สวัสดีค่ะทุกคน นี่เป็นรีวิวแรกบนพันทิปของป้า ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ก่อนนะคะ ออกตัวไว้ก่อนว่าจะเน้นรีวิว Hiking Trail นะคะ
ป.ล. รูปที่เห็นทั้งหมด อาจจะดูไม่สวย เพราะว่าถ่ายไม่เป็นและไม่ได้ตกแต่งภาพนะคะ แต่เรื่องจริงคือมันสวยกว่าภาพที่เห็นมากมาย
เริ่มกันที่การทำแผนการเดินทาง
อันนี้คือ แผนการเดินทางที่แนบไปตอนขอวีซ่า ประมาณนี้ค่ะ
Travelling Plan Zurich – Italy
10 September – 19 October 2016
การขอวีซ่า
การหาข้อมูลในการขอวีซ่าเชงเก้นจากประเทศอิตาลี ตอนแรกแอบเครียด เนื่องจากว่ามีคนบอกว่า วีซ่าขอยากมากและใช้เวลานาน ขุ่นป้าก็มัวแต่ทำงาน เครียดซีคะ จะทันมั๊ยเหลือเวลาแค่ไม่ถึงเดือนจะเดินทางแล้ว หาข้อมูลจากนี่เลยค่ะ
http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/
จากนั้นจัดเตรียมเอกสาร ดังนี้
1. แบบฟอร์มใบคำร้องขอวีซ่า โดยกรอกข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ และมีลายเซ็นผู้สมัคร
http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/pdf/short_stay.pdf
2. รูปถ่ายสี ณ ปัจจุบัน 2 นิ้ว 2 ใบ พื้นหลังสีขาว
3. Passport อายุไม่น้อยกว่า 6 เดือน
4. แผนการเดินทางที่ระบุวันที่และเมืองที่จะไปอย่างครบถ้วน (ถ้ากรณีที่เดินทางเข้าประเทศอื่นก่อนที่จะไปอิตาลี ให้ระบุด้วยว่า จะเดินทางเข้าประเทศอิตาลีโดยทางไหน เช่น ทางรถไฟ ทางรถบัส ทางเครื่องบิน)
5. ใบจองตั๋วเครื่องบิน
6. ในจองที่พัก ซึ่งต้องตรงและครบจำนวนวันเดินทาง
7. เอกสารแสดงสถานะการเงินย้อนหลัง 3 เดือน เช่น สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร ซึ่งต้อง update จำนวนเงินถึงวันที่ยื่นขอวีซ่า หรือ Bank Statement ตัวจริง และหนังสือรับรองจากธนาคารตัวจริงซึ่งมีอายุไม่เกิน 15 วัน นับจากวันที่สมัคร
สำเนาสมุดบัญชีเธนาคารเงินฝากประเภทประจำ ไม่สามารถใช้ยื่นวีซ่าได้ และเงินในบัญชีเงินฝากต้องครอบคลุมค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาการเดินทาง
8. เอกสารรับรองการทำงานเป็นภาษาอังกฤษ อายุไม่เกิน 1 เดือน นับจากวันที่สมัคร
9. สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมเอกสารแปลเป็นภาษาอังกฤษ (ขุ่นป้าไปแปลมา 300 บาท)
10. กรมธรรม์การเดินทาง ไม่ต่ำกว่า 30,000 ยูโร หรือ 1,500,000 บาท
11. สำเนาหนังสือเดินทาง 2 ฉบับ
12. สำเนาหนังสือเดินทางที่มีการประทับตราวีซ่าของประเทศต่างๆ ทุกประเทศ (ถ่ายเอกสารหน้าต่อหน้า) ทุกเล่มที่มี
13. สำหรับเจ้าของกิจการ ให้ยื่นสำเนาหนังสือรับรองบริษัท พร้อมประทับตราและลายเซ็นผู้สมัคร และหนังสือรับรองบริษัทซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษ (อันนี้ขุ่นป้าก็ไปแปลมา 300 บาท)
เมื่อเอกสารครบ ไปยื่นเอกสารด้วยตัวเองที่ Visa Center ชั้น 15 อาคาร สีลมคอมเพล็กซ์ ตรวจเอกสารเสร็จถ้าเอกสารครบรอสัมภาษณ์เลย
อุ๊ต๊ะ รอแค่ 2 วัน ได้วีซ่าแล้ว 555 สูดหายใจเข้าปอดแรงๆ โล่งใจฝุดๆ
ว่าด้วยเรื่องของการเดินทาง
สำหรับ Trip นี้ใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะล้วนๆ ยกเว้น วันเดียวที่ซื้อทัวร์ไป เที่ยว VAL D'ORCIA เพราะว่าอยากเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจีและทุ่งเหลืองทองอร่ามของ Tuscany (เหอะๆ ที่ไหนได้ ไปผิดเดือน เค้าไถกลบกันทั้งทุ่ง เหลือแต่ดินดำๆ 555 คนเรามันต้องมีพลาดกันบ้าง)
Zurich
สำหรับ Zurich ขุ่นป้าซื้อ Swisspass แบบ 4 วัน ประมาณ 261 CFS คุ้มมากกกก เนื่องจากว่า ใช้ได้กับทุกอย่างสิ่ง ทั้งรถเมล์ รถราง รถไฟ และ ที่สำคัญส่วนลดค่าเข้าสถานที่ต่างๆ (แอบยิ้ม) คุ้ม 555
Italy
ป้าใช้ Urailpass one country ระยะเวลาการเดินทางไม่ต่อเนื่อง 8 วัน+แถมฟรี 1 วัน ก็แอบพลาดนะ เพราะว่ามันใช้กับ Frecciarossa และ AV ไม่ได้ (รู้ว่างง มันคืออะไร ใช่หรือไม่ Frecciarossa คือรถไฟเร็วระหว่างประเทศ และ AV คือ รถไฟเร็วระหว่างเมืองในประเทศอิตาลี) ถ้าจะขึ้นรถไฟ 2 ประเภทนี้ ต้องเสียค่าจองที่นั่งอีกครั้งละ 10 Euro สำหรับรถไฟ Trenitalia ของ Italy และ 7 Euro สำหรับรถไฟ OBB ของออสเตรีย (เสียไปอีกหลายสิบพูดเลย 555) แล้วรถไฟแบบไหนที่ใช้ได้โดยไม่เสียตังค์เพิ่มหล่ะ ก็รถ REG หรือ RE ซึ่งเป็นรถไฟไม่ช้าแต่ไม่เร็ว สำหรับรถไฟระหว่างเมือง ซึ่งสามารถใช้ Urailpass ได้เลย ไม่ต้องเสียค่าจองที่นั่งเพิ่มแต่อย่างใด คิดไปคิดมาแล้วก็พอๆ กับการซื้อตั๋ว ณ วันเดินทาง 555 จริงๆ ไม่ต้องซื้อล่วงหน้าก็ได้นะ
สำหรับ 31 เมือง นอกเหนือจากการใช้ Urailpass ใช้การโดยสารรถเมล์และรถไฟของ Trenitalia เป็นหลักค่ะ การขึ้นรถไฟ โหด มันส์ ฮา เศร้า ได้ในวันเดียวกัน จองล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ได้นะ ที่
http://www.trenitalia.com/tcom-en
แต่ป้าไม่ได้จองออนไลน์นะคะ เช็คราคาแล้ว คือใกล้เคียงกัน
- ซื้อตั๋วจากตู้ ง่าย เพียงปลายนิ้วสัมผัส เร็วกว่าการกดบัตรคิว และมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือไม่ต้องกลัว (เป็นอะไรที่ควรจะลอง ทั้งกดดัน ทั้งตื่นเต้น 555)
- ระยะทางสั้นๆ ไม่ต้องจองตั๋วล่วงหน้าก็ได้ ราคาไม่ต่างกัน
- เช็คเวลาล่วงหน้าจาก website Trenitalia เพื่อความสะดวกในการวางแผนเดินทาง แต่อย่าไปเชื่อเยอะเพราะว่าบางทีก็ late นะ เอาแค่คร่าวๆ (เจอ Strike ด้วย โชคดีอะไรเบอร์นั้น)
- ตั๋วรถไฟ ไม่บอกหมายเลขขบวนรถ ไม่บอกเลขชานชลา ถามพนักงานก็ไม่รู้ ต้องรอจนกว่ารถไฟจะมา แล้วข้อมูลก็จะปรากฎบน Time table ในสถานี ซึ่งบางที 5 นาที รถไฟจะออก มันเพิ่งจะโผล่เลขที่ชานชลา วิ่งซีคะ รออัลไล
- ก่อนขึ้นรถไฟ อย่าลืม เอาตั๋วไป Activate ที่กล่องสำหรับ Activate ตั๋ว ซึ่งอยู่บริเวณทางเข้าหรือชานชลา สีจะแตกต่างกันไปแต่ละเมือง ซึ่งคร่าวๆ ก็เห็นประมาณ 3 สี สีเขียว สีฟ้า สีเหลือง
- การขึ้นรถเมล์ ตั๋วรถเมล์ หาซื้อได้ตาม Tobacco Shop (ร้านขายบุหรี่) ตรงข้างๆ ป้ายรถเมล์ หรือสถานีรถไฟทั้งใต้ดินและบนดิน และบนรถเมล์ก็มีขาย ที่จำหน่ายตั๋วบนรถเมล์จะมี 2 แบบ คือ กดจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ หรือซื้อจากคนขับ ถ้ากดจากเครื่องขายตั๋วต้องเตรียมเหรียญให้พอดีไม่มีเงินทอน ถ้าซื้อจากคนขับก็ต้องเตรียมเงินให้พอดีเพื่อความสะดวกรวดเร็ว (คนข้างหลังรออยู่) ตั๋วรถเมล์บางเมืองซื้อบนรถแพงกว่าซื้อตามร้านขายบุหรี่ (อย่างเช่น Florence บนรถเมล์ 2 Euro ซื้อจากร้านขายบุหรี่ไม่ถึง 1 Euro)
สำหรับ Milan, Rome, ใช้บริการรถไฟใต้ดิน ราคาเที่ยวละ 1.50 Euro ตลอดสาย สะดวกและง่ายดาย
สำหรับ Naples รถไฟใต้ดินราคาเที่ยวละ 1 Euro
Bologna ใช้รถเมล์ เป็นหลัก ตั๋ว 1.50 Euro ตลอดสาย ภายใน 90 นาที (ถ้าเปลี่ยนสายภายใน 90 นาที ก็โชว์ตั๋วให้พนักงานดูได้เลย ไม่ต้องตีตั๋วใหม่)
ส่วนเมืองอื่นๆ ที่เหลือเดินโลดค่ะ
สำหรับใครที่ต้องการเข้า Museum ที่ Rome ไม่ต้องซื้อ Roma Pass ก็ได้ เพราะจริงๆ แล้วราคาไม่ได้แตกต่าง
อย่าไปเชื่อว่า Roma Pass เข้า Museum โดยไม่ต้องเข้าคิว ไม่จิ้ง ไม่จิง เข้าคิวเหมือนกันหมด คุณหลอกดาว
คือซื้อ Roma Pass ถ้าแบบ 48 ชม. ฟรี Colosseum กับ Roma Forum
Roma Pass 72 ชม. ฟรี Colosseum กับ Roma Forum และ อีก 1 Museum แล้วแต่จะเลือกในฝั่ง Rome ไม่รวมถึงฝั่ง Vatican นะจ๊ะ
Roma Pass ใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินฟรี แต่ว่า รถไฟใต้ดินเที่ยวละแค่ 1.50 Euro (ซึ่งไม่คุ้ม 555 ต่อให้นั่งทุกชม.ก็เถอะ)
ว่าด้วยเรื่องของที่พัก
Youth Hotel, Hostel, โรงแรมไม่มีดาว เน้นใกล้สถานีรถไฟเป็นหลัก เลือกชมและจองได้ตามอัธยาศัย ตาม Website ต่างๆ ค่ะ
Affittacamere Los Angeles - Milan ไม่แนะนำ เนื่องจากว่า หายากมากกกกกกกกกกก และไม่มี Reception ประจำ เป็นเหมือนอพาร์ตเม้นท์ให้เช่า สกปรกมาก ไม่สมราคา ส่วนที่อื่นๆ สมราคาและคุณภาพ ผ่านค่ะ
การเตรียมตัว
เนื่องจากมนุษย์ป้าอย่างเรานั้นหนาค่อนข้างจะเบี้ยน้อยหอยน้อย ดังนั้น Roming, Sim card นั้นหนาไม่ต้องพูดถึงไม่เคยได้กินเงินป้า 555 เมื่อล็อคเป้าแล้วก็หาข้อมูลให้เยอะที่สุด อ่านให้เยอะที่สุดและที่สำคัญ Google Map หาพิกัดและดูแผนที่ไปก่อน ศึกษาเส้นทางให้ละเอียด Copy ทุกอย่างใส่โทรศัพท์ไปเรยค่า ถึงตาจนจริงๆ อย่าอายที่จะขอความช่วยเหลือ (การเที่ยวนอกเส้นทางเป็นเรื่องที่ควรจะกระทำอย่างยิ่ง มันทั้งตื่นเต้น สนุกและค้นพบอะไรอีกเยอะแยะ)
Super Market คือสวรรค์ search หาตำแหน่งที่ใกล้ที่พักไว้ก่อนล่วงหน้า จากนั้นเตรียมถุงผ้าบางเบาไป 1 ใบ เพราะที่นี่ส่วนใหญ่ขายถุงนะ ถ้าให้เริ่ดขั้น Advance ควรจะหา Chinese Super Market เรียกว่า มีทุกสิ่งให้เลือกสรร
Tourist Information สำคัญมาก เพราะว่า เราต้องขอแผนที่ฟรี และข้อมูลอื่นๆ อีกหลายเรื่อง เนื่องจากว่าบางทีข้อมูลมันอาจเปลี่ยนแปลง ก็หาพิกัดให้เรียบร้อย แล้วก็เข้าไปถามเลย Tourist Information ในทวีปนี้ ไม่ดุนะ ใจดีมากกกกกกก (ชอบอิตรงนี้แหละ 555) ให้ข้อมูลเต็มที่ไม่มีกั๊ก
ใครว่าคนอิตาลีไม่มีน้ำใจไม่จริงค่ะ ใครว่าคนอิตาลีเย็นชาไม่จริงค่ะ ใครว่าคนอิตาลีน่ากลัวไม่จริงค่ะ แต่เรื่องจริงคือคนอิตาลีไม่พูดภาษาอังกฤษ อันนี้แบบว่าช๊อคค่ะ ไอ้เรารึเห็นว่าเค้าทวีปเดียวกันคงจะง่าย แต่ที่ไหนได้ โห ถึงขนาดประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจน NO ENGLISH !!!!! 555
แต่อย่าไปกลัวเกรง เพราะว่าจริงๆ แล้วเค้าฟังได้ พอเข้าใจนะแต่ว่าพูดไม่ได้แค่นั้นแหละ เค้าพูดอะไรมาเราก็พยายามใช้จิตนาการเอา เดี๋ยวก็เข้าใจกันเอง 555 อย่าไปเครียดการเดินทางคือการเรียนรู้ (บางทีก็นานไป)
Dolomite ไม่มีรถก็เที่ยวได้ 555
กระทู้ต่อไป จะเริ่มกันที่ Trail แรก หล่ะ Ebenalp ขุนเขาแห่ง Appenzell ใครสนใจก็ติดตามกันได้นะจ๊ะ
[CR] ขุ่นป้าสายเดินแบกเป้คนเดียว เที่ยว Zurich + Italy - Hiking Trail # 1
ป.ล. รูปที่เห็นทั้งหมด อาจจะดูไม่สวย เพราะว่าถ่ายไม่เป็นและไม่ได้ตกแต่งภาพนะคะ แต่เรื่องจริงคือมันสวยกว่าภาพที่เห็นมากมาย
เริ่มกันที่การทำแผนการเดินทาง
อันนี้คือ แผนการเดินทางที่แนบไปตอนขอวีซ่า ประมาณนี้ค่ะ
Travelling Plan Zurich – Italy
10 September – 19 October 2016
การขอวีซ่า
การหาข้อมูลในการขอวีซ่าเชงเก้นจากประเทศอิตาลี ตอนแรกแอบเครียด เนื่องจากว่ามีคนบอกว่า วีซ่าขอยากมากและใช้เวลานาน ขุ่นป้าก็มัวแต่ทำงาน เครียดซีคะ จะทันมั๊ยเหลือเวลาแค่ไม่ถึงเดือนจะเดินทางแล้ว หาข้อมูลจากนี่เลยค่ะ
http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/
จากนั้นจัดเตรียมเอกสาร ดังนี้
1. แบบฟอร์มใบคำร้องขอวีซ่า โดยกรอกข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ และมีลายเซ็นผู้สมัคร
http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/pdf/short_stay.pdf
2. รูปถ่ายสี ณ ปัจจุบัน 2 นิ้ว 2 ใบ พื้นหลังสีขาว
3. Passport อายุไม่น้อยกว่า 6 เดือน
4. แผนการเดินทางที่ระบุวันที่และเมืองที่จะไปอย่างครบถ้วน (ถ้ากรณีที่เดินทางเข้าประเทศอื่นก่อนที่จะไปอิตาลี ให้ระบุด้วยว่า จะเดินทางเข้าประเทศอิตาลีโดยทางไหน เช่น ทางรถไฟ ทางรถบัส ทางเครื่องบิน)
5. ใบจองตั๋วเครื่องบิน
6. ในจองที่พัก ซึ่งต้องตรงและครบจำนวนวันเดินทาง
7. เอกสารแสดงสถานะการเงินย้อนหลัง 3 เดือน เช่น สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร ซึ่งต้อง update จำนวนเงินถึงวันที่ยื่นขอวีซ่า หรือ Bank Statement ตัวจริง และหนังสือรับรองจากธนาคารตัวจริงซึ่งมีอายุไม่เกิน 15 วัน นับจากวันที่สมัคร
สำเนาสมุดบัญชีเธนาคารเงินฝากประเภทประจำ ไม่สามารถใช้ยื่นวีซ่าได้ และเงินในบัญชีเงินฝากต้องครอบคลุมค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาการเดินทาง
8. เอกสารรับรองการทำงานเป็นภาษาอังกฤษ อายุไม่เกิน 1 เดือน นับจากวันที่สมัคร
9. สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมเอกสารแปลเป็นภาษาอังกฤษ (ขุ่นป้าไปแปลมา 300 บาท)
10. กรมธรรม์การเดินทาง ไม่ต่ำกว่า 30,000 ยูโร หรือ 1,500,000 บาท
11. สำเนาหนังสือเดินทาง 2 ฉบับ
12. สำเนาหนังสือเดินทางที่มีการประทับตราวีซ่าของประเทศต่างๆ ทุกประเทศ (ถ่ายเอกสารหน้าต่อหน้า) ทุกเล่มที่มี
13. สำหรับเจ้าของกิจการ ให้ยื่นสำเนาหนังสือรับรองบริษัท พร้อมประทับตราและลายเซ็นผู้สมัคร และหนังสือรับรองบริษัทซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษ (อันนี้ขุ่นป้าก็ไปแปลมา 300 บาท)
เมื่อเอกสารครบ ไปยื่นเอกสารด้วยตัวเองที่ Visa Center ชั้น 15 อาคาร สีลมคอมเพล็กซ์ ตรวจเอกสารเสร็จถ้าเอกสารครบรอสัมภาษณ์เลย
อุ๊ต๊ะ รอแค่ 2 วัน ได้วีซ่าแล้ว 555 สูดหายใจเข้าปอดแรงๆ โล่งใจฝุดๆ
ว่าด้วยเรื่องของการเดินทาง
สำหรับ Trip นี้ใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะล้วนๆ ยกเว้น วันเดียวที่ซื้อทัวร์ไป เที่ยว VAL D'ORCIA เพราะว่าอยากเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจีและทุ่งเหลืองทองอร่ามของ Tuscany (เหอะๆ ที่ไหนได้ ไปผิดเดือน เค้าไถกลบกันทั้งทุ่ง เหลือแต่ดินดำๆ 555 คนเรามันต้องมีพลาดกันบ้าง)
Zurich
สำหรับ Zurich ขุ่นป้าซื้อ Swisspass แบบ 4 วัน ประมาณ 261 CFS คุ้มมากกกก เนื่องจากว่า ใช้ได้กับทุกอย่างสิ่ง ทั้งรถเมล์ รถราง รถไฟ และ ที่สำคัญส่วนลดค่าเข้าสถานที่ต่างๆ (แอบยิ้ม) คุ้ม 555
Italy
ป้าใช้ Urailpass one country ระยะเวลาการเดินทางไม่ต่อเนื่อง 8 วัน+แถมฟรี 1 วัน ก็แอบพลาดนะ เพราะว่ามันใช้กับ Frecciarossa และ AV ไม่ได้ (รู้ว่างง มันคืออะไร ใช่หรือไม่ Frecciarossa คือรถไฟเร็วระหว่างประเทศ และ AV คือ รถไฟเร็วระหว่างเมืองในประเทศอิตาลี) ถ้าจะขึ้นรถไฟ 2 ประเภทนี้ ต้องเสียค่าจองที่นั่งอีกครั้งละ 10 Euro สำหรับรถไฟ Trenitalia ของ Italy และ 7 Euro สำหรับรถไฟ OBB ของออสเตรีย (เสียไปอีกหลายสิบพูดเลย 555) แล้วรถไฟแบบไหนที่ใช้ได้โดยไม่เสียตังค์เพิ่มหล่ะ ก็รถ REG หรือ RE ซึ่งเป็นรถไฟไม่ช้าแต่ไม่เร็ว สำหรับรถไฟระหว่างเมือง ซึ่งสามารถใช้ Urailpass ได้เลย ไม่ต้องเสียค่าจองที่นั่งเพิ่มแต่อย่างใด คิดไปคิดมาแล้วก็พอๆ กับการซื้อตั๋ว ณ วันเดินทาง 555 จริงๆ ไม่ต้องซื้อล่วงหน้าก็ได้นะ
สำหรับ 31 เมือง นอกเหนือจากการใช้ Urailpass ใช้การโดยสารรถเมล์และรถไฟของ Trenitalia เป็นหลักค่ะ การขึ้นรถไฟ โหด มันส์ ฮา เศร้า ได้ในวันเดียวกัน จองล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ได้นะ ที่
http://www.trenitalia.com/tcom-en
แต่ป้าไม่ได้จองออนไลน์นะคะ เช็คราคาแล้ว คือใกล้เคียงกัน
- ซื้อตั๋วจากตู้ ง่าย เพียงปลายนิ้วสัมผัส เร็วกว่าการกดบัตรคิว และมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือไม่ต้องกลัว (เป็นอะไรที่ควรจะลอง ทั้งกดดัน ทั้งตื่นเต้น 555)
- ระยะทางสั้นๆ ไม่ต้องจองตั๋วล่วงหน้าก็ได้ ราคาไม่ต่างกัน
- เช็คเวลาล่วงหน้าจาก website Trenitalia เพื่อความสะดวกในการวางแผนเดินทาง แต่อย่าไปเชื่อเยอะเพราะว่าบางทีก็ late นะ เอาแค่คร่าวๆ (เจอ Strike ด้วย โชคดีอะไรเบอร์นั้น)
- ตั๋วรถไฟ ไม่บอกหมายเลขขบวนรถ ไม่บอกเลขชานชลา ถามพนักงานก็ไม่รู้ ต้องรอจนกว่ารถไฟจะมา แล้วข้อมูลก็จะปรากฎบน Time table ในสถานี ซึ่งบางที 5 นาที รถไฟจะออก มันเพิ่งจะโผล่เลขที่ชานชลา วิ่งซีคะ รออัลไล
- ก่อนขึ้นรถไฟ อย่าลืม เอาตั๋วไป Activate ที่กล่องสำหรับ Activate ตั๋ว ซึ่งอยู่บริเวณทางเข้าหรือชานชลา สีจะแตกต่างกันไปแต่ละเมือง ซึ่งคร่าวๆ ก็เห็นประมาณ 3 สี สีเขียว สีฟ้า สีเหลือง
- การขึ้นรถเมล์ ตั๋วรถเมล์ หาซื้อได้ตาม Tobacco Shop (ร้านขายบุหรี่) ตรงข้างๆ ป้ายรถเมล์ หรือสถานีรถไฟทั้งใต้ดินและบนดิน และบนรถเมล์ก็มีขาย ที่จำหน่ายตั๋วบนรถเมล์จะมี 2 แบบ คือ กดจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ หรือซื้อจากคนขับ ถ้ากดจากเครื่องขายตั๋วต้องเตรียมเหรียญให้พอดีไม่มีเงินทอน ถ้าซื้อจากคนขับก็ต้องเตรียมเงินให้พอดีเพื่อความสะดวกรวดเร็ว (คนข้างหลังรออยู่) ตั๋วรถเมล์บางเมืองซื้อบนรถแพงกว่าซื้อตามร้านขายบุหรี่ (อย่างเช่น Florence บนรถเมล์ 2 Euro ซื้อจากร้านขายบุหรี่ไม่ถึง 1 Euro)
สำหรับ Milan, Rome, ใช้บริการรถไฟใต้ดิน ราคาเที่ยวละ 1.50 Euro ตลอดสาย สะดวกและง่ายดาย
สำหรับ Naples รถไฟใต้ดินราคาเที่ยวละ 1 Euro
Bologna ใช้รถเมล์ เป็นหลัก ตั๋ว 1.50 Euro ตลอดสาย ภายใน 90 นาที (ถ้าเปลี่ยนสายภายใน 90 นาที ก็โชว์ตั๋วให้พนักงานดูได้เลย ไม่ต้องตีตั๋วใหม่)
ส่วนเมืองอื่นๆ ที่เหลือเดินโลดค่ะ
สำหรับใครที่ต้องการเข้า Museum ที่ Rome ไม่ต้องซื้อ Roma Pass ก็ได้ เพราะจริงๆ แล้วราคาไม่ได้แตกต่าง
อย่าไปเชื่อว่า Roma Pass เข้า Museum โดยไม่ต้องเข้าคิว ไม่จิ้ง ไม่จิง เข้าคิวเหมือนกันหมด คุณหลอกดาว
คือซื้อ Roma Pass ถ้าแบบ 48 ชม. ฟรี Colosseum กับ Roma Forum
Roma Pass 72 ชม. ฟรี Colosseum กับ Roma Forum และ อีก 1 Museum แล้วแต่จะเลือกในฝั่ง Rome ไม่รวมถึงฝั่ง Vatican นะจ๊ะ
Roma Pass ใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินฟรี แต่ว่า รถไฟใต้ดินเที่ยวละแค่ 1.50 Euro (ซึ่งไม่คุ้ม 555 ต่อให้นั่งทุกชม.ก็เถอะ)
ว่าด้วยเรื่องของที่พัก
Youth Hotel, Hostel, โรงแรมไม่มีดาว เน้นใกล้สถานีรถไฟเป็นหลัก เลือกชมและจองได้ตามอัธยาศัย ตาม Website ต่างๆ ค่ะ
Affittacamere Los Angeles - Milan ไม่แนะนำ เนื่องจากว่า หายากมากกกกกกกกกกก และไม่มี Reception ประจำ เป็นเหมือนอพาร์ตเม้นท์ให้เช่า สกปรกมาก ไม่สมราคา ส่วนที่อื่นๆ สมราคาและคุณภาพ ผ่านค่ะ
การเตรียมตัว
เนื่องจากมนุษย์ป้าอย่างเรานั้นหนาค่อนข้างจะเบี้ยน้อยหอยน้อย ดังนั้น Roming, Sim card นั้นหนาไม่ต้องพูดถึงไม่เคยได้กินเงินป้า 555 เมื่อล็อคเป้าแล้วก็หาข้อมูลให้เยอะที่สุด อ่านให้เยอะที่สุดและที่สำคัญ Google Map หาพิกัดและดูแผนที่ไปก่อน ศึกษาเส้นทางให้ละเอียด Copy ทุกอย่างใส่โทรศัพท์ไปเรยค่า ถึงตาจนจริงๆ อย่าอายที่จะขอความช่วยเหลือ (การเที่ยวนอกเส้นทางเป็นเรื่องที่ควรจะกระทำอย่างยิ่ง มันทั้งตื่นเต้น สนุกและค้นพบอะไรอีกเยอะแยะ)
Super Market คือสวรรค์ search หาตำแหน่งที่ใกล้ที่พักไว้ก่อนล่วงหน้า จากนั้นเตรียมถุงผ้าบางเบาไป 1 ใบ เพราะที่นี่ส่วนใหญ่ขายถุงนะ ถ้าให้เริ่ดขั้น Advance ควรจะหา Chinese Super Market เรียกว่า มีทุกสิ่งให้เลือกสรร
Tourist Information สำคัญมาก เพราะว่า เราต้องขอแผนที่ฟรี และข้อมูลอื่นๆ อีกหลายเรื่อง เนื่องจากว่าบางทีข้อมูลมันอาจเปลี่ยนแปลง ก็หาพิกัดให้เรียบร้อย แล้วก็เข้าไปถามเลย Tourist Information ในทวีปนี้ ไม่ดุนะ ใจดีมากกกกกกก (ชอบอิตรงนี้แหละ 555) ให้ข้อมูลเต็มที่ไม่มีกั๊ก
ใครว่าคนอิตาลีไม่มีน้ำใจไม่จริงค่ะ ใครว่าคนอิตาลีเย็นชาไม่จริงค่ะ ใครว่าคนอิตาลีน่ากลัวไม่จริงค่ะ แต่เรื่องจริงคือคนอิตาลีไม่พูดภาษาอังกฤษ อันนี้แบบว่าช๊อคค่ะ ไอ้เรารึเห็นว่าเค้าทวีปเดียวกันคงจะง่าย แต่ที่ไหนได้ โห ถึงขนาดประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจน NO ENGLISH !!!!! 555
แต่อย่าไปกลัวเกรง เพราะว่าจริงๆ แล้วเค้าฟังได้ พอเข้าใจนะแต่ว่าพูดไม่ได้แค่นั้นแหละ เค้าพูดอะไรมาเราก็พยายามใช้จิตนาการเอา เดี๋ยวก็เข้าใจกันเอง 555 อย่าไปเครียดการเดินทางคือการเรียนรู้ (บางทีก็นานไป)
Dolomite ไม่มีรถก็เที่ยวได้ 555
กระทู้ต่อไป จะเริ่มกันที่ Trail แรก หล่ะ Ebenalp ขุนเขาแห่ง Appenzell ใครสนใจก็ติดตามกันได้นะจ๊ะ