
เมื่อช่วงเดือนธันวาที่ผ่านมา เราได้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศพม่า เส้นทางคือ ย่างกุ้ง พุกาม อินเล แต่พอดีว่าก่อนไปได้ไปเปิดเว็บไซต์ต่างๆหาข้อมูล แล้วก็ไปสะดุดกับรูปรูปหนึ่ง คือเป็นภาพเจดีย์มากมายที่ตั้งเรียงรายกันแล้วด้านล่างมีเงาสะท้อนของเจดีย์ในน้ำ คือมันสวยมาก เราก็เลยตัดสินตอนนั้นเลยว่าต้องไปที่นี่ให้ได้ ก็เลยไปหาข้อมูลบนอินเตอร์เนตว่ามันไปอย่างไร ซึ่งพบว่ามีข้อมูลของที่เป็นภาษาไทยน้อยมากๆ เราก็เลยอยากเอาประสบการ์ณของเรามาแชร์ให้เพื่อนๆชาวพันทิพได้อ่านกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่อยากไปที่นี่ค่ะ หรืออาจเป็นตัวเลือกใหม่ของเพื่อนๆที่กำลังจะไปพม่า ถ้าหากมีเวลาก็อยากชวนให้ลองแวะไปเที่ยวที่นี่ดูค่ะ
kakku ตั้งอยู่ใน Shan State หรือรัฐฉาน ประเทศพม่า ห่างจาก Nyuangshew หรืออินเล ประมาณสองชั่วโมง
วิธีการเดินทางไปยัง Kakku คือต้องเช่ารถtaxi จาก Nyuangshew หรืออินเลไป ซึ่งเราได้หารถ taxi ล่วงหน้า 1 วัน โดยให้ร้านขายตั๋วรถบัสที่เราไปซื้อจะกลับย่างกุ้งช่วยหาให้ ตกลงราคาได้มาที่ 50000Kyat หรือประมาณ 1300 บาท หลังจากนั้นทำการนัดหมายโดยให้รถมารับที่ที่พักในวันถัดไป ตอนแปดโมงเช้า
แผนที่คร่าวค่ะ โดยเราจะไปตามเส้นสีแดงค่ะ

วันถัดมาเวลาแปดโมงเช้า เรามายืนรอหน้าที่พัก รถมาตรงเวลาเป๊ะ แล้วเราก็เริ่มออกเดินทาง โดยเราจะต้องไปแวะที่ Taunggyi หรือตองจี ตองยี กันก่อน เพื่อซื้อบัตรในการเข้าชมและแวะรับไกด์ชาวเผ่าปะโอ Pa O ไปด้วย ซึ่งข้อกำหนดในการที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางไปยัง Kakku นั้นจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าชมก่อน และในการเข้าชมนั้นจะต้องมีไกด์ชาวเผ่าปะโอพาเข้าไปด้วยทุกครั้ง และห้ามพักค้างคืน เท่าที่เราสอบถามมาจากคุณคนขับtaxi เราพอจะจับใจความได้ว่า ชาวเผ่าปะโอนั้นเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ดูแลในพื้นที่ของKakku ถ้าจะเข้าจะออกจะต้องอยู่ในความดูแลของเขาประมาณนั้น ระหว่างทางจากNyuangshew นั้นไปทางคดเคี้ยวมากเนื่องจากตองจีนั้นเป็นเมืองอยู่บนเขา ระหว่างทางก็จะเห็นวิวมุมสูงของ Nyuangshew มองเห็นบ้านเรือนต่างๆหลังเล็กๆแล้วมีภูเขาเป็นฉากหลัง

หลังจากนั่งหลับๆตื่นๆมาสักพักเราก็มาถึงตองจีค่ะ รถพาเรามาจอดที่ตลาด หน้าอาคารที่เราจะต้องเข้าไปซื้อตั๋วเข้า Kakku และรับไกด์ชาวปะโอ

ด้านในอาคาร

ด้านในจะมีเคาท์เตอร์สำหรับติดต่อซื้อตั๋ว และก็มีน้องๆไกด์สาวๆหนุ่มๆชาวปะโอยืนรอต้อนรับอยู่ค่ะ

วิธีการซื้อตั๋วเข้าคือยื่นพาสปอตให้เขาไปค่ะแล้วเขาก็จะส่งตั๋วและใบเสร็จมาให้เรา ค่าธรรมเนียมทั้งหมด 8 USD ตรงนี้เราจำไม่ได้ว่า ค่าเข้า 3 USD ค่าไกด์ 5 USD หรือว่าค่าเข้า 5 USD ค่าไกด์3 USD แต่สรุปว่ายังไงเราก็ต้องจ่าย 8 USD อยู่ดีค่ะ น่าจะประมาณ 12000 Kyat หรือ 280 กว่าบาทค่ะ
หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมเสร็จสรรพน้องไกด์ก็จะเดินออกมาหาเราค่ะ โดยเขาจะตกลงกันเองว่าใครจะมา เราได้ไปกับน้องสาวที่ยิ้มให้กล้องเราในรูปด้านบนค่ะ ชื่อน้องนันนันเอ หรือเรียกสั้นๆว่า น้องเอ น้องเป็นนักศึกษาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในตองจีค่ะ และมาทำงานพิเศษและได้ฝึกภาษาอังกฤษไปด้วยในช่วงปิดเทอม หลังจากรับน้องเอมาแล้ว เราก็ออกเดินทางไปต่อด้วยรถคันเดิม นั่งไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งทางจะค่อนข้างทรหดนิดหนึ่ง เป็นถนนแบบหินกับดินสีแดงๆ ขรุขระตลอดทาง แบบต้องคอยแอบนั่งลุ้นว่ารถจะพังไหม ถ้าหากเพื่อนๆคนไหนที่จะเดินทางไปที่นี่แล้วเป็นคนเมารถ เราแนะนำให้ทานยาแก้เมารถล่วงหน้าไว้เลยค่ะ
ภาพวิวข้างทางค่ะ

อันนี้น่าจะเป็นโรงเรียน

ระหว่างทางเราก็นั่งคุยกับน้องไกด์คนสวยไป น้องเล่าให้ฟังว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่จะทำไร่กระทียมและต้นหอม ระหว่างทางจะเห็นไร่กระเทียมเต็มไปหมด มีปลูกทานตะวัน สตอเบอรี่ด้วย น้องคุยเก่งมากๆอัธยาสัยดีน่ารัก น้องบอกว่าเวลาว่างๆน้องก็จะดูละครไทยเพื่อฝึกฟังภาษาไทย ดาราไทยที่น้องชอบที่สุดคือมาริโอ้ ^^ นั่งคุยกันไปดูวิวข้างทางไปสักพักใหญ่ๆเราก็ถึง Kakku Pagodas หรือทะเลเจดีย์ของเรานั่นเอง
ตรงนี้คือทางเข้าค่ะ

ตอนเราไปถึงน่าจะประมาณสิบเอ็ดโมงนิดๆ ซึ่งแดดกำลังร้อนได้ที่เลย แต่ก็ดีคือท้องฟ้าใสมากๆค่ะ
ทางเดินข้างไปด้านในค่ะ

บรรยากาศด้านในค่ะ บนยอดเจดีย์แต่ละยอดจะมีกระดิ่งอยู่ทุกอัน เวลาลมพัดจะมีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งๆตลอดเวลา แต่กลับให้ความรู้สึกที่สงบมาก

น้องไกด์บอกว่าคนปะโอเชื่อว่าถ้าหากปวดหัว ให้เอาศีรษะมาแตะที่เท้าขององค์พระ จะทำให้อาการปวดหัวหายไปค่ะ
น้องไกด์อีกเช่นเคย บอกว่า หากลูบหางม้าสามครั้งแล้วอฐิษฐานไปด้วย จะได้พบเนื้อคู่ค่ะ เพื่อนๆลองไปหาดูนะคะ 555+ ม้าอยู่ด้านหลังวัดค่ะ

บรรยากาศทางด้านหลังวัดค่ะ สวยมาก

ด้านหลังวัดจะมีท่าเรือด้วยค่ะ แต่จะสำหรับชาวปะโอให้เดินทางมาที่วัดเท่านั้นค่ะ ในรูปไปทางลงไปท่าเรือค่ะ แต่เสียดายเราไม่ได้ลงไปดู

กลับมาดูบรรยากาศด้านในต่อค่ะ

ส่วนตรงนี้คือมุมยอดฮิตค่ะ เราตามมาที่นี่ก็เพราะรูปๆเดียวจากอินเตอร์เนตในเว็บของLPที่ถ่ายจากมุมนี้เลยค่ะ ตอนแรกเราคิดว่ามันคือแม่น้ำลำคลองอะไรสักอย่างๆ แต่จริงๆคือสระน้ำด้านหน้าของเจดีย์ค่ะ ในเมื่อมาถึงแล้วเราต้องไม่พลาดค่ะ แต่ด้วยความสารถด้านการถ่ายรูปที่เป็นศูนย์ก็ได้มาเท่านี้ค่ะ ตามรูปด้านล่างเลย 555+

อันนี้ถ่ายจากด้านหน้าค่ะ

น้องนันนันเอ ไกด์คนสวยของเรา น้องบอกว่าเครื่องแต่งกายของชาวปะโอนั้นมาจากความเชื่อที่ว่าชาวปะโอเป็นลูกของพญานาค ส่วนผ้าที่โพกหัวนั้นเป็นเครื่องแทนของพญานาคด้วยค่ะ จริงๆแล้วน้องเล่าประวัติความเป็นมาให้ความรู้เราเยอะมาก แต่เราจำไม่ค่อยได้แล้ว ต้องนึกเป็นช่วงๆ555+
ภายในเจดีย์แต่ละองค์จะมีพระพุทธรูปอยู่ด้านในด้วยค่ะ

กระดิ่งบนยอดเจดีย์

จากนั้นก็เดินดูเจดีย์ไปรอบๆค่ะ คือมีมากมายจริงๆประมาณสองพันกว่าองค์ได้ค่ะ แต่องค์ก็มีมีลวดลายแตกต่างกันไป

เราใช้เวลาเดินวนอยู่ด้านในจนถึงประมาณบ่ายครึ่งเกือบๆบ่ายสองค่ะ ทั้งๆที่แดดร้อนมากแต่กลับไม่รู้สึกร้อนเลย พื้นกระเบื้องเย็นมาก มีลมพัดตลอดเวลา เดินดูเจดีย์ไปฟังเสียงกระดิ่งบนยอดเจดีย์ไปช่วยให้จิตใจสงบแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยค่ะ หลังจากเดินชมเจดีย์แล้วก็ได้เวลากลับกันค่ะ ขากลับคือเราหลับยาวเลย เพราะทางขรุขระสลับขึ้นเขา ไปตื่นอีกทีคือที่ตองจีตอนแวะส่งน้องไกด์เลย จากนั้นก็ร่ำรากัน เราให้ทิปน้องไปอีก 5000Kyat แล้วก็หลับต่อไปอีก ด้วยความที่อากาศช่วงบ่ายเริ่มร้อน แล้วรถก็ต้องขับขึ้นเขาลงเขาไปอีก ค่อนข้างจะทำให้มึนได้อยู่ พอมาตื่นอีกทีคือถึงด่านเก็บค่าผ่านทางเข้า Nyuangshewแล้ว จากนั้นก็นั่งหลับๆตื่นๆไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพค่ะ

**จบแล้วค่ะ สำหรับการเดินทางไปKakku ของเรา ในรูปภาพที่เราถ่ายมามันอาจไม่สวยเท่าของจริงหรือเก็บรายละเอียดมาได้ไม่หมดเหมือนสถานที่จริง เราเลยอยากให้เพื่อนๆได้ลองไปกันสักครั้งค่ะ สวยแบบมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก ถ้าหากไปอินเลแล้ว ถ้าพอมีเวลาลองแวะไปสัมผัสบรรยากาศทะเลเจดีย์ที่Kakkuกันดูนะคะ หรือถ้าเพื่อนๆต้องการสอบถามรายละเอียดต่างๆในการเดินทางไปKakkuเรายินดีตอบค่ะ

อยากให้ได้ไปกันจริงๆค่ะ
[CR] Kakku ลองไปดูก็ดีนะ Kakku Pagodas @Shan State Myanmar
เมื่อช่วงเดือนธันวาที่ผ่านมา เราได้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศพม่า เส้นทางคือ ย่างกุ้ง พุกาม อินเล แต่พอดีว่าก่อนไปได้ไปเปิดเว็บไซต์ต่างๆหาข้อมูล แล้วก็ไปสะดุดกับรูปรูปหนึ่ง คือเป็นภาพเจดีย์มากมายที่ตั้งเรียงรายกันแล้วด้านล่างมีเงาสะท้อนของเจดีย์ในน้ำ คือมันสวยมาก เราก็เลยตัดสินตอนนั้นเลยว่าต้องไปที่นี่ให้ได้ ก็เลยไปหาข้อมูลบนอินเตอร์เนตว่ามันไปอย่างไร ซึ่งพบว่ามีข้อมูลของที่เป็นภาษาไทยน้อยมากๆ เราก็เลยอยากเอาประสบการ์ณของเรามาแชร์ให้เพื่อนๆชาวพันทิพได้อ่านกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่อยากไปที่นี่ค่ะ หรืออาจเป็นตัวเลือกใหม่ของเพื่อนๆที่กำลังจะไปพม่า ถ้าหากมีเวลาก็อยากชวนให้ลองแวะไปเที่ยวที่นี่ดูค่ะ
kakku ตั้งอยู่ใน Shan State หรือรัฐฉาน ประเทศพม่า ห่างจาก Nyuangshew หรืออินเล ประมาณสองชั่วโมง
วิธีการเดินทางไปยัง Kakku คือต้องเช่ารถtaxi จาก Nyuangshew หรืออินเลไป ซึ่งเราได้หารถ taxi ล่วงหน้า 1 วัน โดยให้ร้านขายตั๋วรถบัสที่เราไปซื้อจะกลับย่างกุ้งช่วยหาให้ ตกลงราคาได้มาที่ 50000Kyat หรือประมาณ 1300 บาท หลังจากนั้นทำการนัดหมายโดยให้รถมารับที่ที่พักในวันถัดไป ตอนแปดโมงเช้า
แผนที่คร่าวค่ะ โดยเราจะไปตามเส้นสีแดงค่ะ
หลังจากนั่งหลับๆตื่นๆมาสักพักเราก็มาถึงตองจีค่ะ รถพาเรามาจอดที่ตลาด หน้าอาคารที่เราจะต้องเข้าไปซื้อตั๋วเข้า Kakku และรับไกด์ชาวปะโอ
ด้านในอาคาร
ด้านในจะมีเคาท์เตอร์สำหรับติดต่อซื้อตั๋ว และก็มีน้องๆไกด์สาวๆหนุ่มๆชาวปะโอยืนรอต้อนรับอยู่ค่ะ
วิธีการซื้อตั๋วเข้าคือยื่นพาสปอตให้เขาไปค่ะแล้วเขาก็จะส่งตั๋วและใบเสร็จมาให้เรา ค่าธรรมเนียมทั้งหมด 8 USD ตรงนี้เราจำไม่ได้ว่า ค่าเข้า 3 USD ค่าไกด์ 5 USD หรือว่าค่าเข้า 5 USD ค่าไกด์3 USD แต่สรุปว่ายังไงเราก็ต้องจ่าย 8 USD อยู่ดีค่ะ น่าจะประมาณ 12000 Kyat หรือ 280 กว่าบาทค่ะ
หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมเสร็จสรรพน้องไกด์ก็จะเดินออกมาหาเราค่ะ โดยเขาจะตกลงกันเองว่าใครจะมา เราได้ไปกับน้องสาวที่ยิ้มให้กล้องเราในรูปด้านบนค่ะ ชื่อน้องนันนันเอ หรือเรียกสั้นๆว่า น้องเอ น้องเป็นนักศึกษาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในตองจีค่ะ และมาทำงานพิเศษและได้ฝึกภาษาอังกฤษไปด้วยในช่วงปิดเทอม หลังจากรับน้องเอมาแล้ว เราก็ออกเดินทางไปต่อด้วยรถคันเดิม นั่งไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งทางจะค่อนข้างทรหดนิดหนึ่ง เป็นถนนแบบหินกับดินสีแดงๆ ขรุขระตลอดทาง แบบต้องคอยแอบนั่งลุ้นว่ารถจะพังไหม ถ้าหากเพื่อนๆคนไหนที่จะเดินทางไปที่นี่แล้วเป็นคนเมารถ เราแนะนำให้ทานยาแก้เมารถล่วงหน้าไว้เลยค่ะ
ภาพวิวข้างทางค่ะ
อันนี้น่าจะเป็นโรงเรียน
ระหว่างทางเราก็นั่งคุยกับน้องไกด์คนสวยไป น้องเล่าให้ฟังว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่จะทำไร่กระทียมและต้นหอม ระหว่างทางจะเห็นไร่กระเทียมเต็มไปหมด มีปลูกทานตะวัน สตอเบอรี่ด้วย น้องคุยเก่งมากๆอัธยาสัยดีน่ารัก น้องบอกว่าเวลาว่างๆน้องก็จะดูละครไทยเพื่อฝึกฟังภาษาไทย ดาราไทยที่น้องชอบที่สุดคือมาริโอ้ ^^ นั่งคุยกันไปดูวิวข้างทางไปสักพักใหญ่ๆเราก็ถึง Kakku Pagodas หรือทะเลเจดีย์ของเรานั่นเอง
ตรงนี้คือทางเข้าค่ะ
ตอนเราไปถึงน่าจะประมาณสิบเอ็ดโมงนิดๆ ซึ่งแดดกำลังร้อนได้ที่เลย แต่ก็ดีคือท้องฟ้าใสมากๆค่ะ
ทางเดินข้างไปด้านในค่ะ
บรรยากาศด้านในค่ะ บนยอดเจดีย์แต่ละยอดจะมีกระดิ่งอยู่ทุกอัน เวลาลมพัดจะมีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งๆตลอดเวลา แต่กลับให้ความรู้สึกที่สงบมาก
น้องไกด์บอกว่าคนปะโอเชื่อว่าถ้าหากปวดหัว ให้เอาศีรษะมาแตะที่เท้าขององค์พระ จะทำให้อาการปวดหัวหายไปค่ะ
น้องไกด์อีกเช่นเคย บอกว่า หากลูบหางม้าสามครั้งแล้วอฐิษฐานไปด้วย จะได้พบเนื้อคู่ค่ะ เพื่อนๆลองไปหาดูนะคะ 555+ ม้าอยู่ด้านหลังวัดค่ะ
บรรยากาศทางด้านหลังวัดค่ะ สวยมาก
ด้านหลังวัดจะมีท่าเรือด้วยค่ะ แต่จะสำหรับชาวปะโอให้เดินทางมาที่วัดเท่านั้นค่ะ ในรูปไปทางลงไปท่าเรือค่ะ แต่เสียดายเราไม่ได้ลงไปดู
กลับมาดูบรรยากาศด้านในต่อค่ะ
ส่วนตรงนี้คือมุมยอดฮิตค่ะ เราตามมาที่นี่ก็เพราะรูปๆเดียวจากอินเตอร์เนตในเว็บของLPที่ถ่ายจากมุมนี้เลยค่ะ ตอนแรกเราคิดว่ามันคือแม่น้ำลำคลองอะไรสักอย่างๆ แต่จริงๆคือสระน้ำด้านหน้าของเจดีย์ค่ะ ในเมื่อมาถึงแล้วเราต้องไม่พลาดค่ะ แต่ด้วยความสารถด้านการถ่ายรูปที่เป็นศูนย์ก็ได้มาเท่านี้ค่ะ ตามรูปด้านล่างเลย 555+
อันนี้ถ่ายจากด้านหน้าค่ะ
น้องนันนันเอ ไกด์คนสวยของเรา น้องบอกว่าเครื่องแต่งกายของชาวปะโอนั้นมาจากความเชื่อที่ว่าชาวปะโอเป็นลูกของพญานาค ส่วนผ้าที่โพกหัวนั้นเป็นเครื่องแทนของพญานาคด้วยค่ะ จริงๆแล้วน้องเล่าประวัติความเป็นมาให้ความรู้เราเยอะมาก แต่เราจำไม่ค่อยได้แล้ว ต้องนึกเป็นช่วงๆ555+
ภายในเจดีย์แต่ละองค์จะมีพระพุทธรูปอยู่ด้านในด้วยค่ะ
กระดิ่งบนยอดเจดีย์
จากนั้นก็เดินดูเจดีย์ไปรอบๆค่ะ คือมีมากมายจริงๆประมาณสองพันกว่าองค์ได้ค่ะ แต่องค์ก็มีมีลวดลายแตกต่างกันไป
เราใช้เวลาเดินวนอยู่ด้านในจนถึงประมาณบ่ายครึ่งเกือบๆบ่ายสองค่ะ ทั้งๆที่แดดร้อนมากแต่กลับไม่รู้สึกร้อนเลย พื้นกระเบื้องเย็นมาก มีลมพัดตลอดเวลา เดินดูเจดีย์ไปฟังเสียงกระดิ่งบนยอดเจดีย์ไปช่วยให้จิตใจสงบแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยค่ะ หลังจากเดินชมเจดีย์แล้วก็ได้เวลากลับกันค่ะ ขากลับคือเราหลับยาวเลย เพราะทางขรุขระสลับขึ้นเขา ไปตื่นอีกทีคือที่ตองจีตอนแวะส่งน้องไกด์เลย จากนั้นก็ร่ำรากัน เราให้ทิปน้องไปอีก 5000Kyat แล้วก็หลับต่อไปอีก ด้วยความที่อากาศช่วงบ่ายเริ่มร้อน แล้วรถก็ต้องขับขึ้นเขาลงเขาไปอีก ค่อนข้างจะทำให้มึนได้อยู่ พอมาตื่นอีกทีคือถึงด่านเก็บค่าผ่านทางเข้า Nyuangshewแล้ว จากนั้นก็นั่งหลับๆตื่นๆไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพค่ะ
**จบแล้วค่ะ สำหรับการเดินทางไปKakku ของเรา ในรูปภาพที่เราถ่ายมามันอาจไม่สวยเท่าของจริงหรือเก็บรายละเอียดมาได้ไม่หมดเหมือนสถานที่จริง เราเลยอยากให้เพื่อนๆได้ลองไปกันสักครั้งค่ะ สวยแบบมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก ถ้าหากไปอินเลแล้ว ถ้าพอมีเวลาลองแวะไปสัมผัสบรรยากาศทะเลเจดีย์ที่Kakkuกันดูนะคะ หรือถ้าเพื่อนๆต้องการสอบถามรายละเอียดต่างๆในการเดินทางไปKakkuเรายินดีตอบค่ะ