถทัวร์สบายกว่าอีกนะ 55)
รถจอดให้ลงตรงหน้า Grand hotel เลยสะพานมาหน่อยเดียว ตื่นเต้นมากบอกตรงๆ ไม่รู้ว่าต้องไปหาที่พักที่ไหน พี่สามล้อก็เข้ามาถามกันใหญ่ว่าจะไปไหน เรารีบฝ่าฝูงชนเดินหาที่พัก เดินไปๆ มาๆ แบบงงเส้นทางมาก อาศัยความมั่วอย่างเดียว คืนแรกได้ที่พักที่โรงแรมจำปา ราคา 500 บาท เป็นเตียงคู่ โรงแรมค่อนข้างจะเก่าหน่อย แต่เรานอนคืนเดียวไม่ได้อะไรมาก เก็บของเสร็จก็เดินไปหาข้าวกิน แถวนั้นเงียบมาก ถามคนที่โรงแรมก็บอกว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีอะไร ต้องเข้าไปในเมือง เราก็งง อ้าว ในเมืองไหนอีกอ่ะ แล้วนี่ไม่ใช่ในเมืองเหรอ 55 คือในเมืองที่เขาหมายถึงคือตรงแถวๆ ตลาดดาวเรือง ใกล้ๆ ที่รถจอดให้เราลงอ่ะ ย่านนั้นจะมีที่พัก ร้านอาหาร ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ร้านนำเที่ยวเยอะมาก สรุปว่าคืนแรกเราเดินมาพักกันไกลมาก 555 ร้านอาหารก็ไม่มี เดินไปเจอห้างชื่อ friendship mall เจอร้านก๋วยเตี๋ยวย้อนยุค กินประทังชีวิตไปก่อนละกัน
ค่าเสียหายมื้อแรกทั้งหมด 38,000 กีบ (คนลาวจะเรียก 38 พัน) คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 160 บาท
หลังกินอิ่ม ก็มาเดินย่อยที่ตลาดหน้าห้าง ดูเงียบเหงาไม่ค่อยคึกคักเหมือนบ้านเรา สักพักเราก็กลับที่พัก วางแผนการเดินทางสำหรับวันพรุ่งนี้ โดยไม่รู้เลยว่าทุกอย่างที่วางไว้มันจะผิดแผนไปหมด ..