“Singapore Sling” เมนูค็อกเทลแนะนำของ Singapore Airlines ครับ เป็นไฮไลท์เด็ดของสายการบินเลยทีเดียว
นั่งเครื่องมายาวนาน ก็ถึงท่าอากาศยานนานาชาติเคปทาวน์ ผมได้ทำการจอง Taxi กับที่พักไว้ก็จะมีพนักงานล่ำบึ้ก ยังกับบอดี้การ์ด มายืนถือป้ายรอรับ สนนราคาค่า Taxi R300 ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่พักและครับ สำหรับที่พักตลอดการเดินทาง 5 คืน "House on the Hill" ย่าน Green Point สามารถเดินไป ชายหาด ร้านอาหาร Cape Town Stadium และ (V&A) Waterfront ได้เลยครับ ราคาคืนละ R750 มีห้องน้ำส่วนตัว เข้าพักได้สูงสุด 2 ท่าน มีอาหารเช้าเล็กๆ นม น้ำส้ม ชา กาแฟ ขนมปัง และสลัดผัก
สถานที่แรกที่ไป Victoria & Alfred (V&A) Waterfront เป็นสถานที่ที่ผมเดินมาทุกวันเลยครับ จะมีทั้งสินค้าพื้นเมือง ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารมากมาย มีโชว์และกิจกรรมให้ดูด้วยครับสามารถนั่งอยู่ได้ทั้งวัน เท่าที่สังเกตดู นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ จะเป็นฝรั่งซะส่วนใหญ่ คนเอเชียค่อนข้างน้อย
ซึ่งชื่อ Victoria & Alfred นี้ได้ตั้งตามพระนามของพระราชินีที่ชื่อ Victoria และเจ้าชาย Alfred แห่งราชวงศ์อังกฤษ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นจุดแรกที่มีการขึ้นฝั่งของชาวดัตช์เมื่อหลาย 100 ปีก่อน และนำไปสู่การยึดครองดินแดนแถบนี้ของชาวดัตช์ หลังจากนั้นอังกฤษได้เข้ายึดครองในเวลาต่อมา ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงของเมือง Cape Town The cape Wheel ชิงช้าสร้างสวรรค์ ค่าขึ้นอยู่ที่ R100 สำหรับลูกเรือแสดงบัตรพนักงานสามารถขึ้นฟรี
ย่าน (V&A) Waterfront นี้สามารถเดินเล่นได้เพลินๆ ไม่เบื่อเลยครับ เดินเล่นซักพักก็มาซื้อตั๋ว City Sightseeing, Hop On - Hop Off Tours ซึ่งสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าได้เลย เนื่องจากซื้อออนไลน์จะถูกกว่า R20 แต่ผมเองก็ไม่ได้ซื้อออนไลน์หรอกครับ มาซื้อหน้างานเอา หลังจากซื้อตั๋วเสร็จทางบริษัทก็จะให้หูฟังมา ไว้ฟังข้อมูลตามสถานที่ต่างๆและแน่นอนครับไม่มีภาษาไทย !
วันต่อมาเดินทางไปย่าน Hout Bay เพื่อไปชมแมวน้ำ ที่ย่าน Hout Bay นี้เป็นสถานที่นักท่องเที่ยวมาลงเยอะมากๆครับ เนื่องจากเป็นท่าเรือนั่งออกไปชมแมวน้ ที่เกาะ Seal Island หรือ (เกาะแมวน้ำนั่นเอง) ตั๋วจำหน่ายก็มีหลายเจ้าเช่นกัน ราคาเรือไปชมเกาะแมวน้ำอยู่ที่ 60-75 Rand ต่อคน โดยระยะเวลาไป-กลับ ประมาณ 1 ชม.
หลังจากเรือกลับเข้าฝั่ง เดินออกมาก็จะมีสิ้นค้าท้องถิ่นของชาวพื้นเมืองจำหน่ายส่วนใหญ่เป็นสินค้า Handmade ที่คนท้องถิ่นเอามาวางแผงขาย ต่อลองได้พอสมควร ผมนี่ต่อเขาจาก R100 ขอ R50 บางร้านก็ขายเรา
ช่วงเย็นผมไปรอขึ้นรถ Sunset Bus เพื่อนั่งชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปกับฉากของภูเขา Signal Hill และมวิวหาสมุทร (ซื้อ Hop On - Hop Off สามารถขึ้น Sunset Bus ได้ฟรีครับ) ที่นี่ผู้คนมาชมพระอาทิตย์ตกดินเยอะจริงๆ รถติดกันเลยทีเดียว
เพราะอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้วครับ
เช้าวันใหม่ผมเดินทางไปที่ Groot Constantia Groot Constantia เป็นไร่องุ่นและแหล่งทำเหล้าองุ่นที่เก่าแก่ที่สุดของแอฟริกาใต้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1692 โดยผู้ว่าการเมืองชาวดัตซ์ หากมีโอกาสมา Cape Town แนะนำให้มาชมไร่องุ่นแห่งนี้รับรองว่าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนครับ
[CR] Cape Town, South Africa เมืองเล็ก ๆ แต่มีมีเสน่ห์
ทริปนี้ผมเดินทางช่วง 30 เมษายน- 7 พฤษภาคม ลางานได้เพียง 3 วันเอง เป็นทริปสั้นๆไม่นานซักเท่าไหร่ระยะเวลาเพียง 8 วัน 5 คืน
สายการบินที่เลือกใช้บริการ Singapore Airlines ให้บริการแบบ Full service ผู้โดยสารชั้นประหยัดสามารถโหลดกระเป๋าได้สูงสุด 30 กิโลกรัมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ต่อเครื่องที่สิงคโปร์ ออกเดินทาง Bangkok 18:30 ถึง Cape Town 09:25 รวมระยะเวลา 19:55 ชม. กินอิ่ม นอนหลับ ลูกเรือเสิร์ฟเครื่องดื่มแทบทุก ชม.เลยครับ
“Singapore Sling” เมนูค็อกเทลแนะนำของ Singapore Airlines ครับ เป็นไฮไลท์เด็ดของสายการบินเลยทีเดียว
นั่งเครื่องมายาวนาน ก็ถึงท่าอากาศยานนานาชาติเคปทาวน์ ผมได้ทำการจอง Taxi กับที่พักไว้ก็จะมีพนักงานล่ำบึ้ก ยังกับบอดี้การ์ด มายืนถือป้ายรอรับ สนนราคาค่า Taxi R300 ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่พักและครับ
สถานที่แรกที่ไป Victoria & Alfred (V&A) Waterfront เป็นสถานที่ที่ผมเดินมาทุกวันเลยครับ จะมีทั้งสินค้าพื้นเมือง ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารมากมาย มีโชว์และกิจกรรมให้ดูด้วยครับสามารถนั่งอยู่ได้ทั้งวัน เท่าที่สังเกตดู นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ จะเป็นฝรั่งซะส่วนใหญ่ คนเอเชียค่อนข้างน้อย
หลังจากเรือกลับเข้าฝั่ง เดินออกมาก็จะมีสิ้นค้าท้องถิ่นของชาวพื้นเมืองจำหน่ายส่วนใหญ่เป็นสินค้า Handmade ที่คนท้องถิ่นเอามาวางแผงขาย ต่อลองได้พอสมควร ผมนี่ต่อเขาจาก R100 ขอ R50 บางร้านก็ขายเรา
เพราะอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้วครับ
เช้าวันใหม่ผมเดินทางไปที่ Groot Constantia