รักในรอยฝัน บทที่ 35 ห้องลับ

34
ห้องลับ


โดย ฮาร์โมนิก้า

เช้านั้นในปลายฤดูร้อนทิวอลลี่วินยาร์ดแอนด์ไวน์เนอร์รี่ก็พร้อมเปิดต้อนรับนักเขียนจากทุกมุมโลก

รีสอร์ทซึ่งปรับปรุงใหม่จากโรงนาเก่าตั้งอยู่กลางหุบเขาแวดล้อมด้วยไร่องุ่น นักเขียนมากหน้าหลายตาเดินทาง
มาร่วมสัมนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด และหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการเขียน รวมถึงการปรับปรุงและอัพเดท
ความรู้เรื่องการเขียนสำหรับวรรณกรรมยุคดิจิตอล ส่วนใหญ่จะมาคนเดียวแต่ก็มีส่วนหนึ่งที่มาพร้อมครอบครัว

แอชลี่ย์รู้สึกตื่นเต้นไปหมด ด้วยความเขินอายเธอจึงยืนหลบอยู่ตรงมุมเงียบๆ เฝ้าสังเกตทีมงานของเออร์ซูล่า
ที่ช่วยจัดการเรื่องการต้อนรับแขกทั้งหมด มีเออร์ซูล่าเป็นแม่งาน คอยทักทายแขกทุกคนอย่างแจ่มใส ก่อนส่ง
ต่อให้ลูกน้องลงทะเบียนรายชื่อ และพนักงานที่อยู่ใต้การดูแลของมาเรียเป็นคนนำไปส่งยังห้องพัก

แขกส่วนหนึ่งที่มาพร้อมครอบครัวจะตามกระเป๋าและพนักงานไปยังห้องพัก ซึ่งจัดไว้เป็นวิลล่าขนาดเล็กแยก
เป็นหลังๆ ขณะที่แขกอีกส่วนซึ่งมาคนเดียว จะได้พักในห้องชั้นสองและสามของตัวอาคารใหญ่ พวกนี้จะเลือก
ปล่อยให้พนักงานจัดการเรื่องกระเป๋า ส่วนตัวเองนั่งลงดื่มสังสรรค์อยู่ภายในบริเวณต้อนรับกับผู้มาร่วมสัมนา
รายอื่นก่อน

แอชลี่ย์ยืนถือแก้วเครื่องดื่ม เก้ๆ กังๆ อยู่ตรงมุมห้อง ขณะที่ชายสูงวัยผู้หนึ่งหันมาเห็นเธอเข้า เขาเลิกคิ้วมอง
เธออย่างประหลาดใจ ก่อนจะเดินเข้ามาหาช้าๆ

“สวัสดีครับ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอคุณ ผมได้ข่าว…” เขาหยุดไปราวกับคิดได้ว่ากำลังจะพูดบางเรื่องที่
ไม่เหมาะสม “ผม..เสียใจด้วยกับเรื่องคุณพ่อของคุณ แต่..ผมเข้าใจว่า.. จากข่าวรายงานว่าคุณ…” เขานิ่ง
ไปอีก “มันเป็นไปได้ยังไงครับ นี่ผมทั้งงงทั้งอัศจรรย์ใจอย่างมากจริงๆ แต่เป็นความอัศจรรย์ใจที่น่ายินดี
สำหรับตระกูลวอลเด็นและคงสำหรับมิสเตอร์แม็กซ์เวล คู่หมั้นของคุณด้วย”

แอชลี่ย์เอียงคอ มองนักเขียนอาวุโสผู้นั้นอย่างมึนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดแม้แต่น้อย เขาคงจำคนผิดกระมัง

“ฉัน… เอ่อ.. ฉัน รู้จักคุณมาก่อนหรือคะ” เธอพึมพำไปเบาๆ อย่างไม่แน่ใจ “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันประสบ
อุบัติเหตุเมื่อสี่เดือนก่อน สูญเสียความทรงจำไป แต่คนที่นี่เรียกฉันว่าแอชลี่ย์ แอชลี่ย์ ซิมมอนด์ค่ะ”

พูดแล้วยื่นมือไปทักทาย ชายอาวุโสมีสีหน้างุนงงน่าจะพอกับเธอ “ความจำเสื่อมหรือครับ”

“ค่ะ เมื่อสี่เดือนก่อน” รับคำแล้วถาม “ดิฉันต้องขออภัยจริงๆ หากเราเคยรู้จักกัน ต้องขอให้คุณช่วยแนะนำ
ตัวเองกับฉันอีกครั้งค่ะ”

ชายผู้นั้นพิจารณาใบหน้าของเธอนิ่งนานราวจะค้นหาความจริง ก่อนจะยื่นมือมาจับมือด้วย “ผมเสียใจ
ด้วยจริงๆ กับเรื่องความทรงจำของคุณนะครับมิสซิมมอนด์ ผมเซอร์วอลเตอร์ แฮมิลตัน ผมคงจำคุณผิด
กับสาวน้อยอีกคนที่ผมเคยรู้จักที่มิลาน และอีกครั้งที่บ้านของพ่อหล่อนที่เมลเบิร์น”

เอียงคอถาม “ใครหรือคะ”

ยังไม่ทันที่เซอร์แฮมิลตันจะได้ตอบ แบรดซึ่งคอยมองมายังเธอบ่อยๆ ราวกับกลัวจะหายไปก็เดินเข้ามา
โอบเอวแอชลี่ย์ไว้อย่างหวงแหน

“สวัสดีครับ ผมแบรด แพร์ริช เป็นคนจัดการไร่องุ่นที่นี่แทนคุณตาของผม ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ…”

เซอร์แฮมิลตันยื่นมือมาจับกับมือแบรด พร้อมแนะนำตัวเองอีกครั้ง

“คุณคงรู้จักคู่หมั้นของผมแล้ว แอชลี่ย์ ซิมมอนด์ เธอมาจากอังกฤษ เกิดอุบัติเหตุเสียความทรงจำไป
เมื่อสี่เดือนก่อน เธอเดินทางมาที่นิวซีย์แลนด์นี่เพื่อจัดการพิธีศพคุณแม่ของเธอ และก็ได้มาพบกับผม
กระทั่งหมั้นกัน”

แอชลี่ย์ประหลาดใจท่าทีที่ดูสบายๆ แต่คำพูดที่ดูล้อมกรอบของแบรด ราวกับเขาจะปิดทางไม่ให้เซอร์
วอลเตอร์พูดเป็นอย่างอื่น ทั้งข้อมูลที่ให้ก็เกินความจำเป็นสำหรับการแนะนำตัวกับคนเพิ่งรู้จักใหม่

“งั้นหรือครับ น่าแปลกจริง มิสซิมมอนด์ผู้นี้หน้าตาเหมือนสาวน้อยอีกคนที่ผมรู้จักมากครับ เธอชื่อ
อบิเกล วอลเด็น แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเธอผู้นั้นถูกระบุว่าเสียชีวิตไปแล้ว ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
มากทีเดียว น่าแปลกนะครับ คุณบอกว่ามิสซิมมอนด์มาจากอังกฤษ แต่สำเนียงอังกฤษของเธอออก
จะแปร่งหูเล็กน้อยสำหรับผม ไม่ทราบว่าเธอมาจากแถบไหนของอังกฤษหรือครับ”

แอชลี่ย์มืดแปดด้านไม่รู้จะตอบยังไง เธอพูดกับทุกคนด้วยสำเนียงลอนดอนที่เธอรู้จัก ไม่คิดเลยว่า
สำเนียงตัวเองจะแปร่งเล็กน้อยอย่างที่เซอร์วอลเตอร์บอก แต่ลึกๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่สำเนียงธรรมชาติ
ของตัวเอง

“คงเพราะแอชลี่ย์ไปอยู่ฝรั่งเศสแต่เล็กน่ะครับ ว่าแต่ท่านเซอร์มาคนเดียวหรือครับ มีครอบครัวตามมา
รึเปล่า” เห็นชัดว่าแบรดเจตนาตอบเลี่ยงพร้อมเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

“ผมมาคนเดียวครับ ตั้งใจมาอยู่ออสเตรเลียหนึ่งปีเพื่อเขียนหนังสือและเดินทางเที่ยวในทวีปนี้ไปด้วย
ผมมาร่วมทริปกับมิสแลงก์ลี่ย์เกือบจะประจำ ครั้งนี้จัดที่เนลสัน ก็บินไม่ไกล เลยมา ลูกชายผมกลับ
อังกฤษไปแล้ว ทีแรกเขาเคยตามมาอยู่กับผมเมื่อช่วงเดือนแรกที่ผมมาออสเตรเลีย ว่าไปลูกชายผม
เขารู้จักกับมิสวอลเด็น คนที่ผมบอกว่าหน้าตาเหมือนคุณนะ มิสซิมมอนด์”

เซอร์แฮมิลตันย้อนกลับมาพูดเรื่องเดิม แบรดเรียกบริกรผู้ถือถาดเครื่องดื่มเสริฟอยู่ไว้ หยิบไวน์อีกแก้วส่งให้

“งั้นหรือครับ น่าประหลาดจริงที่มีคนหน้าตาเหมือนกันจนถึงขนาดนั้น แต่เท่าที่แอชลีย์เคยบอก เธอเป็น
ลูกคนเดียวด้วยสิ ผมชักอยากเจอหน้าเจ้าหล่อนแล้วสิครับ”

“คงไม่ได้แล้วล่ะ เพราะเธอเสียชีวิตไปพร้อมกับบิดา ตอนนี้ตระกูลวอลเด็นไม่มีผู้รับสืบทอดมรดกมหาศาล
ที่จริงหากคุณซิมมอนด์จะลองไปติดต่อกับทนายของที่นั่น อาจได้เรื่องราวอะไรบ้าง คนหน้าตาเหมือนกัน
ขนาดนี้ ยังไงต้องเป็นฝาแฝด บางทีคุณอาจเป็นทายาทคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของรอเจอร์ วอลเด็นก็ได้นะ”

แอชลี่ย์เบิกตากว้าง ฝาแฝดงั้นหรือ เธอมีแฝดงั้นหรือ เธอไม่ได้ไร้ญาติขาดมิตรสินะ แต่.. เธอผู้นั้นรวมถึง
บิดาได้เสียชีวิตไปแล้วนี่นา มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ และเวลานี้เธอมีแบรดอยู่แล้วทั้งคน เธอจะต้องการ
ใครอีกงั้นหรือ

“รอให้ความทรงจำของแอชลี่ย์กลับมาก่อนดีกว่าครับ เวลานี้ผมยังไม่อยากให้เธอไปเกี่ยวข้องกับอะไรที่
เธอไม่รู้ หากเธอจดจำอะไรได้ เธอจะสามารถเลือกเองได้ว่าอยากทำหรือควรทำอะไรกับชีวิตของเธอ”
แบรดอธิบายยิ้มๆ

เซอร์วอลเตอร์ดูจะเข้าใจ เขาพยักหน้าช้าๆ “จริงของคุณ ผมพอจะเข้าใจ อืม ผมเจอเพื่อนเก่าแน่ะ ขอตัว
ไปทักทายเสียหน่อยดีกว่า ยินดีที่ได้รู้จักคุณทั้งสองคนนะ คุณแพร์ริชและคุณซิมมอนด์”

“เช่นกันครับ หวังว่าเราจะได้คุยกันอีกตอนช่วงอาหารค่ำนะครับเซอร์วอลเตอร์” แบรดกล่าวอย่างสุภาพ

เซอร์วอลเตอร์ยิ้มรับคำ แล้วเดินจากไปทักทายกับนักเขียนหญิงอาวุโสอีกคนที่เพิ่งมาถึง

“ใครหรือคะอบิเกล วอลเด็น ทำไมชื่อจึงคุ้นหูฉันจัง” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อคล้อยหลังวอลเตอร์ แฮมิลตัน

“เออร์ซูล่าเคยเอ่ยถึงน่ะ เธอเสียชีวิตไปวันเดียวกับที่คุณประสบอุบัติเหตุ”

แอชลี่ย์นิ่งคิดทบทวน จู่ๆ เธอก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างแรง อบิเกล แอ็บบี้ ชื่อนี้คุ้นหูเธอเหลือเกิน ทำไมนะ

“แอชลี่ย์คุณโอเครึเปล่า” เสียงแบรดที่ถามนั้นฟังดูห่างไกลเหลือเกิน เธอปวดศีรษะและรู้สึกถึงสมองที่
วูบลง สองแขนแข็งแรงของแบรดรับร่างเธอไว้ และนั่นคือการรับรู้สุดท้ายก่อนที่เธอจะอ่อนแรงลงใน
อ้อมกอดของเขา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่