ขอออกตัวก่อนเลยว่าที่จั่วหัวแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีคนทำได้นะครับ แต่มุมมองผม มองว่ามีน้อยคนมากที่ได้ Passive Income จริงๆ ส่วนตัวผมเองได้มีโอกาสทำธุรกิจนี้อยู่ห้าถึงหกปี มียอดธุรกิจปีนึงหลายล้านบาท และได้สัมผัสโดยตรงกับนักธุรกิจเครือข่ายระดับสูงเป็นร้อยๆคน ในหลายๆบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการ จนเลิกจากธุรกิจนี้ ภายหลังก็ได้ช่วยคิดคอนเซปการโน้มน้าวใจคนในรูปแบบต่างๆ เพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มต่างๆ เป็นสิบๆกลุ่ม ทำให้เห็นถึงทัศนคติจริงๆของผู้นำหรือแม่ทีมในธุรกิจนี้ ว่ามันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เค้าพูดกันบนเวที เอาหล่ะเรามาเริ่มกันเลย
เชื่อว่าคนไทยมากกว่าครึ่งประเทศ ต้องเคยไปฟังธุรกิจเครือข่ายอย่างแน่นอน และสิ่งที่เป็นจุดขายของธุรกิจเครือข่าย ก็คือ Passive Income เค้ามักจะอ้างคำพูดในหนังสือพ่อรวยสอนลูกของ Robert Kiyosaki ว่าธุรกิจเครือข่ายเป็น Passive Income ถ้าพูดถึง “เงินสี่ด้าน งานสี่ประเภท” ก็จัดอยู่ในงานฝั่งขวา แต่ผมเห็นผู้นำระดับสูง แม่ทีมต่างๆ ที่มีรายได้หลักแสน หลักล้าน ก็ยังทำงานยิกๆ มีแต่ความเครียดเต็มไปหมด ไม่เห็นจะมีอิสรภาพจริงๆอย่างที่พูดกันซึ่งเค้าก็จะตอบแบบหล่อๆสวยๆว่า ก็มันสนุกนี่หน่า ใครจะหยุดทำล่ะ ก็มันเป็นงานที่มีคุณค่านี่หน่า ไม่รู้จะหยุดทำไม
แต่จริงๆแล้วเหตุที่ยังหยุดไม่ได้เพราะอะไรน่ะเหรอ?
สาเหตุหลักๆ คงหนีไม่พ้น “เพราะมีความไม่มั่นคงในชีวิต”
1.ถ้าในบริษัทหรือในกลุ่ม เกิดมีผู้นำหรือแม่ทีม “ย้ายบริษัท” กระแสด้านลบจะเข้ามาในกลุ่มทันที ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง ซึ่งตรงนี้เค้าควบคุมไม่ได้ทั้งหมด จึงต้องลงมาทำธุรกิจอยู่ตลอดเวลา
2.ถ้าเกิดมีบริษัทใหม่ๆ ที่มีนวัตกรรมดีกว่ามากๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือแผน ก็มีความเสี่ยงอีกในฐานะคู่แข่ง (บางบริษัทก็จะบอกว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่คนยังล้างหน้าแปรงฟัน ธุรกิจเราไม่มีทางเจ๊ง) ซึ่งเอาจริงๆแล้ว บริษัทที่พูดนี่ นักธุรกิจก็ไหลออกเป็นว่าเล่นเหมือนกัน
3.นักธุรกิจภายใต้สายงาน มีการหมุนเวียนอยู่เสมอ พูดง่ายๆคือคนเก่าอยู่ไม่ได้ ก็ออกไป สักพักก็มีคนใหม่เข้ามา แล้วก็ออกไปอีก วนไปเรื่อยเป็นวัฏจักร ข้อนี้ทุกบริษัทเป็นเหมือนกันหมด เหนื่อยกับการสร้างคน วนไปไม่รู้จบ ต้นเหตุจริงๆแล้ว เพราะยังไม่สามารถทำให้คนสำเร็จได้จริงๆ หรือถ้าได้ก็จะได้ในสัดส่วนที่น้อยมากเกินไป หลายที่เลยใช้วิธีขายฝันไปเรื่อยๆเพื่อให้คนไม่มีรายได้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ (สำหรับใครที่ทำธุรกิจนี้อยู่แล้วเป็นแบบนี้ ลองถามตัวเองแบบไม่หลอกตัวเองนะครับ ว่าตัวเรามีโอกาสสำเร็จในธุรกิจนี้มากแค่ไหน)
4.แม้ว่ารายได้จะสูง แต่รายจ่ายก็สูงมากไม่แพ้กัน บางคนรายได้หลักแสน แต่กลับไม่เหลือเงินในแต่ละเดือน เพราะอะไรน่ะเหรอ ไม่ว่าจะเป็นค่าเซ็นเตอร์จัดประชุม บางครั้งมีค่าสต็อคสินค้า สต็อคบัตรเข้างาน บางครั้งมีค่าผ่อนรถคันหรู ไหนจะค่าน้ำมัน บางครั้งมีค่าภาษีสังคม บางครั้งมีค่าโปรโมชั่นในกลุ่ม บางครั้งมีค่าผลิตสื่อในกลุ่ม ไหนจะค่าเดินทางไปต่างประเทศอีก (บางทริปบริษัทออก บางทริปออกเอง) จึงทำให้ผู้นำกลุ่มนี้แทบจะไม่มีเงินเก็บเลย หวังแค่ว่ารายได้จะโตพรวดขึ้นไปอีก
5.รายได้แกว่งโคตรๆ บางช่วงรายได้ดี บางช่วงไม่มีรายได้ เชื่อเถอะว่าต่อให้องค์กรใหญ่โตขนาดไหน ไม่มีใครโชว์รายได้ให้คุณดูได้ทุกเดือนหรอก มีแค่บางช่วงเท่านั้นแหละที่เอามาโชว์ เพราะเค้าไม่อยากให้คุณเห็นว่ามันสวิงสุดๆเลย คนที่บอกรายได้หลักแสน บางทีอาจเหลือแค่สองหมื่นก็ได้นะ ผมเห็นมาเยอะ
6.บางทีเค้าจะบอกว่า ความมั่นคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริษัทหรอก มันขึ้นอยู่กับความเหนียวแน่นในกลุ่มของเค้าต่างหาก ใช่ครับ พูดไม่ผิด แต่ในชีวิตนึงคุณย้ายได้กี่บริษัท หรือก็ไม่เป็นไร ย้ายมันไปเรื่อยๆ แน่นอนครับว่าทุกครั้งที่ย้ายก็คงมีใจแป้วเหมือนกันแหละ ว่าจะมีคนย้ายตามมั๊ย ผมเห็นมาเยอะครับที่พูดว่า บริษัทนี้จะเป็นบริษัทสุดท้ายของเรา... สักพักก็ย้ายอีก แต่แบบนี้ยังเรียกว่า Passive Income อีกเหรอครับ
สรุป
นี่หรือ คือวิถีของ Passive Income
ก็จริงอยู่นะครับที่ Passive Income ไม่ได้แปลว่าคุณไม่ต้องทำอะไรเลย แต่มันต้องลงมือทำบางอย่างบ้าง ไม่ใช่อยู่เฉยๆแล้วได้ตังค์ เช่น อสังหา คุณก็ยังต้องไปเก็บค่าเช่า ซ่อมแซมบำรุง ลงทุนในหุ้น คุณก็ยังต้องจัดพอร์ตใหม่ อัพเดทข้อมูลใหม่ๆเรื่อยๆ แต่สำหรับผมนั้น ธุรกิจเครือข่ายมันไม่เข้าข่าย Passive Income ก็เพราะมันไม่สามารถตัด “ความกังวลใจ" ออกไปได้ครับ แต่ถ้าใครตัดออกไปได้ แล้วบอกว่าตัวเองมี Passive Income อันนี้ผมไม่เถียง ซึ่งในเมืองไทยนี่นับคนได้เลย ส่วนตัวผมเห็นว่าถ้าจะได้จริงๆ ต้องทำอย่างถูกทิศทาง 15-20ปีขึ้นไป
ไหนๆก็วิเคราะห์มาถึงตรงนี้ละ ขอพูดต่ออีกประเด็นหน่อยเหอะ
มีใครสงสัยมั๊ยว่าทำไมคนไทยส่วนใหญ่ ถึง “ยี้” กับธุรกิจนี้
มาดูกันเลย...
เหตุผลที่ ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ ยังคงแอนตี้ธุรกิจเครือข่ายอยู่?
1.นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ยังมีนิสัย “ชอบหลอก” ให้ไปฟัง
(ซึ่งในวงการ เค้ามักจะพูดว่า ไม่ได้หลอก แค่บอกไม่หมด) ฟังคำนี้แล้วช้ำใจมาก มักบอกว่าเราเป็นผู้ให้ ไปให้โอกาสคน ออกไปช่วยเหลือคน แต่จุดเริ่มต้นมาจากการหลอก T T
2.นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ยังมีนิสัย “ชอบดูถูกอาชีพอื่น”
ด้วยความที่เค้าเองมองว่า พนักงานประจำ เป็นสิ่งเลวร้าย ขายแรง ขายเวลาเพื่อแลกกับเงิน เจ้าของธุรกิจส่วนตัว ก็ได้แต่ทำงานไปตลอดชีวิต หยุดไม่ได้ มองแค่ว่าธุรกิจเครือข่าย คือทางเดียวที่จะได้ Passive Income
งานฝั่งซ้ายไม่ดี ต้องย้ายมาฝั่งขวา โดยลืมมองไปว่าทุกงานล้วนมีคุณค่าในตนเอง คนทำงานประจำก็สามารถทำงานที่มีคุณค่า พร้อมๆกับการสร้างรายได้ที่เป็น Passive Income ช่องทางอื่นได้อย่างสบายๆ
3.นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ยังมีนิสัย “ชอบโม้ โอเว่อร์เกินจริง”
ด้วยความเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อ อัพไลน์มักจะโมติเวทเสมอว่า มันเปลี่ยนชีวิตอย่างงั้น อย่างงี้ ทำให้ดาวน์ไลน์เองตื่นเต้น นำไปบอกต่อเพื่อนฝูงแบบซี้ซั้ว ไม่ค่อยได้ให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงสักเท่าไหร่ เน้นอารมณ์เป็นหลัก ยิ่งในปัจจุบันหลายบริษัทมีดาราหรือคนดังเข้ามาร่วมธุรกิจจำนวนมาก (ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นธุรกิจที่ใช้ชื่อเสียงทำเงินได้แบบง่ายๆ) ทำให้คนนอกมองว่าเหมือนถูกล้างสมอง ผมว่าค่อยๆพูดไม่ต้องตื่นเต้นมาก ให้ข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลตามความเป็นจริง คนนอกน่าจะอยากฟังมากกว่า
4.นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ยังมีนิสัย “ขี้อวด”
แน่นอนว่าเค้าก็ต้องการเป็นจุดสนใจ ว่าเค้าเองประสบความสำเร็จมากมาย จึงต้องหันเอาด้านดีให้สังคมเห็น หมุนเอาด้านแย่หลบไปหลังฉาก ที่เห็นกันประจำคือถ่ายรูปกับรถป้ายแดง รถคันหรู (ไม่เห็นคนรวยในอาชีพอื่นๆต้องทำแบบนี้) แต่หารู้ไม่ว่า เบื้องหลังนี่ผ่อนกันแทบไม่ไหว (เบ๊นซ์อ่ะตากลม แต่คนผ่อนอ่ะตาเหลือก) ตรงนี้คนชอบก็ช้อบชอบ คนเกลียดก็เกลี๊ยดเกลียด
5.นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ยังมีนิสัย “ขี้ตื้อ”
ผมว่ามันมีเส้นบางๆกั้น ระหว่างคำว่า “ตื้อ” กับ “พยายาม” และคิดว่านักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่เข้าใจผิด ว่าที่เค้าตื้อขายของ ตื้อชวนไปประชุม มันคือการพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายในธุรกิจ สิ่งนึงที่ต้องกลับมามอง ไม่ใช่มองเป้าหมายเป็นอันดับแรก แต่เป็นจิตใจของเพื่อนคุณต่างหาก ที่ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา
สรุป
ด้วยเหตุผลที่พูดมาทั้งหมด คนส่วนใหญ่จึงแอนตี้ธุรกิจนี้ คนนอกมองเห็นแบบนี้ซ้ำๆ คนแล้วคนเล่า เค้าเลยไม่อยากทำเพราะไม่อยากเป็นแบบนี้ แม้ว่ารายได้หรือผลประโยชน์จะดีแค่ไหน ก็ไม่อยากเข้ามายุ่ง อีกทั้งเพราะกลัวเพื่อนหรือสังคมจะมองตนเองไม่ดี กลัวจะไม่มีเพื่อนคบ หรือกลัวเสียภาพลักษณ์ ยิ่งยุคนี้เป็นยุคของ Personal Brand คนห่วงภาพลักษณ์ตัวเองมากที่สุด แต่หลายคนที่ทำธุรกิจนี้ พูดแบบตามตรงเลย คือไม่สนใจเรื่องที่พูดมาทั้งหมด ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร สนแค่ว่าเค้ามีรายได้เข้ากระเป๋าเท่าไหร่ ซึ่งดูเผินๆเหมือนจะเป็นวิธีคิดที่ดี แต่เอาจริงๆแล้วการที่รวยแบบไม่มีคุณค่า มันก็ทำให้เราก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่านั้นไม่ได้
ก่อนจบ อยากจะบอกว่า จุดประสงค์ของการเขียนในครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาโจมตีธุรกิจนี้แต่อย่างใด นอกจาก...
1.ตีแผ่ข้อมูลบางมุมที่ “คนนอก” ไม่เคยเห็น ประกอบการตัดสินใจก่อนเข้าธุรกิจนี้ ไม่เป็นเหยื่อการตลาดแบบโมติเวท ถ้าจะทำต้องรู้ให้จริง
2.ให้ข้อมูลคนที่ “กำลังทำธุรกิจนี้อยู่” เพื่อตั้งเป้าหมายปลายทางที่จะไป ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถเอาข้อมูลนี้ไปขยี้ต่อกับอัพไลน์ของคุณได้
3.สะท้อนมุมมองให้กลุ่มนักธุรกิจ “ผู้นำ แม่ทีม” รับรู้ว่าสังคมคิดยังไงกับธุรกิจนี้ เพื่ออัพเดทวิธีคิดให้ธุรกิจนี้สามารถช่วยเหลือคนได้จริงๆ ไม่ใช่แค่ใช้คนเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราสูงขึ้นไป
ขอบคุณสำหรับการติดตาม มีอะไรแลกเปลี่ยนกันนะครับ
เมื่อธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่ Passive Income อย่างที่ใครๆเค้าพูดกัน (แบบเจาะลึก)
เชื่อว่าคนไทยมากกว่าครึ่งประเทศ ต้องเคยไปฟังธุรกิจเครือข่ายอย่างแน่นอน และสิ่งที่เป็นจุดขายของธุรกิจเครือข่าย ก็คือ Passive Income เค้ามักจะอ้างคำพูดในหนังสือพ่อรวยสอนลูกของ Robert Kiyosaki ว่าธุรกิจเครือข่ายเป็น Passive Income ถ้าพูดถึง “เงินสี่ด้าน งานสี่ประเภท” ก็จัดอยู่ในงานฝั่งขวา แต่ผมเห็นผู้นำระดับสูง แม่ทีมต่างๆ ที่มีรายได้หลักแสน หลักล้าน ก็ยังทำงานยิกๆ มีแต่ความเครียดเต็มไปหมด ไม่เห็นจะมีอิสรภาพจริงๆอย่างที่พูดกันซึ่งเค้าก็จะตอบแบบหล่อๆสวยๆว่า ก็มันสนุกนี่หน่า ใครจะหยุดทำล่ะ ก็มันเป็นงานที่มีคุณค่านี่หน่า ไม่รู้จะหยุดทำไม
แต่จริงๆแล้วเหตุที่ยังหยุดไม่ได้เพราะอะไรน่ะเหรอ?
สาเหตุหลักๆ คงหนีไม่พ้น “เพราะมีความไม่มั่นคงในชีวิต”
1.ถ้าในบริษัทหรือในกลุ่ม เกิดมีผู้นำหรือแม่ทีม “ย้ายบริษัท” กระแสด้านลบจะเข้ามาในกลุ่มทันที ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง ซึ่งตรงนี้เค้าควบคุมไม่ได้ทั้งหมด จึงต้องลงมาทำธุรกิจอยู่ตลอดเวลา
2.ถ้าเกิดมีบริษัทใหม่ๆ ที่มีนวัตกรรมดีกว่ามากๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือแผน ก็มีความเสี่ยงอีกในฐานะคู่แข่ง (บางบริษัทก็จะบอกว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่คนยังล้างหน้าแปรงฟัน ธุรกิจเราไม่มีทางเจ๊ง) ซึ่งเอาจริงๆแล้ว บริษัทที่พูดนี่ นักธุรกิจก็ไหลออกเป็นว่าเล่นเหมือนกัน
3.นักธุรกิจภายใต้สายงาน มีการหมุนเวียนอยู่เสมอ พูดง่ายๆคือคนเก่าอยู่ไม่ได้ ก็ออกไป สักพักก็มีคนใหม่เข้ามา แล้วก็ออกไปอีก วนไปเรื่อยเป็นวัฏจักร ข้อนี้ทุกบริษัทเป็นเหมือนกันหมด เหนื่อยกับการสร้างคน วนไปไม่รู้จบ ต้นเหตุจริงๆแล้ว เพราะยังไม่สามารถทำให้คนสำเร็จได้จริงๆ หรือถ้าได้ก็จะได้ในสัดส่วนที่น้อยมากเกินไป หลายที่เลยใช้วิธีขายฝันไปเรื่อยๆเพื่อให้คนไม่มีรายได้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ (สำหรับใครที่ทำธุรกิจนี้อยู่แล้วเป็นแบบนี้ ลองถามตัวเองแบบไม่หลอกตัวเองนะครับ ว่าตัวเรามีโอกาสสำเร็จในธุรกิจนี้มากแค่ไหน)
4.แม้ว่ารายได้จะสูง แต่รายจ่ายก็สูงมากไม่แพ้กัน บางคนรายได้หลักแสน แต่กลับไม่เหลือเงินในแต่ละเดือน เพราะอะไรน่ะเหรอ ไม่ว่าจะเป็นค่าเซ็นเตอร์จัดประชุม บางครั้งมีค่าสต็อคสินค้า สต็อคบัตรเข้างาน บางครั้งมีค่าผ่อนรถคันหรู ไหนจะค่าน้ำมัน บางครั้งมีค่าภาษีสังคม บางครั้งมีค่าโปรโมชั่นในกลุ่ม บางครั้งมีค่าผลิตสื่อในกลุ่ม ไหนจะค่าเดินทางไปต่างประเทศอีก (บางทริปบริษัทออก บางทริปออกเอง) จึงทำให้ผู้นำกลุ่มนี้แทบจะไม่มีเงินเก็บเลย หวังแค่ว่ารายได้จะโตพรวดขึ้นไปอีก
5.รายได้แกว่งโคตรๆ บางช่วงรายได้ดี บางช่วงไม่มีรายได้ เชื่อเถอะว่าต่อให้องค์กรใหญ่โตขนาดไหน ไม่มีใครโชว์รายได้ให้คุณดูได้ทุกเดือนหรอก มีแค่บางช่วงเท่านั้นแหละที่เอามาโชว์ เพราะเค้าไม่อยากให้คุณเห็นว่ามันสวิงสุดๆเลย คนที่บอกรายได้หลักแสน บางทีอาจเหลือแค่สองหมื่นก็ได้นะ ผมเห็นมาเยอะ
6.บางทีเค้าจะบอกว่า ความมั่นคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริษัทหรอก มันขึ้นอยู่กับความเหนียวแน่นในกลุ่มของเค้าต่างหาก ใช่ครับ พูดไม่ผิด แต่ในชีวิตนึงคุณย้ายได้กี่บริษัท หรือก็ไม่เป็นไร ย้ายมันไปเรื่อยๆ แน่นอนครับว่าทุกครั้งที่ย้ายก็คงมีใจแป้วเหมือนกันแหละ ว่าจะมีคนย้ายตามมั๊ย ผมเห็นมาเยอะครับที่พูดว่า บริษัทนี้จะเป็นบริษัทสุดท้ายของเรา... สักพักก็ย้ายอีก แต่แบบนี้ยังเรียกว่า Passive Income อีกเหรอครับ
สรุป
นี่หรือ คือวิถีของ Passive Income
ก็จริงอยู่นะครับที่ Passive Income ไม่ได้แปลว่าคุณไม่ต้องทำอะไรเลย แต่มันต้องลงมือทำบางอย่างบ้าง ไม่ใช่อยู่เฉยๆแล้วได้ตังค์ เช่น อสังหา คุณก็ยังต้องไปเก็บค่าเช่า ซ่อมแซมบำรุง ลงทุนในหุ้น คุณก็ยังต้องจัดพอร์ตใหม่ อัพเดทข้อมูลใหม่ๆเรื่อยๆ แต่สำหรับผมนั้น ธุรกิจเครือข่ายมันไม่เข้าข่าย Passive Income ก็เพราะมันไม่สามารถตัด “ความกังวลใจ" ออกไปได้ครับ แต่ถ้าใครตัดออกไปได้ แล้วบอกว่าตัวเองมี Passive Income อันนี้ผมไม่เถียง ซึ่งในเมืองไทยนี่นับคนได้เลย ส่วนตัวผมเห็นว่าถ้าจะได้จริงๆ ต้องทำอย่างถูกทิศทาง 15-20ปีขึ้นไป
ไหนๆก็วิเคราะห์มาถึงตรงนี้ละ ขอพูดต่ออีกประเด็นหน่อยเหอะ
มีใครสงสัยมั๊ยว่าทำไมคนไทยส่วนใหญ่ ถึง “ยี้” กับธุรกิจนี้
มาดูกันเลย...
เหตุผลที่ ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ ยังคงแอนตี้ธุรกิจเครือข่ายอยู่?
1.นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ยังมีนิสัย “ชอบหลอก” ให้ไปฟัง
(ซึ่งในวงการ เค้ามักจะพูดว่า ไม่ได้หลอก แค่บอกไม่หมด) ฟังคำนี้แล้วช้ำใจมาก มักบอกว่าเราเป็นผู้ให้ ไปให้โอกาสคน ออกไปช่วยเหลือคน แต่จุดเริ่มต้นมาจากการหลอก T T
2.นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ยังมีนิสัย “ชอบดูถูกอาชีพอื่น”
ด้วยความที่เค้าเองมองว่า พนักงานประจำ เป็นสิ่งเลวร้าย ขายแรง ขายเวลาเพื่อแลกกับเงิน เจ้าของธุรกิจส่วนตัว ก็ได้แต่ทำงานไปตลอดชีวิต หยุดไม่ได้ มองแค่ว่าธุรกิจเครือข่าย คือทางเดียวที่จะได้ Passive Income
งานฝั่งซ้ายไม่ดี ต้องย้ายมาฝั่งขวา โดยลืมมองไปว่าทุกงานล้วนมีคุณค่าในตนเอง คนทำงานประจำก็สามารถทำงานที่มีคุณค่า พร้อมๆกับการสร้างรายได้ที่เป็น Passive Income ช่องทางอื่นได้อย่างสบายๆ
3.นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ยังมีนิสัย “ชอบโม้ โอเว่อร์เกินจริง”
ด้วยความเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อ อัพไลน์มักจะโมติเวทเสมอว่า มันเปลี่ยนชีวิตอย่างงั้น อย่างงี้ ทำให้ดาวน์ไลน์เองตื่นเต้น นำไปบอกต่อเพื่อนฝูงแบบซี้ซั้ว ไม่ค่อยได้ให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงสักเท่าไหร่ เน้นอารมณ์เป็นหลัก ยิ่งในปัจจุบันหลายบริษัทมีดาราหรือคนดังเข้ามาร่วมธุรกิจจำนวนมาก (ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นธุรกิจที่ใช้ชื่อเสียงทำเงินได้แบบง่ายๆ) ทำให้คนนอกมองว่าเหมือนถูกล้างสมอง ผมว่าค่อยๆพูดไม่ต้องตื่นเต้นมาก ให้ข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลตามความเป็นจริง คนนอกน่าจะอยากฟังมากกว่า
4.นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ยังมีนิสัย “ขี้อวด”
แน่นอนว่าเค้าก็ต้องการเป็นจุดสนใจ ว่าเค้าเองประสบความสำเร็จมากมาย จึงต้องหันเอาด้านดีให้สังคมเห็น หมุนเอาด้านแย่หลบไปหลังฉาก ที่เห็นกันประจำคือถ่ายรูปกับรถป้ายแดง รถคันหรู (ไม่เห็นคนรวยในอาชีพอื่นๆต้องทำแบบนี้) แต่หารู้ไม่ว่า เบื้องหลังนี่ผ่อนกันแทบไม่ไหว (เบ๊นซ์อ่ะตากลม แต่คนผ่อนอ่ะตาเหลือก) ตรงนี้คนชอบก็ช้อบชอบ คนเกลียดก็เกลี๊ยดเกลียด
5.นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ยังมีนิสัย “ขี้ตื้อ”
ผมว่ามันมีเส้นบางๆกั้น ระหว่างคำว่า “ตื้อ” กับ “พยายาม” และคิดว่านักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่เข้าใจผิด ว่าที่เค้าตื้อขายของ ตื้อชวนไปประชุม มันคือการพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายในธุรกิจ สิ่งนึงที่ต้องกลับมามอง ไม่ใช่มองเป้าหมายเป็นอันดับแรก แต่เป็นจิตใจของเพื่อนคุณต่างหาก ที่ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา
สรุป
ด้วยเหตุผลที่พูดมาทั้งหมด คนส่วนใหญ่จึงแอนตี้ธุรกิจนี้ คนนอกมองเห็นแบบนี้ซ้ำๆ คนแล้วคนเล่า เค้าเลยไม่อยากทำเพราะไม่อยากเป็นแบบนี้ แม้ว่ารายได้หรือผลประโยชน์จะดีแค่ไหน ก็ไม่อยากเข้ามายุ่ง อีกทั้งเพราะกลัวเพื่อนหรือสังคมจะมองตนเองไม่ดี กลัวจะไม่มีเพื่อนคบ หรือกลัวเสียภาพลักษณ์ ยิ่งยุคนี้เป็นยุคของ Personal Brand คนห่วงภาพลักษณ์ตัวเองมากที่สุด แต่หลายคนที่ทำธุรกิจนี้ พูดแบบตามตรงเลย คือไม่สนใจเรื่องที่พูดมาทั้งหมด ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร สนแค่ว่าเค้ามีรายได้เข้ากระเป๋าเท่าไหร่ ซึ่งดูเผินๆเหมือนจะเป็นวิธีคิดที่ดี แต่เอาจริงๆแล้วการที่รวยแบบไม่มีคุณค่า มันก็ทำให้เราก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่านั้นไม่ได้
ก่อนจบ อยากจะบอกว่า จุดประสงค์ของการเขียนในครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาโจมตีธุรกิจนี้แต่อย่างใด นอกจาก...
1.ตีแผ่ข้อมูลบางมุมที่ “คนนอก” ไม่เคยเห็น ประกอบการตัดสินใจก่อนเข้าธุรกิจนี้ ไม่เป็นเหยื่อการตลาดแบบโมติเวท ถ้าจะทำต้องรู้ให้จริง
2.ให้ข้อมูลคนที่ “กำลังทำธุรกิจนี้อยู่” เพื่อตั้งเป้าหมายปลายทางที่จะไป ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถเอาข้อมูลนี้ไปขยี้ต่อกับอัพไลน์ของคุณได้
3.สะท้อนมุมมองให้กลุ่มนักธุรกิจ “ผู้นำ แม่ทีม” รับรู้ว่าสังคมคิดยังไงกับธุรกิจนี้ เพื่ออัพเดทวิธีคิดให้ธุรกิจนี้สามารถช่วยเหลือคนได้จริงๆ ไม่ใช่แค่ใช้คนเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราสูงขึ้นไป
ขอบคุณสำหรับการติดตาม มีอะไรแลกเปลี่ยนกันนะครับ