
💟 #LaLaLand : 10/10 💟
ได้ดูหนังสุดจี๊ดเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของปี 2016 ออกจากโรงแล้วก็กลับมา count down ที่บ้านต่อพอดีถือเป็นการส่งท้ายปีที่อิ่มเอมในใจมาก
ว่าจะเขียนถึงตั้งแต่คืนนั้น แต่ความรู้สึกบอกว่า อยากจะเก็บมาคิดให้ตกผลึกบางอย่างในใจก่อน
ไม่ขอพูดถึงองค์ประกอบใดๆของภาพยนตร์เรื่องนี้นะคะ เอาเป็นว่าดีงาม 10/10 ทุกสิ่งจริงๆ รอรับรางวัลยอดเยี่ยมทั้งหลายได้เลย ตั้งแต่นักแสดง บท ผู้กำกับ เพลงประกอบ ฉากต่างๆ เครื่องแต่งกาย กำกับศิลป์ ไม่มีตรงไหนจะติเลย ไม่ใช่ว่าเพราะชอบหนังเลยยินดีมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆหรอกนะ แต่มันไม่มีอะไรให้ติจริงๆ! 😋
ต่อไปนี้เป็น spoil ล้วนๆ 💣💣💣💣💣
(เตือนแล้วนา .. คนที่จะอ่านต่อควรดูแล้วเท่านั้นจ้ะ!)
หนังจบด้วยความเศร้าบาดลึก แบบที่ทุกคนน่าจะสัมผัสได้ถึงความจี๊ดที่มันทิ่มแทงใจอย่างแรง! คนสองคนที่รักกันมากขนาดนี้ เห็นค่าของความฝันซึ่งกันและกันขนาดนี้ แล้วทำไมถึงทำพลาดกับชีวิตได้รุนแรงขนาดนี้!
ช่วงสุดท้ายตั้งแต่นางเอกเดินเข้าไปในคลับแล้วเห็นป้ายชื่อร้านว่า #Seb's (ชื่อย่อของพระเอก มาจากชื่อเต็มคือ Sebastian) ก็กระชากใจเราสุดๆแล้ว น้ำตามาเต็ม เตรียมใจไว้เลยว่าเดี๋ยวคงต้องร้องไห้หนักกว่านี้แน่ๆในฉากต่อไปที่ทั้งสองคนจะได้เจอกัน ขนาดว่าเตรียมใจเศร้าอย่างหนักเอาไว้แล้วนะ ตอนมาเจอการบดขยี้ซ้ำด้วยภาพฝันในหัวของพระเอกเข้าไป เรานี่แทบอยากจะตายเสียให้ได้! มันเจ็บปวดจนพูดไม่ออก ต้องการพลังใจมาซัพพอร์ทอย่างด่วน แต่พอหันไปกลับเจอว่าคนข้างๆก็น้ำตาพรากไม่แพ้กัน 😂😂😂
เราว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทั้งสองคนต้องมีชีวิตไปคนละเส้นทาง ก็เพราะวิธีคิดและมุมมองในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันมากไป และความกล้าในการตัดสินใจที่มีไม่เท่ากัน
พระเอกนั้นมีความคาดหวังสูง ต้องการให้ฝันนั้นสมบูรณ์แบบอย่างที่ตัวเองต้องการ เขารักในดนตรี Jazz ที่เป็นแบบออริจินัลแท้ๆ ฝันอยากมีคลับของตัวเองที่จะได้เล่นดนตรีที่เขารักในรูปแบบที่เขาต้องการ อันนี้ชัดเจนจากคำบอกเล่าที่เพื่อน (คนที่ชวนไปเล่นดนตรีให้) บอกกับเขาว่า "ดนตรีแจ๊สจะตาย เพราะคนอย่างนาย"
ตอนจบคงไม่เศร้าแบบนี้ ถ้าตอนนั้นพระเอกเรียนรู้ที่จะปรับตัวซะหน่อย ลดความคาดหวังลงมา .. แล้วเปิดคลับแจ๊สตามความฝันไปซะตั้งแต่เริ่มมีเงิน ตามที่นางเอกบอกให้เขาเริ่มทำมันซะทีตั้งแต่วันนั้น วันที่พระเอกทำเซอร์ไพรซ์แอบกลับบ้านมาหานางเอกแล้วมาทำอาหารรอ 😙 (เราจะสัมผัสได้ถึงความรักของทั้งสองคนนี้จากหลายๆฉากซึ่งเยอะมาก นี่เป็นแค่หนึ่งในนั้น)
เราว่านั่นแหละ วันนั้นแหละ #จุดหักเห ของสองคนนี้เลย .. มันคือจุดเริ่มต้นของเส้นขนานที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกันอีก
ส่วนนางเอก .. นางเป็นพวกขอให้ได้ใกล้ฝันไปทีละนิดๆ การตามฝันกับการใช้ชีวิตคือเนื้อเดียวกัน นางฝันอยากเป็นนักแสดงอาชีพ ต้องไปออดิชั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยินดี ขณะเดียวกันเมื่อรักใครสักคนก็อยากจะอยู่ด้วยกันไปใช้ชีวิตด้วยกัน มีกันและกัน เพื่อที่จะไล่ตามฝันไปด้วยกัน
แต่ความคิดของพระเอก จะคิดอะไรก็ตาม ต้องมีความสมบูรณ์แบบ เขาต้องการให้ชีวิต ออกมาเป๊ะ ปัง! ดังภาพในหัว แบ่งแยกความฝัน กับการมีชีวิตเพื่อตามฝันออกจากกัน ยินดีอดทนเฝ้ารอวันที่ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์ แล้วค่อยเริ่มต้นทุกอย่าง (ที่สวยงาม) จากจุดนั้น ซึ่งมันอาจจะสายไป ..
แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนลึกที่สุดแล้ว ไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นอย่างไร เราทุกคนต่างก็ต้องการมี "#ใครสักคน" อยู่ในชีวิต ใครสักคนที่จะเห็นคุณค่าในตัวเราและคอยเป็นกำลังใจให้ในช่วงเวลาสำคัญๆและเปราะบางเสมอ ..
หากปราศจากสิ่งนี้แล้ว ชีวิตทั้งชีวิตของใครบางคนอาจถึงขั้นล้มลงและไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นได้เลย
ถ้าวันนั้น .. พระเอกเลือกที่จะจับมือนางเอกไว้แล้วสู้ไปด้วยกันตามกำลังที่มี วันที่นางเอกเปิดการแสดงเดี่ยว แม้จะไม่มีผู้ชมสักคนนางก็จะไม่รู้สึก fail (จนไม่คิดจะกลับไปออดิชั่นอีก)ขนาดนี้ เพราะนางรู้ว่าอย่างน้อยนางยังมีพระเอกที่รักและเห็นคุณค่าในตัวนางเสมอ แต่ที่นางรู้สึก fail ขนาดนั้น เพราะพระเอกไม่มา!!
นี่คือจุดที่นางเอก #ตัดใจจริงๆ!!(ตัดใจทั้งจากการแสดงและพระเอก!) เพราะรู้สึกว่ามันหมดสิ้นไปแล้วทั้งความรักและความฝัน
วันที่เธอต้องการกำลังใจจากเขาที่สุด แต่เขากลับไม่ให้ความสำคัญกับเธอมากพอ รักและฝันที่ผสานกันเป็นเนื้อเดียวของเธอจึงพินาศลงพร้อมกันในคราวเดียว
พระเอกก็รู้! ว่าทำผิดอย่างร้ายแรงที่สุดต่อนางเอก ดังนั้น มันไม่ใช่ความดีความชอบของพระเอกหรอกที่มีส่วนทำให้เธอได้ไปออดิชั่นครั้งสุดท้าย แต่มันคือความผิดพลาดของพระเอกต่างหากที่ทำลายความเชื่อมั่นและหัวใจทั้งดวงของนางเอกจนย่อยยับ!
ไม่ใช่เพราะนางไม่กล้าไปออดิชั่น นางกล้าอยู่แล้ว นางทำมาเป็นร้อยครั้ง! จุดที่ยากกว่านั้นคือ การเปิดการแสดงเดี่ยวเอง เขียนบทเอง! นางยังกล้า! นางทำมันมาแล้ว! นางทำได้! เพราะอะไร? เพราะในใจนางมีความรักความเชื่อมั่นที่พระเอกมีให้นางคอยหล่อเลี้ยงอยู่! แต่วันที่สำคัญที่สุด ต้องใช้พลังทั้งหมดทั้งมวลมากที่สุด พระเอกกลับไม่มา!!! คิดดูแล้วกันว่านางจะรู้สึกแหลกสลายขนาดไหน
การกระทำของพระเอกในตอนสุดท้าย ไม่ใช่ความดีความชอบ แต่เป็นการ "ขอโทษ" เป็นการทำเพื่อชดเชยสิ่งที่ตัวเองทำลายมันลง! ซึ่งพระเอกรู้ดีว่าถ้าเขาช่วยให้นางเอกกลับมาบนเส้นทางแห่งความฝันไม่ได้ เขาเองนี่แหละจะต้องทนกับความรู้สึกผิดที่จะหลอกหลอนไปชั่วชีวิต!
นางเอกกลับมาเดินบนเส้นทางแห่งความฝันของตัวเองได้อีกครั้ง ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แต่เธอหมดศรัทธาในความรักที่มีต่อพระเอกแล้ว เพราะหลังจากออดิชั่นครั้งสุดท้าย พระเอกยังคงไม่มีความ(กล้า)คิดที่จะเลือกความรักแล้วลงมือตามฝันไปด้วยกันเลย (นางถามเขาว่าแล้วเขาจะทำอะไรต่อ? คำตอบของเขาก็ยังไม่มีเธออยู่ในทางเลือกของเขาอยู่ดี 😢😭😭)
สุดท้าย .. ปลายทางแห่ง La La Land ทั้งสองคนไล่คว้าความฝันได้สำเร็จ แต่ความสุขสมบูรณ์ในชีวิตนั้นแตกต่างกัน ..
นางเอกกล้าที่จะเลือกชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ หลังจากล้มลงและลุกขึ้นได้อีกครั้ง เมื่อได้เจอกับคนที่รักและกล้าที่จะร่วมชีวิตฟันฝ่าอุปสรรคร่วมกันนางก็โอบรับโอกาสนั้นไว้ สร้างครอบครัวเล็กๆที่มีความสุข มีลูก และใช้ชีวิตระหว่างความรักและความฝันอย่างลงตัว นางไม่มีอะไรให้ต้องเศร้าเสียดาย
แต่สำหรับพระเอก เมื่อตอนที่หันมาเจอกับนางเอกที่อยู่เคียงข้างกับใครอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเขา ความรู้สึกบางอย่างในส่วนลึกที่สุดที่เขาพยายามซ่อนมันไว้จึงเหมือนถูกกระตุ้นให้แสดงตัวออกมา ภาพฝันทั้งหมดของเขาในตอนสุดท้าย สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักรู้จากก้นบึ้งแห่งความรู้สึกที่ต้องยอมรับแต่โดยดีว่าตัวเขานั้นได้ทำให้ #สิ่งมีค่าที่สุด หลุดมือหายไปอย่างไม่มีวันได้คืนเสียแล้ว ความเศร้าเสียดายที่กำลังบาดลึกอยู่นี้คงจะย้อนกลับมาทิ่มแทงเขาครั้งแล้วครั้งเล่าไปอีกนาน ..
ให้ตายเถอะ! สายตาที่ทั้งสองคนมองกัน และรอยยิ้มสุดท้ายที่แสนเศร้าของพระเอก ยังวนเวียนอยู่ในความรู้สึกของเราอย่างสลัดไม่หลุดเลย!!
ในความเศร้านั้น เมื่อมองย้อนกับไป มันก็มีเรื่องราวที่สวยงามอยู่มากมาย มีความงามของความรัก ความงามของความฝัน ความงามของ passion /แรงปรารถนา น่าเสียดายที่มีหลายคนไม่พยายาม blend มันเข้าด้วยกันทั้งที่มันทำได้!!
สิ่งดีงามที่สุดหลังจากดูจบก็คือ การที่เราและคนข้างๆ ได้ข้อสรุปที่ตรงกันว่า "ไม่ว่าชีวิตจะส่งบททดสอบอะไรมาให้เราก็ตาม เราสองคนไม่มีวันปล่อยมือจากกันแน่ และถ้าต้องเลือกระหว่างความรักและความสำเร็จ เราก็ยืนยันว่าเราอยู่ #ทีมความรัก เพราะไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม มันจะเป็นเพียงความว่างเปล่าและไร้ความหมายถ้าในความสำเร็จนั้นไม่ได้มีเราอยู่ด้วยกัน"
ใครดูแล้วคิดเห็นเช่นไร มาแลกเปลี่ยนกันนะคะ 😉
LaLaLand รักและฝันมันควรจะไปด้วยกันไม่ใช่หรือ? (Spoil เน้นๆ**)
💟 #LaLaLand : 10/10 💟
ได้ดูหนังสุดจี๊ดเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของปี 2016 ออกจากโรงแล้วก็กลับมา count down ที่บ้านต่อพอดีถือเป็นการส่งท้ายปีที่อิ่มเอมในใจมาก
ว่าจะเขียนถึงตั้งแต่คืนนั้น แต่ความรู้สึกบอกว่า อยากจะเก็บมาคิดให้ตกผลึกบางอย่างในใจก่อน
ไม่ขอพูดถึงองค์ประกอบใดๆของภาพยนตร์เรื่องนี้นะคะ เอาเป็นว่าดีงาม 10/10 ทุกสิ่งจริงๆ รอรับรางวัลยอดเยี่ยมทั้งหลายได้เลย ตั้งแต่นักแสดง บท ผู้กำกับ เพลงประกอบ ฉากต่างๆ เครื่องแต่งกาย กำกับศิลป์ ไม่มีตรงไหนจะติเลย ไม่ใช่ว่าเพราะชอบหนังเลยยินดีมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆหรอกนะ แต่มันไม่มีอะไรให้ติจริงๆ! 😋
ต่อไปนี้เป็น spoil ล้วนๆ 💣💣💣💣💣
(เตือนแล้วนา .. คนที่จะอ่านต่อควรดูแล้วเท่านั้นจ้ะ!)
หนังจบด้วยความเศร้าบาดลึก แบบที่ทุกคนน่าจะสัมผัสได้ถึงความจี๊ดที่มันทิ่มแทงใจอย่างแรง! คนสองคนที่รักกันมากขนาดนี้ เห็นค่าของความฝันซึ่งกันและกันขนาดนี้ แล้วทำไมถึงทำพลาดกับชีวิตได้รุนแรงขนาดนี้!
ช่วงสุดท้ายตั้งแต่นางเอกเดินเข้าไปในคลับแล้วเห็นป้ายชื่อร้านว่า #Seb's (ชื่อย่อของพระเอก มาจากชื่อเต็มคือ Sebastian) ก็กระชากใจเราสุดๆแล้ว น้ำตามาเต็ม เตรียมใจไว้เลยว่าเดี๋ยวคงต้องร้องไห้หนักกว่านี้แน่ๆในฉากต่อไปที่ทั้งสองคนจะได้เจอกัน ขนาดว่าเตรียมใจเศร้าอย่างหนักเอาไว้แล้วนะ ตอนมาเจอการบดขยี้ซ้ำด้วยภาพฝันในหัวของพระเอกเข้าไป เรานี่แทบอยากจะตายเสียให้ได้! มันเจ็บปวดจนพูดไม่ออก ต้องการพลังใจมาซัพพอร์ทอย่างด่วน แต่พอหันไปกลับเจอว่าคนข้างๆก็น้ำตาพรากไม่แพ้กัน 😂😂😂
เราว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทั้งสองคนต้องมีชีวิตไปคนละเส้นทาง ก็เพราะวิธีคิดและมุมมองในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันมากไป และความกล้าในการตัดสินใจที่มีไม่เท่ากัน
พระเอกนั้นมีความคาดหวังสูง ต้องการให้ฝันนั้นสมบูรณ์แบบอย่างที่ตัวเองต้องการ เขารักในดนตรี Jazz ที่เป็นแบบออริจินัลแท้ๆ ฝันอยากมีคลับของตัวเองที่จะได้เล่นดนตรีที่เขารักในรูปแบบที่เขาต้องการ อันนี้ชัดเจนจากคำบอกเล่าที่เพื่อน (คนที่ชวนไปเล่นดนตรีให้) บอกกับเขาว่า "ดนตรีแจ๊สจะตาย เพราะคนอย่างนาย"
ตอนจบคงไม่เศร้าแบบนี้ ถ้าตอนนั้นพระเอกเรียนรู้ที่จะปรับตัวซะหน่อย ลดความคาดหวังลงมา .. แล้วเปิดคลับแจ๊สตามความฝันไปซะตั้งแต่เริ่มมีเงิน ตามที่นางเอกบอกให้เขาเริ่มทำมันซะทีตั้งแต่วันนั้น วันที่พระเอกทำเซอร์ไพรซ์แอบกลับบ้านมาหานางเอกแล้วมาทำอาหารรอ 😙 (เราจะสัมผัสได้ถึงความรักของทั้งสองคนนี้จากหลายๆฉากซึ่งเยอะมาก นี่เป็นแค่หนึ่งในนั้น)
เราว่านั่นแหละ วันนั้นแหละ #จุดหักเห ของสองคนนี้เลย .. มันคือจุดเริ่มต้นของเส้นขนานที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกันอีก
ส่วนนางเอก .. นางเป็นพวกขอให้ได้ใกล้ฝันไปทีละนิดๆ การตามฝันกับการใช้ชีวิตคือเนื้อเดียวกัน นางฝันอยากเป็นนักแสดงอาชีพ ต้องไปออดิชั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยินดี ขณะเดียวกันเมื่อรักใครสักคนก็อยากจะอยู่ด้วยกันไปใช้ชีวิตด้วยกัน มีกันและกัน เพื่อที่จะไล่ตามฝันไปด้วยกัน
แต่ความคิดของพระเอก จะคิดอะไรก็ตาม ต้องมีความสมบูรณ์แบบ เขาต้องการให้ชีวิต ออกมาเป๊ะ ปัง! ดังภาพในหัว แบ่งแยกความฝัน กับการมีชีวิตเพื่อตามฝันออกจากกัน ยินดีอดทนเฝ้ารอวันที่ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์ แล้วค่อยเริ่มต้นทุกอย่าง (ที่สวยงาม) จากจุดนั้น ซึ่งมันอาจจะสายไป ..
แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนลึกที่สุดแล้ว ไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นอย่างไร เราทุกคนต่างก็ต้องการมี "#ใครสักคน" อยู่ในชีวิต ใครสักคนที่จะเห็นคุณค่าในตัวเราและคอยเป็นกำลังใจให้ในช่วงเวลาสำคัญๆและเปราะบางเสมอ ..
หากปราศจากสิ่งนี้แล้ว ชีวิตทั้งชีวิตของใครบางคนอาจถึงขั้นล้มลงและไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นได้เลย
ถ้าวันนั้น .. พระเอกเลือกที่จะจับมือนางเอกไว้แล้วสู้ไปด้วยกันตามกำลังที่มี วันที่นางเอกเปิดการแสดงเดี่ยว แม้จะไม่มีผู้ชมสักคนนางก็จะไม่รู้สึก fail (จนไม่คิดจะกลับไปออดิชั่นอีก)ขนาดนี้ เพราะนางรู้ว่าอย่างน้อยนางยังมีพระเอกที่รักและเห็นคุณค่าในตัวนางเสมอ แต่ที่นางรู้สึก fail ขนาดนั้น เพราะพระเอกไม่มา!!
นี่คือจุดที่นางเอก #ตัดใจจริงๆ!!(ตัดใจทั้งจากการแสดงและพระเอก!) เพราะรู้สึกว่ามันหมดสิ้นไปแล้วทั้งความรักและความฝัน
วันที่เธอต้องการกำลังใจจากเขาที่สุด แต่เขากลับไม่ให้ความสำคัญกับเธอมากพอ รักและฝันที่ผสานกันเป็นเนื้อเดียวของเธอจึงพินาศลงพร้อมกันในคราวเดียว
พระเอกก็รู้! ว่าทำผิดอย่างร้ายแรงที่สุดต่อนางเอก ดังนั้น มันไม่ใช่ความดีความชอบของพระเอกหรอกที่มีส่วนทำให้เธอได้ไปออดิชั่นครั้งสุดท้าย แต่มันคือความผิดพลาดของพระเอกต่างหากที่ทำลายความเชื่อมั่นและหัวใจทั้งดวงของนางเอกจนย่อยยับ!
ไม่ใช่เพราะนางไม่กล้าไปออดิชั่น นางกล้าอยู่แล้ว นางทำมาเป็นร้อยครั้ง! จุดที่ยากกว่านั้นคือ การเปิดการแสดงเดี่ยวเอง เขียนบทเอง! นางยังกล้า! นางทำมันมาแล้ว! นางทำได้! เพราะอะไร? เพราะในใจนางมีความรักความเชื่อมั่นที่พระเอกมีให้นางคอยหล่อเลี้ยงอยู่! แต่วันที่สำคัญที่สุด ต้องใช้พลังทั้งหมดทั้งมวลมากที่สุด พระเอกกลับไม่มา!!! คิดดูแล้วกันว่านางจะรู้สึกแหลกสลายขนาดไหน
การกระทำของพระเอกในตอนสุดท้าย ไม่ใช่ความดีความชอบ แต่เป็นการ "ขอโทษ" เป็นการทำเพื่อชดเชยสิ่งที่ตัวเองทำลายมันลง! ซึ่งพระเอกรู้ดีว่าถ้าเขาช่วยให้นางเอกกลับมาบนเส้นทางแห่งความฝันไม่ได้ เขาเองนี่แหละจะต้องทนกับความรู้สึกผิดที่จะหลอกหลอนไปชั่วชีวิต!
นางเอกกลับมาเดินบนเส้นทางแห่งความฝันของตัวเองได้อีกครั้ง ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แต่เธอหมดศรัทธาในความรักที่มีต่อพระเอกแล้ว เพราะหลังจากออดิชั่นครั้งสุดท้าย พระเอกยังคงไม่มีความ(กล้า)คิดที่จะเลือกความรักแล้วลงมือตามฝันไปด้วยกันเลย (นางถามเขาว่าแล้วเขาจะทำอะไรต่อ? คำตอบของเขาก็ยังไม่มีเธออยู่ในทางเลือกของเขาอยู่ดี 😢😭😭)
สุดท้าย .. ปลายทางแห่ง La La Land ทั้งสองคนไล่คว้าความฝันได้สำเร็จ แต่ความสุขสมบูรณ์ในชีวิตนั้นแตกต่างกัน ..
นางเอกกล้าที่จะเลือกชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ หลังจากล้มลงและลุกขึ้นได้อีกครั้ง เมื่อได้เจอกับคนที่รักและกล้าที่จะร่วมชีวิตฟันฝ่าอุปสรรคร่วมกันนางก็โอบรับโอกาสนั้นไว้ สร้างครอบครัวเล็กๆที่มีความสุข มีลูก และใช้ชีวิตระหว่างความรักและความฝันอย่างลงตัว นางไม่มีอะไรให้ต้องเศร้าเสียดาย
แต่สำหรับพระเอก เมื่อตอนที่หันมาเจอกับนางเอกที่อยู่เคียงข้างกับใครอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเขา ความรู้สึกบางอย่างในส่วนลึกที่สุดที่เขาพยายามซ่อนมันไว้จึงเหมือนถูกกระตุ้นให้แสดงตัวออกมา ภาพฝันทั้งหมดของเขาในตอนสุดท้าย สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักรู้จากก้นบึ้งแห่งความรู้สึกที่ต้องยอมรับแต่โดยดีว่าตัวเขานั้นได้ทำให้ #สิ่งมีค่าที่สุด หลุดมือหายไปอย่างไม่มีวันได้คืนเสียแล้ว ความเศร้าเสียดายที่กำลังบาดลึกอยู่นี้คงจะย้อนกลับมาทิ่มแทงเขาครั้งแล้วครั้งเล่าไปอีกนาน ..
ให้ตายเถอะ! สายตาที่ทั้งสองคนมองกัน และรอยยิ้มสุดท้ายที่แสนเศร้าของพระเอก ยังวนเวียนอยู่ในความรู้สึกของเราอย่างสลัดไม่หลุดเลย!!
ในความเศร้านั้น เมื่อมองย้อนกับไป มันก็มีเรื่องราวที่สวยงามอยู่มากมาย มีความงามของความรัก ความงามของความฝัน ความงามของ passion /แรงปรารถนา น่าเสียดายที่มีหลายคนไม่พยายาม blend มันเข้าด้วยกันทั้งที่มันทำได้!!
สิ่งดีงามที่สุดหลังจากดูจบก็คือ การที่เราและคนข้างๆ ได้ข้อสรุปที่ตรงกันว่า "ไม่ว่าชีวิตจะส่งบททดสอบอะไรมาให้เราก็ตาม เราสองคนไม่มีวันปล่อยมือจากกันแน่ และถ้าต้องเลือกระหว่างความรักและความสำเร็จ เราก็ยืนยันว่าเราอยู่ #ทีมความรัก เพราะไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม มันจะเป็นเพียงความว่างเปล่าและไร้ความหมายถ้าในความสำเร็จนั้นไม่ได้มีเราอยู่ด้วยกัน"
ใครดูแล้วคิดเห็นเช่นไร มาแลกเปลี่ยนกันนะคะ 😉