ก้าวสู่ปี 2560 โลกมีการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย เป้าหมายการ "ปฏิรูป" ประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาล "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับความพยายามในการพลิกฟื้น
เศรษฐกิจไทยให้แข็งแรง แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะใช้พลังและเวลามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงใหม่ ๆ เข้ามาสร้างความผันผวนตลอดเวลา "ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับนี้ได้สัมภาษณ์พิเศษ 3 กูรูเศรษฐกิจ ที่จะมาช่วยฉายภาพ
เศรษฐกิจไทยในปีระกาว่าจะเป็น "ปีไก่ทอง" อนาคตสดใสเหมือนที่รัฐบาลวาดฝันไว้หรือไม่
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
ตัวแปรสำคัญคือ "ลงทุนเอกชน"
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประธานกรรมการบริหาร สถาบันอนาคตไทยศึกษา และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2560 ภาพคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะปัญหาเดิม ๆ ยังไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้น ปี 2560 เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ราว 3% ส่วนโอกาสที่จะขยายตัวมากกว่านี้ หรือมี upside ถึง 4% ได้นั้น จะต้องทำให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น
การลงทุนภาคเอกชนสำคัญที่สุด แต่ปัญหาคือ หลังเกิดวิกฤตปี 2540 จนถึงขณะนี้ผ่านไป 20 ปี การลงทุนภาคเอกชนของไทยยังต่ำกว่าเมื่อช่วงปี 2540 และต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนหนึ่งไม่ใช่เอกชนไทยไม่ลงทุน แต่เป็นการไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศแม้จะยังมีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็จะเห็นว่าเราเสียมาร์เก็ตแชร์ให้กับประเทศเพื่อนบ้านไปมากเช่นกัน
ดังนั้น โจทย์ของเศรษฐกิจไทยวันนี้คือ จะทำอย่างไรให้เอกชนลงทุน ซึ่งทำได้จาก 2 ส่วน คือ หนึ่ง ต้องสร้างดีมานด์ภายในประเทศ ทำให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยจะมาจากการทำให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการสร้างประสิทธิภาพแรงงาน การทำให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นด้วยการสร้างแบรนด์ สร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการสร้างสังคมเมืองที่มีขนาดใหญ่มีนวัตกรรมและมีผลิตภาพ
สองการขยายตัวภาคส่งออก ซึ่งปัญหาวันนี้คือการส่งออกไทยติดบ่วงการค้าโลก เพราะหลังปี 2551 หรือหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ แม้เศรษฐกิจโลกจะเติบโตเฉลี่ย 2.8% แต่การค้าโลกกลับขยายตัวเพียง 0.7% ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจสหรัฐโตน้อยลง และจีนมีความต้องการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น
ปัญหาโครงสร้างกด ศก.โต 3%
นอกจากนี้ ดร.เศรษฐพุฒิได้ชี้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไว้ว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตจากภาคบริการ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก
ขณะที่ภาคเกษตร ส่งออก และอุตสาหกรรมไม่มีการเติบโต เรียกว่าเศรษฐกิจเติบโตมาจากไม่กี่แอเรีย คือ "ภาคท่องเที่ยวและภาครัฐ"
ปัญหาของภาคท่องเที่ยวขณะนี้ คือผลจากมาตรการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ เป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้นด้านรายได้ แต่ระยะยาวเศรษฐกิจที่เติบโตจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวเป็นหลักจะไม่ค่อยดี เพราะจะเป็นเมืองที่ไม่มีการลงทุน หรือสร้างโปรดักทิวิตี้ เหมือนภาคอุตสาหกรรมการผลิต
"เศรษฐกิจที่เติบโตจากภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก ผมเรียกว่าเป็น เศรษฐกิจดิสนีย์แลนด์ คือโตด้วยดีมานด์จากต่างประเทศ ต้องรอรับรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเทียบไม่ได้กับประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตด้วยภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิต ที่สามารถสร้างประสิทธิภาพแรงงานและเพิ่มรายได้" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีประชากรภาคเกษตรสูงถึง 30% ของประเทศ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่มีระดับรายได้เท่าประเทศไทย มีสัดส่วนประชากรในภาคเกษตรน้อยกว่านี้ และมีประชากรเมืองสัดส่วนมากกว่า
"ภาพอย่างนี้เป็นมานานกว่า 10 ปี เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย เป็นปัญหาด้านโครงสร้างแรงงาน ผลิตภาพต่ำ เศรษฐกิจอิงกับภาคบริการมาก ภาพเหล่านี้ยังไม่เปลี่ยน และปี 2560 ก็ยังเป็นแบบนี้ ดังนั้น หน้าตาเศรษฐกิจในปี 2560 ก็จะคล้าย ๆ ปีที่ผ่านมา" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ยันไทยไม่ซ้ำรอยวิกฤตปี"40
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีข้อดี คือความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ยังต่ำมาก ๆ ซึ่งต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ที่มีความเปราะบางมากกว่า เมื่อพิจารณาความเสี่ยงในแง่เศรษฐกิจมหภาคจาก 3 ด้าน ได้แก่ ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกถือว่าน้อย เพราะประเทศไทยมีฐานะการเงินระหว่างประเทศดีมาก มีหนี้ต่างประเทศน้อย ขณะที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศมาก ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลระดับ 10% ของจีดีพี นับว่าติดอันดับท็อปของโลกด้วยซ้ำแต่การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาก ๆ ด้านหนึ่งก็สะท้อนว่าประเทศไทยลงทุนน้อยมาก แต่อีกด้านก็ช่วยให้ค่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าเร็วและแรงอย่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งช่วงปลายปี 2559 ที่ผ่านมา บางประเทศในภูมิภาคนี้ค่าเงินอ่อนมาก แต่ค่าเงินบาทไทยยังนิ่ง
สองหนี้ในระบบธนาคารพาณิชย์น้อย ต่างจากปี 2540 ที่เศรษฐกิจไทยโดน 2 เด้ง ทั้งปัญหาค่าเงินและปัญหาแบงก์ แต่วันนี้แบงก์พาณิชย์ไทยมีทุนมหาศาล สภาพคล่องสูง แม้ตอนนี้จะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สูง แต่แบงก์ก็กันสำรองไว้จำนวนมาก วันนี้ถือว่าแบงก์ไทยแกร่งมาก อีกทั้งงบดุลของธุรกิจต่าง ๆ ก็แข็งแรง
"แม้จะมีจุดอ่อนอยู่บ้างในเรื่องหนี้ภาคครัวเรือน หนี้จากการอุปโภค หนี้เอสเอ็มอี แต่หนี้เหล่านี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อระบบจนจะนำไปสู่ปัญหาแบงก์ล้มได้ ปัญหานี้ไม่มีเลย เพราะหนี้น้อยมาก ความเสี่ยงจึงน้อยด้วย" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
สาม ด้านการคลัง แม้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวล เพราะตอนนี้อัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมเงินภายในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ถ้าวันใดที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศสูงกว่าจีดีพี จึงค่อยเป็นห่วง
"ทั้ง 3 เรื่องนี้ทำให้คนไทยอุ่นใจ นอนหลับสบายได้ว่า โอกาสที่ประเทศไทยจะประสบวิกฤตเศรษฐกิจ สไตล์กรีซที่ประสบปัญหาการคลัง สไตล์อเมริกันตอนเจอวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์จากปัญหาสถาบันการเงิน หรือแม้แต่วิกฤตค่าเงินบาทเหมือนตอนต้มยำกุ้งนั้น มีน้อยมาก ๆ แทบจะไม่มีเลย" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ห่วง "จีนช็อก" สะเทือนไทย
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ต้องระวังวิกฤตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจจีน เพราะเศรษฐกิจโลกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557-2559) ที่จีดีพีโลกสามารถเติบโตขึ้นมาได้เฉลี่ย 3.2% ต่อปี มาจากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน สัดส่วนถึง 1.2% ขณะที่สหรัฐมีสัดส่วนเพียง 0.3% บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนมีบทบาท และมีส่วนขับดันเศรษฐกิจโลกมากกว่าสหรัฐถึง 4 เท่า ซึ่งถ้าจะมีความเสี่ยงใดเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลก ก็ย่อมจะมาจากจีนด้วย
สิ่งที่ต้องจับตาคือความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจจีน เนื่องจาก 1-2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตได้จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน ส่วนรายได้เกษตรกรก็สำคัญ เพราะหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ย่อมมีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาสินค้าเกษตรให้ลดลง แล้วประเด็นนี้ย่อมกระทบกับประเทศไทยมากที่สุด เพราะเมื่อใดที่จีนประกาศกดราคายางในประเทศ ราคายางทั่วโลกก็ต้องลดลงด้วย อีกเรื่องคือปัญหาหนี้ในจีนซึ่งโตเร็วมาก และน่าเป็นห่วงมาก เพราะประเทศที่มีหนี้โตไว ปัญหาย่อมมีตามมาไม่ช้าก็เร็ว
สำหรับเรื่องช็อกที่อาจเกิดจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐนั้น ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า เนื่องจากยังไม่มีใครรู้ว่า นายทรัมป์จะทำอะไรบ้าง แต่ผลจากสิ่งที่ทรัมป์พูด เช่น ประกาศจะลดภาษีนิติบุคคล ก็มีผลให้เห็นทันทีหลังประกาศผลเลือกตั้ง ตลาดหุ้นอเมริกาดีดขึ้นมาก หรือกรณีทรัมป์ประกาศจะเพิ่มรายจ่ายต่าง ๆ ซึ่งย่อมมีผลต่อฐานะการคลังสหรัฐให้ขาดดุลเพิ่มขึ้น ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวสหรัฐจึงไต่ขึ้น ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง และเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทยกลับไปสหรัฐ แต่ผลกระทบในข้อนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับประเทศไทย
"แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าและยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือ ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์จากนโยบายของนายทรัมป์ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ยังดูกันไม่ออกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นคำถามใหญ่" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
สำหรับปัญหาสถาบันการเงินในยุโรป แม้จะมีผลทำให้ตลาดเงินตลาดทุนผันผวนบ้าง แต่ก็เป็นไปตามสภาพ ไม่ได้มีผลกับประเทศไทยมากนัก เพราะฐานะการเงินระหว่างประเทศของไทยยังแข็งแรงมาก ๆ ต่างจากมาเลเซียที่ทุนสำรองระหว่างประเทศน้อย ถ้ามีเงินไหลออกมาก ก็จะได้รับผลกระทบมากกว่าไทย
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
รัฐบาลใหม่สหรัฐปัจจัยเสี่ยงหลักปี"60
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยปี 2560 ส่วนหนึ่งจะมาจากสหรัฐ ส่วนความเสี่ยงจากประเทศอื่น ๆ เช่น จากยุโรป ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งจีน ยังเป็นเทรนด์เดิม ๆ เหมือนปี 2559 ที่ผ่านมา
"สหรัฐจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดเงินตลาดทุน ทั้งจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้ง หรือขึ้นไปถึง 1.5% ณ ปี 2560 ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้าย เงินไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า กดดันเงินบาทอ่อนค่า ดังนั้นผู้ที่มีเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐต้องปรับตัว" ดร.กอบศักดิ์กล่าว
ขณะเดียวกัน รัฐบาลใหม่สหรัฐภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีแนวคิดใหม่ที่ไม่เหมือนจากอดีต เช่น มีนโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจาก 35% เป็น 15% มีนโยบายสร้างกำแพงภาษี ซึ่งย่อมกระทบกับการค้าโลก รวมถึงแนวคิดแบบสายเหยี่ยวที่อาจนำไปสู่ผลกระทบด้านความมั่นคงและการเมืองระหว่างประเทศ เป็นต้น
"เศรษฐกิจโลกปี 2560 นโยบายของสหรัฐจะเป็นตัวสร้างความผันผวนให้กับตลาด ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาเรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่ลดลงต่อเนื่องจากปี 2559 ที่ลดลงมากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2560 ก็น่าจะลดลงอีก แม้จะไม่ได้ลงเร็ว ส่วนเรื่องกระบวนการอังกฤษออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) หรือการเมืองในยุโรป ยังเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว ดังนั้นจึงมีผลกระทบไม่มาก" ดร.กอบศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากเฟดประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือน ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา อีก 0.25% มาสู่ระดับ 0.50-0.75% ดร.กอบศักดิ์มองว่า ในปี 2560 ยังมีโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก และน่าจะขึ้นมากกว่าปี 2559 เพราะภาพตลาดและเศรษฐกิจสหรัฐเปลี่ยนไป โดยตลาดจะมีความตึงตัวมากกว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มจะเครื่องร้อนกว่าเดิมจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในของประธานาธิบดีใหม่ ซึ่งจะกดดันให้เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ย และปัจจัยนี้จะเพิ่มความเสี่ยงให้กับตลาดมากกว่าที่เคยคาดกันได้
ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังอิงกับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และดอกเบี้ยไทยไม่ใช่อุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ดร.กอบศักดิ์ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปี 2560 มีปัจจัยบวกจากการเร่งการลงทุนของภาครัฐในหลายโครงการ เห็นได้จากที่เริ่มพูดกันว่าปี 2560 จะเป็นปีทองภาคก่อสร้าง ส่วนมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนฐานรากก็ยังจะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปฏิรูปในทุก ๆ ด้าน ประกอบกับความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้นตามโรดแมปที่รัฐบาลวางไว้
"ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จึงทำให้ประมาณการจีดีพีปี 2560 ขยายตัวได้ในระดับ 3.5-4.0% ได้ และต้องไม่ลืมว่าต้นปี 2560 จะมีเม็ดเงินอีกกว่า 1 แสนล้านบาท จากงบประมาณที่ใส่เข้าไปให้กับกลุ่มจังหวัด ที่ต้องวางแผนยุทธศาสตร์และนำเงินไปใช้ ซึ่งปัจจัยนี้หลายสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจยังไม่ได้รวมเข้าไปอยู่ในประมาณการเศรษฐกิจปี 2560" ดร.กอบศักดิ์กล่าว
JJNY : เศรษฐพุฒิ-ศุภวุฒิ-กอบศักดิ์ 3 เซียนทำนายเศรษฐกิจปีระกา
เศรษฐกิจไทยให้แข็งแรง แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะใช้พลังและเวลามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงใหม่ ๆ เข้ามาสร้างความผันผวนตลอดเวลา "ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับนี้ได้สัมภาษณ์พิเศษ 3 กูรูเศรษฐกิจ ที่จะมาช่วยฉายภาพ
เศรษฐกิจไทยในปีระกาว่าจะเป็น "ปีไก่ทอง" อนาคตสดใสเหมือนที่รัฐบาลวาดฝันไว้หรือไม่
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
ตัวแปรสำคัญคือ "ลงทุนเอกชน"
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประธานกรรมการบริหาร สถาบันอนาคตไทยศึกษา และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2560 ภาพคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะปัญหาเดิม ๆ ยังไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้น ปี 2560 เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ราว 3% ส่วนโอกาสที่จะขยายตัวมากกว่านี้ หรือมี upside ถึง 4% ได้นั้น จะต้องทำให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น
การลงทุนภาคเอกชนสำคัญที่สุด แต่ปัญหาคือ หลังเกิดวิกฤตปี 2540 จนถึงขณะนี้ผ่านไป 20 ปี การลงทุนภาคเอกชนของไทยยังต่ำกว่าเมื่อช่วงปี 2540 และต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนหนึ่งไม่ใช่เอกชนไทยไม่ลงทุน แต่เป็นการไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศแม้จะยังมีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็จะเห็นว่าเราเสียมาร์เก็ตแชร์ให้กับประเทศเพื่อนบ้านไปมากเช่นกัน
ดังนั้น โจทย์ของเศรษฐกิจไทยวันนี้คือ จะทำอย่างไรให้เอกชนลงทุน ซึ่งทำได้จาก 2 ส่วน คือ หนึ่ง ต้องสร้างดีมานด์ภายในประเทศ ทำให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยจะมาจากการทำให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการสร้างประสิทธิภาพแรงงาน การทำให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นด้วยการสร้างแบรนด์ สร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการสร้างสังคมเมืองที่มีขนาดใหญ่มีนวัตกรรมและมีผลิตภาพ
สองการขยายตัวภาคส่งออก ซึ่งปัญหาวันนี้คือการส่งออกไทยติดบ่วงการค้าโลก เพราะหลังปี 2551 หรือหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ แม้เศรษฐกิจโลกจะเติบโตเฉลี่ย 2.8% แต่การค้าโลกกลับขยายตัวเพียง 0.7% ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจสหรัฐโตน้อยลง และจีนมีความต้องการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น
ปัญหาโครงสร้างกด ศก.โต 3%
นอกจากนี้ ดร.เศรษฐพุฒิได้ชี้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไว้ว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตจากภาคบริการ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก
ขณะที่ภาคเกษตร ส่งออก และอุตสาหกรรมไม่มีการเติบโต เรียกว่าเศรษฐกิจเติบโตมาจากไม่กี่แอเรีย คือ "ภาคท่องเที่ยวและภาครัฐ"
ปัญหาของภาคท่องเที่ยวขณะนี้ คือผลจากมาตรการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ เป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้นด้านรายได้ แต่ระยะยาวเศรษฐกิจที่เติบโตจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวเป็นหลักจะไม่ค่อยดี เพราะจะเป็นเมืองที่ไม่มีการลงทุน หรือสร้างโปรดักทิวิตี้ เหมือนภาคอุตสาหกรรมการผลิต
"เศรษฐกิจที่เติบโตจากภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก ผมเรียกว่าเป็น เศรษฐกิจดิสนีย์แลนด์ คือโตด้วยดีมานด์จากต่างประเทศ ต้องรอรับรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเทียบไม่ได้กับประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตด้วยภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิต ที่สามารถสร้างประสิทธิภาพแรงงานและเพิ่มรายได้" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีประชากรภาคเกษตรสูงถึง 30% ของประเทศ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่มีระดับรายได้เท่าประเทศไทย มีสัดส่วนประชากรในภาคเกษตรน้อยกว่านี้ และมีประชากรเมืองสัดส่วนมากกว่า
"ภาพอย่างนี้เป็นมานานกว่า 10 ปี เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย เป็นปัญหาด้านโครงสร้างแรงงาน ผลิตภาพต่ำ เศรษฐกิจอิงกับภาคบริการมาก ภาพเหล่านี้ยังไม่เปลี่ยน และปี 2560 ก็ยังเป็นแบบนี้ ดังนั้น หน้าตาเศรษฐกิจในปี 2560 ก็จะคล้าย ๆ ปีที่ผ่านมา" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ยันไทยไม่ซ้ำรอยวิกฤตปี"40
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีข้อดี คือความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ยังต่ำมาก ๆ ซึ่งต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ที่มีความเปราะบางมากกว่า เมื่อพิจารณาความเสี่ยงในแง่เศรษฐกิจมหภาคจาก 3 ด้าน ได้แก่ ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกถือว่าน้อย เพราะประเทศไทยมีฐานะการเงินระหว่างประเทศดีมาก มีหนี้ต่างประเทศน้อย ขณะที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศมาก ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลระดับ 10% ของจีดีพี นับว่าติดอันดับท็อปของโลกด้วยซ้ำแต่การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาก ๆ ด้านหนึ่งก็สะท้อนว่าประเทศไทยลงทุนน้อยมาก แต่อีกด้านก็ช่วยให้ค่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าเร็วและแรงอย่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งช่วงปลายปี 2559 ที่ผ่านมา บางประเทศในภูมิภาคนี้ค่าเงินอ่อนมาก แต่ค่าเงินบาทไทยยังนิ่ง
สองหนี้ในระบบธนาคารพาณิชย์น้อย ต่างจากปี 2540 ที่เศรษฐกิจไทยโดน 2 เด้ง ทั้งปัญหาค่าเงินและปัญหาแบงก์ แต่วันนี้แบงก์พาณิชย์ไทยมีทุนมหาศาล สภาพคล่องสูง แม้ตอนนี้จะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สูง แต่แบงก์ก็กันสำรองไว้จำนวนมาก วันนี้ถือว่าแบงก์ไทยแกร่งมาก อีกทั้งงบดุลของธุรกิจต่าง ๆ ก็แข็งแรง
"แม้จะมีจุดอ่อนอยู่บ้างในเรื่องหนี้ภาคครัวเรือน หนี้จากการอุปโภค หนี้เอสเอ็มอี แต่หนี้เหล่านี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อระบบจนจะนำไปสู่ปัญหาแบงก์ล้มได้ ปัญหานี้ไม่มีเลย เพราะหนี้น้อยมาก ความเสี่ยงจึงน้อยด้วย" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
สาม ด้านการคลัง แม้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวล เพราะตอนนี้อัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมเงินภายในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ถ้าวันใดที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศสูงกว่าจีดีพี จึงค่อยเป็นห่วง
"ทั้ง 3 เรื่องนี้ทำให้คนไทยอุ่นใจ นอนหลับสบายได้ว่า โอกาสที่ประเทศไทยจะประสบวิกฤตเศรษฐกิจ สไตล์กรีซที่ประสบปัญหาการคลัง สไตล์อเมริกันตอนเจอวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์จากปัญหาสถาบันการเงิน หรือแม้แต่วิกฤตค่าเงินบาทเหมือนตอนต้มยำกุ้งนั้น มีน้อยมาก ๆ แทบจะไม่มีเลย" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ห่วง "จีนช็อก" สะเทือนไทย
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ต้องระวังวิกฤตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจจีน เพราะเศรษฐกิจโลกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557-2559) ที่จีดีพีโลกสามารถเติบโตขึ้นมาได้เฉลี่ย 3.2% ต่อปี มาจากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน สัดส่วนถึง 1.2% ขณะที่สหรัฐมีสัดส่วนเพียง 0.3% บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนมีบทบาท และมีส่วนขับดันเศรษฐกิจโลกมากกว่าสหรัฐถึง 4 เท่า ซึ่งถ้าจะมีความเสี่ยงใดเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลก ก็ย่อมจะมาจากจีนด้วย
สิ่งที่ต้องจับตาคือความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจจีน เนื่องจาก 1-2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตได้จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน ส่วนรายได้เกษตรกรก็สำคัญ เพราะหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ย่อมมีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาสินค้าเกษตรให้ลดลง แล้วประเด็นนี้ย่อมกระทบกับประเทศไทยมากที่สุด เพราะเมื่อใดที่จีนประกาศกดราคายางในประเทศ ราคายางทั่วโลกก็ต้องลดลงด้วย อีกเรื่องคือปัญหาหนี้ในจีนซึ่งโตเร็วมาก และน่าเป็นห่วงมาก เพราะประเทศที่มีหนี้โตไว ปัญหาย่อมมีตามมาไม่ช้าก็เร็ว
สำหรับเรื่องช็อกที่อาจเกิดจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐนั้น ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า เนื่องจากยังไม่มีใครรู้ว่า นายทรัมป์จะทำอะไรบ้าง แต่ผลจากสิ่งที่ทรัมป์พูด เช่น ประกาศจะลดภาษีนิติบุคคล ก็มีผลให้เห็นทันทีหลังประกาศผลเลือกตั้ง ตลาดหุ้นอเมริกาดีดขึ้นมาก หรือกรณีทรัมป์ประกาศจะเพิ่มรายจ่ายต่าง ๆ ซึ่งย่อมมีผลต่อฐานะการคลังสหรัฐให้ขาดดุลเพิ่มขึ้น ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวสหรัฐจึงไต่ขึ้น ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง และเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทยกลับไปสหรัฐ แต่ผลกระทบในข้อนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับประเทศไทย
"แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าและยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือ ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์จากนโยบายของนายทรัมป์ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ยังดูกันไม่ออกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นคำถามใหญ่" ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
สำหรับปัญหาสถาบันการเงินในยุโรป แม้จะมีผลทำให้ตลาดเงินตลาดทุนผันผวนบ้าง แต่ก็เป็นไปตามสภาพ ไม่ได้มีผลกับประเทศไทยมากนัก เพราะฐานะการเงินระหว่างประเทศของไทยยังแข็งแรงมาก ๆ ต่างจากมาเลเซียที่ทุนสำรองระหว่างประเทศน้อย ถ้ามีเงินไหลออกมาก ก็จะได้รับผลกระทบมากกว่าไทย
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
รัฐบาลใหม่สหรัฐปัจจัยเสี่ยงหลักปี"60
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยปี 2560 ส่วนหนึ่งจะมาจากสหรัฐ ส่วนความเสี่ยงจากประเทศอื่น ๆ เช่น จากยุโรป ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งจีน ยังเป็นเทรนด์เดิม ๆ เหมือนปี 2559 ที่ผ่านมา
"สหรัฐจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดเงินตลาดทุน ทั้งจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้ง หรือขึ้นไปถึง 1.5% ณ ปี 2560 ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้าย เงินไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า กดดันเงินบาทอ่อนค่า ดังนั้นผู้ที่มีเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐต้องปรับตัว" ดร.กอบศักดิ์กล่าว
ขณะเดียวกัน รัฐบาลใหม่สหรัฐภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีแนวคิดใหม่ที่ไม่เหมือนจากอดีต เช่น มีนโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจาก 35% เป็น 15% มีนโยบายสร้างกำแพงภาษี ซึ่งย่อมกระทบกับการค้าโลก รวมถึงแนวคิดแบบสายเหยี่ยวที่อาจนำไปสู่ผลกระทบด้านความมั่นคงและการเมืองระหว่างประเทศ เป็นต้น
"เศรษฐกิจโลกปี 2560 นโยบายของสหรัฐจะเป็นตัวสร้างความผันผวนให้กับตลาด ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาเรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่ลดลงต่อเนื่องจากปี 2559 ที่ลดลงมากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2560 ก็น่าจะลดลงอีก แม้จะไม่ได้ลงเร็ว ส่วนเรื่องกระบวนการอังกฤษออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) หรือการเมืองในยุโรป ยังเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว ดังนั้นจึงมีผลกระทบไม่มาก" ดร.กอบศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากเฟดประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือน ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา อีก 0.25% มาสู่ระดับ 0.50-0.75% ดร.กอบศักดิ์มองว่า ในปี 2560 ยังมีโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก และน่าจะขึ้นมากกว่าปี 2559 เพราะภาพตลาดและเศรษฐกิจสหรัฐเปลี่ยนไป โดยตลาดจะมีความตึงตัวมากกว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มจะเครื่องร้อนกว่าเดิมจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในของประธานาธิบดีใหม่ ซึ่งจะกดดันให้เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ย และปัจจัยนี้จะเพิ่มความเสี่ยงให้กับตลาดมากกว่าที่เคยคาดกันได้
ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังอิงกับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และดอกเบี้ยไทยไม่ใช่อุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ดร.กอบศักดิ์ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปี 2560 มีปัจจัยบวกจากการเร่งการลงทุนของภาครัฐในหลายโครงการ เห็นได้จากที่เริ่มพูดกันว่าปี 2560 จะเป็นปีทองภาคก่อสร้าง ส่วนมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนฐานรากก็ยังจะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปฏิรูปในทุก ๆ ด้าน ประกอบกับความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้นตามโรดแมปที่รัฐบาลวางไว้
"ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จึงทำให้ประมาณการจีดีพีปี 2560 ขยายตัวได้ในระดับ 3.5-4.0% ได้ และต้องไม่ลืมว่าต้นปี 2560 จะมีเม็ดเงินอีกกว่า 1 แสนล้านบาท จากงบประมาณที่ใส่เข้าไปให้กับกลุ่มจังหวัด ที่ต้องวางแผนยุทธศาสตร์และนำเงินไปใช้ ซึ่งปัจจัยนี้หลายสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจยังไม่ได้รวมเข้าไปอยู่ในประมาณการเศรษฐกิจปี 2560" ดร.กอบศักดิ์กล่าว