ช่วงนี้หลาย ๆ คนคงจะเตรียมตัวจะไปต้อนรับปีใหม่และหลายคนก็กำลังจะหนีร้อนไปพึ่งเย็นทางแถบภาคเหนือของไทยเรา เรียก จขกท ว่า กลุ่มหรรมรุง ก่อนอื่นต้องบอกว่าเราอยากไปเที่ยวเแต่ด้วยงบประมาณจำกัดจะไปเที่ยวไหนดีที่ไกล สวย รับบรรยากาศเย็นๆ วัยรุ่นอย่างพวกเรา จึงหาสถานที่ท่องเที่ยว วันหนึ่งได้เห็นข่าวใน TV ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่อยู่ที่เขียงราย นั่นคือ ภูชี้เดือน หลายคนอาจรู้จักแต่ภูชีฟ้า การไปครั้งนี้จะขึ้น ครบทั้ง 3 ภูพี่น้องเลย คือ ภูชี้เดือน ภูชี้ดาว ภูชี้ฟ้า (ถ้าใครมีโอกาสได้ไปแนะนำให้ขึ้นผาตั้งอีกที่หนึ่งซึ่งจะอยู่ใกล้เคียงกัน ห่างจากภูชี้เดือน 10 Kms) เราเลยศึกษาข้อมูลการเดินทางที่พักและพวกเราก็เริ่มรีวิววิธีการเดินทางกันเลย

การเดินทางเราเริ่มด้วยการเดินทางด้วยรถไฟชั้น 3 (เรียกง่ายๆ ว่ารถไฟฟรี) สายเหนือจาก หัวลำโพง(กรุงเทพฯ)-เชียงใหม่ ต้องบอกก่อนว่าเที่ยวรถไฟฟรี มีแค่ 1 รอบ/เท่านั้น นะครับ(ถ้ารถไฟด่วนพิเศษหรือเที่ยวรถไฟที่เสียเงินจะมีอีก 3 รอบ/วัน) เราเริ่มออกเดินทางรอบ 13.45 น. (การซื้อตั๋วแนะนำให้มาซื้อแต่เช้าเพราะที่นั่งจะเต็ม และอาจต้องยืนจากหัวลำโพงไปจนถึงเชียงใหม่กันเลยนะครับ ครั้งนี้พวกเราก็ต้องยืนเช่นกันเพราะพวกเราไปซื้อตั๋วไม่ทันหมดตั้งแต่ 7 โมงเช้า) ระหว่างทางก็จะผ่านสถานีต่างๆกว่า 70 สถานี จอดกันทุกสถานีกันเลยทีเดียว

แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่าไม่ต้องกลัวหิวมีของขายตอดการเดินทางสำหรับราคาก็ปกติพอทานได้ครับ อาหารที่อร่อยและผมขอแนะนำเลยว่าเด็ดสุดบนรถไฟรับรองได้ว่าอิ่มและคุ้มคือ ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวราคา 20 บาท นอกจากนี้ก็ยังมีของดีประจำจังหวัดที่เราผ่านด้วยเช่น โรตีสายไหมของอยุธยา ขนมโมจิของนครสวรรค์ หมูแท่งของพิษณุโลก บอกเลยว่าเยอะจนไม่รู้จะซื้อของเจ้าไหนกันดีเลยครับ

ระหว่างสองข้างทางที่เดินทางจะได้เจอกับธรรมชาติที่หาไม่เจอใน กทมฯ แน่นอน โชคดีครับที่อากาศไม่ร้อนเพราะช่วงฤดูหนาวอากาศสบายๆ แต่ถ้าเป็นฤดูร้อนนี่บอกเลยว่าเอาเรื่องแน่นอนครับ มาดูธรรมชาติกันต่อ การเดินทางจะผ่านท้องทุ่ง ลมเย็นสบาย ในขณะเดินทางก็ได้คุยกับคนร่วมทางที่เป็นคนไทยด้วยกัน บอกเลยครับว่าการเดินทางบนรถไฟ จะได้มิตรภาพใหม่ๆอย่างแน่นอน เวลาคุยกันเหมือนสนิทกันแบบนานมาก ก็เพิ่มสีสันในการเดินทาง อ้อลืมบอกเลยครับว่าตอนนี้ 16.30 แล้วพึ่งลพบุรีครับ(เป็นสถานีแรกที่เรายืนครับ) เราก็เดินทางกันเรื่อยๆจน 20.30 ถึงสถานีพิษณุโลก แวะรับเพื่อนเดินทางอีกคน เป็นเวลาที่เริ่มมองไม่เห็นสองข้างทางแต่สามารถมายืนรับลมบริเวณช่วงต่อและทางขึ้นลงของแต่ละโบกี้ได้นะครับ(ต้องบอกว่ามันอันตรายมากๆและจะมีป้ายติดไว้ไม่อนุญาตให้ยืนแต่เราก็แอบไปยืนรับลมหนาวมา)

04.35 ถึงสถานีรถไฟจังหวัดเชียงใหม่อากศใกล้เช้าปกติ จะมีรถแดงมาจอดรอรับไปอาเขตเพื่อต่อรถ ราคา 40 บาท ซึ่งแพงมากนะครับ (ถ้าอู้กำเมืองได้จะอยู่ที่ 20-25 บาทเท่านั้นเอง) แต่เราไม่ได้นั่งไปนะครับ พอดีมีลุงเพื่อนมารับไปส่งใกล้สถานีครับประมาณ 1.5 Km (พวกเราก็เดินจากอาเขตมาสถานีรถไฟตอนจะกลับ กทม.) พอถึงอาเขตก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน เข้าห้องน้ำปฏิบัติภารกิจส่วนตัว รีเฟรชตัวเอง หากินข้าวเช้ากัน ตรงนั้นมีร้านข้าราคาปกติครับ 40 บาทอร่อยทานได้ พวกเราก็ยังคงกินกะเพราะไข่ดาวเช่นเดิม จากนั้นจะต้องไปซื้อตั๋วรถบัสไปเชียงราย จะต้องไปซื้อตั๋ว Green Bus ครับ ราคาเชียงใหม่-เชียงราย 129 บาท เราซื้อรอบ 6.45 น.(ตารางรถมีหลายรอบแต่แนะนำให้ซื้อตั๋วรถไม่เกิน 7.30 น.เพราะเดี๋ยวจะไปภูไม่ทัน)

10.45 ถึงอาเขตเชียงราย**อาเขตเก่านะครับไม่ได้ลงที่อาเขตใหม่นะ** ใกล้เที่ยงก็มองหารถจะไปต่อต้องบอกก่อนว่าจะมีรถตู้ขึ้นภูชีฟ้าโดยตรงราคา 150 บาทมีเพียง 1รอบ/วันเท่านั้นโดยจะขึ้นฝั่ง อ.เทิน (สามารถขึ้น3 ภูนี้ได้สองทางคือ ฝั่ง อ.เทินและฝั่ง อ.เวียงแก่น) เราเลือกนั่งรถเมย์ปรับอากาศธรรมชาติ (รถลมนั่นเอง) เชียงราย-เวียงแก่น ราคา 70 บาท(ตอนที่ จขกท ไปกำลังก่อสร้างและปรับปรุงอาเขตเก่า)

**ขึ้นไปบนรถก็อารมณ์ของขายเหมือนรถไฟเลยแต่มีขายแค่เฉพาะที่อาเขตเท่านั้น พวกเราซื้อข้าวหลามไป 4 กระบอก ซึ่งรถชาดต่างจากที่ กทม.ฯ ลองหาทานดูนะครับ**

13.45 ถึงเวียงแก่น (ลืมบอกเลยครับว่าทางจะมาเวียงแก่นก็จะเห็นทางขึ้นภูชีฟ้าฝั่ง อ.เทิน ด้วย) เป็นความโชคดีครับเราเจอรถขึ้นภูรอบสุดท้ายพอดีเลยครับ(วันจันทร์-ศุกร์จะมีรถ 2 รอบ/วัน แต่ถ้าวันเสาร์-อาทิตย์จะมี 1รอบ/วัน แต่ขึ้นอยู่กับช่วงวันหยุดยาวด้วยนะครับถ้าคนขึ้นเยอะก็อาจจะมีหลายรอบ)


ระยะทางไปประมาณ 20 Kms ขึ้นภูจากที่จอรถเมย์ไปจนถึงภูชี้ดาว 200 บาท(เพราะมีแค่ 4 คนเท่านั้นเองถ้าไปเยอะก็เหมาและหาค่ารถกันได้เลย)
ระหว่าทางรถจะไปจอดที่ผาตั้งก่อน ก็แวะถ่ายรูปหรือแวะพักค้างคืนที่นี่ก่อนได้นะครับสามารถขึ้นชมทะเลหมอกตอนเช้าได้เลย(หลายคนบอกสวยมากแต่พวกเราได้แต่แวะถ่ายรูปเท่านั้นเพราะเรากลัวไปภูชี้ดาวไม่ทัน)

15.30 ถึงภูชี้ดาว(การเดินทางจาก ผาตั้งไปภูชี้เดือน 10 Kms จากภูชี้เดือน ไปภูชี้ดาว 300 m และจากภูชี้ดาวไปภูชีฟ้า 10 Kms ระยางทางวัดในแนวราบตามสันเขานะครับมีขึ้นลงลาดชันตั้งแต่ 8-20% จากทางปกติครับ ***ที่ภูชีฟ้าจะมี วนอุทยานภูชีฟ้าอยู่ด้วยนะครับ*** ) การขึ้นไปชมวิวของผาตั้งและภู3พี่น้องแนบขึ้นชันอย่างเดียว***เน้นว่าชันขึ้นอย่างเดียวถ้าจะเอารถขึ้นต้องรถยนต์แบบ 4x4 เท่านั้น ** ระยะทาง2.5-3 กิโลแม้วนับตั้งแต่ทางขึ้นจนถึงจุดชมวิว(มีรถยนต์ให้บริการขึ้นและรับลงมาด้วยด้วยอัตรา ต่ำกว่า 5 คนจะคิด 500 ในราคาเหมาจ่าย ถ้าเกิน 5 คนจะคิดในอัตรา 100 บาท/คน) แต่พวกเราไปทริปประหยัดเมื่อถึงภูชี้ดาวเราจะเริ่มผจญภัยด้วยการเดินไม่มีการใช้รถขึ้นภูดูธรรมชาติทั้งสองข้างทางอย่างใกล้ชิดเราไปเริ่มแต่ละภูกันเลย

16.30 ประเดิมภูแรกอยากจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดิน(ลืมบอกไปครับว่าตอนวันที่ 18 ธันวาคม 2559 บนภูท้องฟ้ามืดไปด้วยหมอกที่ผสมไอน้ำตั้งแต่บ่ายสองโมงเทียบกับบรรยากาศราวๆสักทุ่มนึงของ กทมฯ แบบอากาศกำลังเย็นฟินเวอร์กันเลยที่เดียว ** ใครที่มีคู่มาด้วยคงได้กอดกันอุ่นรับรองได้เลย**) สำหรับภูแรกนะครับเป็นภูชี้ดาว เป็นภูน้องกลาง ซึ่งเป็นสถานที่เปิดใหม่เมื่อตอนปลายปี 2558

ระยะทางกว่า 3 Kms ที่ลาดชันมากๆๆๆ บอกเลยว่าเป็นระยะทางที่โหดที่สุดในของภูสามพี่น้องนี้เลยก็ว่าได้ ทางเป็นปูนประมาณ 500 m (เพราะลาดทางผ่านชุมชนเพื่อให้การเดินทางสะดวก** ก่อนขึ้นเจอเด็กแอบถามว่าเคยขึ้นไปไหมหนูเด็กตอบว่าไม่เคยครับมันไกลมากเลย เล่นเอาทุกคนใจบ่ดีแล้วครับ**/ ไหน ๆ ก็ขึ้นมาละอย่าไปกลัวเดินมันต่อไป พร้อมกับปาดเหงื่อไปหนึ่งครั้ง/) บอกเลยครับว่าภูชี้ดาวลาดชันอย่างเดียวที่เรียกได้ว่าบางช่วงของทางชันจนหน้าหวาดเสียวกันเลยที่เดียว

อีกทั้งระยะทางที่เหลือเป็นดินผสมหินภูเขารถมอเตอร์ไซต์ไม่สามารถขึ้นได้อย่างแน่นอน ในขณะที่เดินขึ้นอากาศก็ค่อยๆเย็นลงเราได้เห็นธรรมชาติ เสียงนก จิ้งหรีด ธรรมชาติมากๆๆ ที่สำคัญเราจะได้เห็นวัวภูเขาที่ชาวบ้านแถวนั้นเลี้ยงไว้กำลังเดินกินยอดอ่อนของหญ้าอยู่ริมทาง**แอบกระซิบว่ากว่าจะเจอวัวก็เดินเหงื่อตกแล้วครับ แอบนึกในใจนี่วัวมันแข็งแรงกว่าเราอีกเนอะเดินขึ้นเขาทุกวัน**
18.00 เดินถึงบริเวณจุดชมวิว (อุ๊ปไว้ก่อนนะครับว่าว่ารอบแรกเราขึ้นแล้วลืมเดินไปดูแนวสันเขาที่เป็นจุดสำคัญใครไปแล้วพลาดถือว่าเสียดายมากๆๆเลยครับ) วันนั้นเมฆหนาทำให้เห็นดวงอาทิตย์ไม่ชัดภาษาคนถ่ายรูปบอกเป็นแสงที่เรียกว่าช่วงไข่แดง ซึ่งถือว่าอากาศช่วงนั้นกำลังดี ลมพัดเย็นสบาย พวกเราก็ถ่ายรูปกับบรรยากาศ แต่เวลาก็พลบค่ำพระอาทิตย์ตกเร็วมากประกอบกับเมฆหนาจึงรีบเดินกลับลงมา(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าแนวสันเขามันมีอะไร ด้วยความที่รีบและมืดมากๆๆตอนนั้น) รีบเดินลงมาจนถึงจุดพักรถ **เป็นลานกว้างเวลาที่เหมารถขึ้นมาจะเอาไว้จอด** สั่งให้เพื่อนดับไฟ สิ่งที่เห็นคือกลุ่มของหิ้งห้อยบินเต็นไปหมดเลย บอกเลยว่าสวยสุดๆๆ แอบเผลอเงยหน้ามองไปดูท้องฟ้อ หมู้ดาวระยิบระยับเลยครับ /สวยมากนึกในใจอยากขึ้นมากางเต้นท์นอนบนนี้จังเลย แต่ทหารและชาวบ้านไมอนุญาตให้กางเต้นท์บนภูนะครับมันอันตราย/

19.45 เดินกลับมาถึงด้านล่างมาแวะกินข้าวบอกเลยครับว่า อาหารถูกมาก มีร้านค้าที่ราคาถูกมาก ที่เรียกได้ว่ามีเงิน 10 บาทได้น้ำ 1 ขวดขนาด 500 ml กับขนม 1 ห่อเลยครับ

เรามาแวะกินข้าวเย็น ร้านทางขึ้นภูชี้ดาวนะครับ/ร้านนี้จะทำอาหารใช้น้ำมันไม่เยอะ บางร้านน้ำมันเยอะมากๆ ใครชอบอาหารรสเผ็ดก็สั่งเพิ่ม เพราะคนที่นั่นไม่ค่อยกินเผ็ดครับผม/ในขณะที่กำลังจะกินข้าวกันอิ่ม มีพี่ผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งเดินมาบอกคนแถวนั้นว่าจะไปถ่ายรูปดาว กับ Milky Way /ทางช้างเผือกนั่นเอง/ เสร็จแล้วพี่เขาก็หัวมาชวนบอกไปเป็นเพื่อนหน่อย**คิดว่าไงครับพึ่งลงมาเองเมื่อกี้ ยังกินข้าวไม่อิ่มเลย 555 / ทุกคนมองหน้ากันและหันกลับไปบอกทันที่ว่า ไปครับ/ ก็มันสวยนี่นามีโอกาสก็อยากขึ้นไป** รอบนี้ได้ไกด์อีกหนึ่งคนครับคือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่พาเราขึ้นไป//เพราะดึกมากแล้วจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยงขึ้นภูตามลำพัง/

21.00 ขึ้นไปถึงบนจุดชมวิวอีกครั้ง คุณพระรอบนี้มาชดเชยจากการพลาดไปรอบแรก พวกเราได้ขึ้นไปสันเขา บริเวณสันเขาเราจะเหยียบอยู่ 2 ประเทศคือลาวกับประเทศไทยมีหลักกิโลเมตรที่ไทยกับลาวสร้างร่วมกันโดยทหารลาวเดินทางโดยเฮริคอปเตอร์/เนื่องจากฝั่งลาวเป็นหน้าผาสูงชันไม่สามารถเดินเท้าหรือใช้พาหนะอื่นได้/ ทหารไทยเดินเท้าใช้เวลากว่า 1 เดือนกว่าทุกอย่างจะแล้วเสร็จ

ด้านที่อยู่ติดไทยก็จะเขียนว่าประทศไทยด้านที่อยู่ติดลาวจะเขียนว่า สปป.ลาว ซึ่งจะอยู่ในหลักกิโลเดียวกันด้านบนจะมีอยู่ 2 หลักให้เราได้ดู*หลายคนสงสัยไหมว่าทำไมถึงเรียกภูชี้ดาวก็เพราะว่าที่จุดยอดสุดหรือปลายภูจะยืนออกไปและชี้ไปที่ดาวศุกร์ที่เราเห็นสว่างในยามค่ำคืน/หลายคนอาจคุ้นกับดาวประกายพรึก หรือดาวรุ่ง หรือดาวประจำเมืองนั่นเอง/*

22.00 สำหรับคืนนี้เราได้จองจุดกางเต้นท์เหนือทางขึ้นภูชี้ดาวไป 200 m วิวดีมาก มองเห็นธรรมชาติ อัตราค่าบริการตั้งแต่ 100-400 บาทเลยครับ ถ้ากางกับพื้น 100 บาท/ ถ้ากางบนแคร่ 150 บาท/ ถ้ากางบนแคร่แล้วมีหลังคามุงจาก 200 บาท/ ถ้าเช่าทุกอย่างรวมที่กางเต้นด้วย 400 บาทมีถุงนอนให้ด้วย


*แถวนั้นมีรีสอร์ทของชาวบ้านราคาตั้งแต่ 1000-1500/ไว้เป็นทางเลือกครับ/ฝากติดตามP2-4ในคอมเม้นนะครับ/
[CR] สะพายเป้-แบกเต้นท์ ไปกับพวกเราหรรมรุง 4 คืน 5 วัน ด้วยงบ 1,500 บาท ( Part 1)
ช่วงนี้หลาย ๆ คนคงจะเตรียมตัวจะไปต้อนรับปีใหม่และหลายคนก็กำลังจะหนีร้อนไปพึ่งเย็นทางแถบภาคเหนือของไทยเรา เรียก จขกท ว่า กลุ่มหรรมรุง ก่อนอื่นต้องบอกว่าเราอยากไปเที่ยวเแต่ด้วยงบประมาณจำกัดจะไปเที่ยวไหนดีที่ไกล สวย รับบรรยากาศเย็นๆ วัยรุ่นอย่างพวกเรา จึงหาสถานที่ท่องเที่ยว วันหนึ่งได้เห็นข่าวใน TV ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่อยู่ที่เขียงราย นั่นคือ ภูชี้เดือน หลายคนอาจรู้จักแต่ภูชีฟ้า การไปครั้งนี้จะขึ้น ครบทั้ง 3 ภูพี่น้องเลย คือ ภูชี้เดือน ภูชี้ดาว ภูชี้ฟ้า (ถ้าใครมีโอกาสได้ไปแนะนำให้ขึ้นผาตั้งอีกที่หนึ่งซึ่งจะอยู่ใกล้เคียงกัน ห่างจากภูชี้เดือน 10 Kms) เราเลยศึกษาข้อมูลการเดินทางที่พักและพวกเราก็เริ่มรีวิววิธีการเดินทางกันเลย
การเดินทางเราเริ่มด้วยการเดินทางด้วยรถไฟชั้น 3 (เรียกง่ายๆ ว่ารถไฟฟรี) สายเหนือจาก หัวลำโพง(กรุงเทพฯ)-เชียงใหม่ ต้องบอกก่อนว่าเที่ยวรถไฟฟรี มีแค่ 1 รอบ/เท่านั้น นะครับ(ถ้ารถไฟด่วนพิเศษหรือเที่ยวรถไฟที่เสียเงินจะมีอีก 3 รอบ/วัน) เราเริ่มออกเดินทางรอบ 13.45 น. (การซื้อตั๋วแนะนำให้มาซื้อแต่เช้าเพราะที่นั่งจะเต็ม และอาจต้องยืนจากหัวลำโพงไปจนถึงเชียงใหม่กันเลยนะครับ ครั้งนี้พวกเราก็ต้องยืนเช่นกันเพราะพวกเราไปซื้อตั๋วไม่ทันหมดตั้งแต่ 7 โมงเช้า) ระหว่างทางก็จะผ่านสถานีต่างๆกว่า 70 สถานี จอดกันทุกสถานีกันเลยทีเดียว
แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่าไม่ต้องกลัวหิวมีของขายตอดการเดินทางสำหรับราคาก็ปกติพอทานได้ครับ อาหารที่อร่อยและผมขอแนะนำเลยว่าเด็ดสุดบนรถไฟรับรองได้ว่าอิ่มและคุ้มคือ ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวราคา 20 บาท นอกจากนี้ก็ยังมีของดีประจำจังหวัดที่เราผ่านด้วยเช่น โรตีสายไหมของอยุธยา ขนมโมจิของนครสวรรค์ หมูแท่งของพิษณุโลก บอกเลยว่าเยอะจนไม่รู้จะซื้อของเจ้าไหนกันดีเลยครับ
ระหว่างสองข้างทางที่เดินทางจะได้เจอกับธรรมชาติที่หาไม่เจอใน กทมฯ แน่นอน โชคดีครับที่อากาศไม่ร้อนเพราะช่วงฤดูหนาวอากาศสบายๆ แต่ถ้าเป็นฤดูร้อนนี่บอกเลยว่าเอาเรื่องแน่นอนครับ มาดูธรรมชาติกันต่อ การเดินทางจะผ่านท้องทุ่ง ลมเย็นสบาย ในขณะเดินทางก็ได้คุยกับคนร่วมทางที่เป็นคนไทยด้วยกัน บอกเลยครับว่าการเดินทางบนรถไฟ จะได้มิตรภาพใหม่ๆอย่างแน่นอน เวลาคุยกันเหมือนสนิทกันแบบนานมาก ก็เพิ่มสีสันในการเดินทาง อ้อลืมบอกเลยครับว่าตอนนี้ 16.30 แล้วพึ่งลพบุรีครับ(เป็นสถานีแรกที่เรายืนครับ) เราก็เดินทางกันเรื่อยๆจน 20.30 ถึงสถานีพิษณุโลก แวะรับเพื่อนเดินทางอีกคน เป็นเวลาที่เริ่มมองไม่เห็นสองข้างทางแต่สามารถมายืนรับลมบริเวณช่วงต่อและทางขึ้นลงของแต่ละโบกี้ได้นะครับ(ต้องบอกว่ามันอันตรายมากๆและจะมีป้ายติดไว้ไม่อนุญาตให้ยืนแต่เราก็แอบไปยืนรับลมหนาวมา)
04.35 ถึงสถานีรถไฟจังหวัดเชียงใหม่อากศใกล้เช้าปกติ จะมีรถแดงมาจอดรอรับไปอาเขตเพื่อต่อรถ ราคา 40 บาท ซึ่งแพงมากนะครับ (ถ้าอู้กำเมืองได้จะอยู่ที่ 20-25 บาทเท่านั้นเอง) แต่เราไม่ได้นั่งไปนะครับ พอดีมีลุงเพื่อนมารับไปส่งใกล้สถานีครับประมาณ 1.5 Km (พวกเราก็เดินจากอาเขตมาสถานีรถไฟตอนจะกลับ กทม.) พอถึงอาเขตก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน เข้าห้องน้ำปฏิบัติภารกิจส่วนตัว รีเฟรชตัวเอง หากินข้าวเช้ากัน ตรงนั้นมีร้านข้าราคาปกติครับ 40 บาทอร่อยทานได้ พวกเราก็ยังคงกินกะเพราะไข่ดาวเช่นเดิม จากนั้นจะต้องไปซื้อตั๋วรถบัสไปเชียงราย จะต้องไปซื้อตั๋ว Green Bus ครับ ราคาเชียงใหม่-เชียงราย 129 บาท เราซื้อรอบ 6.45 น.(ตารางรถมีหลายรอบแต่แนะนำให้ซื้อตั๋วรถไม่เกิน 7.30 น.เพราะเดี๋ยวจะไปภูไม่ทัน)
10.45 ถึงอาเขตเชียงราย**อาเขตเก่านะครับไม่ได้ลงที่อาเขตใหม่นะ** ใกล้เที่ยงก็มองหารถจะไปต่อต้องบอกก่อนว่าจะมีรถตู้ขึ้นภูชีฟ้าโดยตรงราคา 150 บาทมีเพียง 1รอบ/วันเท่านั้นโดยจะขึ้นฝั่ง อ.เทิน (สามารถขึ้น3 ภูนี้ได้สองทางคือ ฝั่ง อ.เทินและฝั่ง อ.เวียงแก่น) เราเลือกนั่งรถเมย์ปรับอากาศธรรมชาติ (รถลมนั่นเอง) เชียงราย-เวียงแก่น ราคา 70 บาท(ตอนที่ จขกท ไปกำลังก่อสร้างและปรับปรุงอาเขตเก่า)
**ขึ้นไปบนรถก็อารมณ์ของขายเหมือนรถไฟเลยแต่มีขายแค่เฉพาะที่อาเขตเท่านั้น พวกเราซื้อข้าวหลามไป 4 กระบอก ซึ่งรถชาดต่างจากที่ กทม.ฯ ลองหาทานดูนะครับ**
13.45 ถึงเวียงแก่น (ลืมบอกเลยครับว่าทางจะมาเวียงแก่นก็จะเห็นทางขึ้นภูชีฟ้าฝั่ง อ.เทิน ด้วย) เป็นความโชคดีครับเราเจอรถขึ้นภูรอบสุดท้ายพอดีเลยครับ(วันจันทร์-ศุกร์จะมีรถ 2 รอบ/วัน แต่ถ้าวันเสาร์-อาทิตย์จะมี 1รอบ/วัน แต่ขึ้นอยู่กับช่วงวันหยุดยาวด้วยนะครับถ้าคนขึ้นเยอะก็อาจจะมีหลายรอบ)
ระยะทางไปประมาณ 20 Kms ขึ้นภูจากที่จอรถเมย์ไปจนถึงภูชี้ดาว 200 บาท(เพราะมีแค่ 4 คนเท่านั้นเองถ้าไปเยอะก็เหมาและหาค่ารถกันได้เลย)
ระหว่าทางรถจะไปจอดที่ผาตั้งก่อน ก็แวะถ่ายรูปหรือแวะพักค้างคืนที่นี่ก่อนได้นะครับสามารถขึ้นชมทะเลหมอกตอนเช้าได้เลย(หลายคนบอกสวยมากแต่พวกเราได้แต่แวะถ่ายรูปเท่านั้นเพราะเรากลัวไปภูชี้ดาวไม่ทัน)
15.30 ถึงภูชี้ดาว(การเดินทางจาก ผาตั้งไปภูชี้เดือน 10 Kms จากภูชี้เดือน ไปภูชี้ดาว 300 m และจากภูชี้ดาวไปภูชีฟ้า 10 Kms ระยางทางวัดในแนวราบตามสันเขานะครับมีขึ้นลงลาดชันตั้งแต่ 8-20% จากทางปกติครับ ***ที่ภูชีฟ้าจะมี วนอุทยานภูชีฟ้าอยู่ด้วยนะครับ*** ) การขึ้นไปชมวิวของผาตั้งและภู3พี่น้องแนบขึ้นชันอย่างเดียว***เน้นว่าชันขึ้นอย่างเดียวถ้าจะเอารถขึ้นต้องรถยนต์แบบ 4x4 เท่านั้น ** ระยะทาง2.5-3 กิโลแม้วนับตั้งแต่ทางขึ้นจนถึงจุดชมวิว(มีรถยนต์ให้บริการขึ้นและรับลงมาด้วยด้วยอัตรา ต่ำกว่า 5 คนจะคิด 500 ในราคาเหมาจ่าย ถ้าเกิน 5 คนจะคิดในอัตรา 100 บาท/คน) แต่พวกเราไปทริปประหยัดเมื่อถึงภูชี้ดาวเราจะเริ่มผจญภัยด้วยการเดินไม่มีการใช้รถขึ้นภูดูธรรมชาติทั้งสองข้างทางอย่างใกล้ชิดเราไปเริ่มแต่ละภูกันเลย
16.30 ประเดิมภูแรกอยากจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดิน(ลืมบอกไปครับว่าตอนวันที่ 18 ธันวาคม 2559 บนภูท้องฟ้ามืดไปด้วยหมอกที่ผสมไอน้ำตั้งแต่บ่ายสองโมงเทียบกับบรรยากาศราวๆสักทุ่มนึงของ กทมฯ แบบอากาศกำลังเย็นฟินเวอร์กันเลยที่เดียว ** ใครที่มีคู่มาด้วยคงได้กอดกันอุ่นรับรองได้เลย**) สำหรับภูแรกนะครับเป็นภูชี้ดาว เป็นภูน้องกลาง ซึ่งเป็นสถานที่เปิดใหม่เมื่อตอนปลายปี 2558
ระยะทางกว่า 3 Kms ที่ลาดชันมากๆๆๆ บอกเลยว่าเป็นระยะทางที่โหดที่สุดในของภูสามพี่น้องนี้เลยก็ว่าได้ ทางเป็นปูนประมาณ 500 m (เพราะลาดทางผ่านชุมชนเพื่อให้การเดินทางสะดวก** ก่อนขึ้นเจอเด็กแอบถามว่าเคยขึ้นไปไหมหนูเด็กตอบว่าไม่เคยครับมันไกลมากเลย เล่นเอาทุกคนใจบ่ดีแล้วครับ**/ ไหน ๆ ก็ขึ้นมาละอย่าไปกลัวเดินมันต่อไป พร้อมกับปาดเหงื่อไปหนึ่งครั้ง/) บอกเลยครับว่าภูชี้ดาวลาดชันอย่างเดียวที่เรียกได้ว่าบางช่วงของทางชันจนหน้าหวาดเสียวกันเลยที่เดียว
อีกทั้งระยะทางที่เหลือเป็นดินผสมหินภูเขารถมอเตอร์ไซต์ไม่สามารถขึ้นได้อย่างแน่นอน ในขณะที่เดินขึ้นอากาศก็ค่อยๆเย็นลงเราได้เห็นธรรมชาติ เสียงนก จิ้งหรีด ธรรมชาติมากๆๆ ที่สำคัญเราจะได้เห็นวัวภูเขาที่ชาวบ้านแถวนั้นเลี้ยงไว้กำลังเดินกินยอดอ่อนของหญ้าอยู่ริมทาง**แอบกระซิบว่ากว่าจะเจอวัวก็เดินเหงื่อตกแล้วครับ แอบนึกในใจนี่วัวมันแข็งแรงกว่าเราอีกเนอะเดินขึ้นเขาทุกวัน**
18.00 เดินถึงบริเวณจุดชมวิว (อุ๊ปไว้ก่อนนะครับว่าว่ารอบแรกเราขึ้นแล้วลืมเดินไปดูแนวสันเขาที่เป็นจุดสำคัญใครไปแล้วพลาดถือว่าเสียดายมากๆๆเลยครับ) วันนั้นเมฆหนาทำให้เห็นดวงอาทิตย์ไม่ชัดภาษาคนถ่ายรูปบอกเป็นแสงที่เรียกว่าช่วงไข่แดง ซึ่งถือว่าอากาศช่วงนั้นกำลังดี ลมพัดเย็นสบาย พวกเราก็ถ่ายรูปกับบรรยากาศ แต่เวลาก็พลบค่ำพระอาทิตย์ตกเร็วมากประกอบกับเมฆหนาจึงรีบเดินกลับลงมา(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าแนวสันเขามันมีอะไร ด้วยความที่รีบและมืดมากๆๆตอนนั้น) รีบเดินลงมาจนถึงจุดพักรถ **เป็นลานกว้างเวลาที่เหมารถขึ้นมาจะเอาไว้จอด** สั่งให้เพื่อนดับไฟ สิ่งที่เห็นคือกลุ่มของหิ้งห้อยบินเต็นไปหมดเลย บอกเลยว่าสวยสุดๆๆ แอบเผลอเงยหน้ามองไปดูท้องฟ้อ หมู้ดาวระยิบระยับเลยครับ /สวยมากนึกในใจอยากขึ้นมากางเต้นท์นอนบนนี้จังเลย แต่ทหารและชาวบ้านไมอนุญาตให้กางเต้นท์บนภูนะครับมันอันตราย/
19.45 เดินกลับมาถึงด้านล่างมาแวะกินข้าวบอกเลยครับว่า อาหารถูกมาก มีร้านค้าที่ราคาถูกมาก ที่เรียกได้ว่ามีเงิน 10 บาทได้น้ำ 1 ขวดขนาด 500 ml กับขนม 1 ห่อเลยครับ
เรามาแวะกินข้าวเย็น ร้านทางขึ้นภูชี้ดาวนะครับ/ร้านนี้จะทำอาหารใช้น้ำมันไม่เยอะ บางร้านน้ำมันเยอะมากๆ ใครชอบอาหารรสเผ็ดก็สั่งเพิ่ม เพราะคนที่นั่นไม่ค่อยกินเผ็ดครับผม/ในขณะที่กำลังจะกินข้าวกันอิ่ม มีพี่ผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งเดินมาบอกคนแถวนั้นว่าจะไปถ่ายรูปดาว กับ Milky Way /ทางช้างเผือกนั่นเอง/ เสร็จแล้วพี่เขาก็หัวมาชวนบอกไปเป็นเพื่อนหน่อย**คิดว่าไงครับพึ่งลงมาเองเมื่อกี้ ยังกินข้าวไม่อิ่มเลย 555 / ทุกคนมองหน้ากันและหันกลับไปบอกทันที่ว่า ไปครับ/ ก็มันสวยนี่นามีโอกาสก็อยากขึ้นไป** รอบนี้ได้ไกด์อีกหนึ่งคนครับคือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่พาเราขึ้นไป//เพราะดึกมากแล้วจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยงขึ้นภูตามลำพัง/
21.00 ขึ้นไปถึงบนจุดชมวิวอีกครั้ง คุณพระรอบนี้มาชดเชยจากการพลาดไปรอบแรก พวกเราได้ขึ้นไปสันเขา บริเวณสันเขาเราจะเหยียบอยู่ 2 ประเทศคือลาวกับประเทศไทยมีหลักกิโลเมตรที่ไทยกับลาวสร้างร่วมกันโดยทหารลาวเดินทางโดยเฮริคอปเตอร์/เนื่องจากฝั่งลาวเป็นหน้าผาสูงชันไม่สามารถเดินเท้าหรือใช้พาหนะอื่นได้/ ทหารไทยเดินเท้าใช้เวลากว่า 1 เดือนกว่าทุกอย่างจะแล้วเสร็จ
ด้านที่อยู่ติดไทยก็จะเขียนว่าประทศไทยด้านที่อยู่ติดลาวจะเขียนว่า สปป.ลาว ซึ่งจะอยู่ในหลักกิโลเดียวกันด้านบนจะมีอยู่ 2 หลักให้เราได้ดู*หลายคนสงสัยไหมว่าทำไมถึงเรียกภูชี้ดาวก็เพราะว่าที่จุดยอดสุดหรือปลายภูจะยืนออกไปและชี้ไปที่ดาวศุกร์ที่เราเห็นสว่างในยามค่ำคืน/หลายคนอาจคุ้นกับดาวประกายพรึก หรือดาวรุ่ง หรือดาวประจำเมืองนั่นเอง/*
22.00 สำหรับคืนนี้เราได้จองจุดกางเต้นท์เหนือทางขึ้นภูชี้ดาวไป 200 m วิวดีมาก มองเห็นธรรมชาติ อัตราค่าบริการตั้งแต่ 100-400 บาทเลยครับ ถ้ากางกับพื้น 100 บาท/ ถ้ากางบนแคร่ 150 บาท/ ถ้ากางบนแคร่แล้วมีหลังคามุงจาก 200 บาท/ ถ้าเช่าทุกอย่างรวมที่กางเต้นด้วย 400 บาทมีถุงนอนให้ด้วย
*แถวนั้นมีรีสอร์ทของชาวบ้านราคาตั้งแต่ 1000-1500/ไว้เป็นทางเลือกครับ/ฝากติดตามP2-4ในคอมเม้นนะครับ/
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น