สรรพากรเตรียมเสนอครม.อนุมัติร่างกฎหมายเก็บภาษี”การค้า-ธุรกรรมการเงิน”ออนไลน์ทุกประเภท เผยครอบคลุมทั้งธุรกรรมรายย่อยแสนราย นิติบุคคลที่จดทะเบียนทั้งในและต่างประเทศ “ประสงค์”ลั่นกฎหมายใหม่ กูเกิ้ล เฟซบุค จ่ายเงินออนไลน์ บิทคอยน์โดนหมด
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีให้ครอบคลุมธุรกรรมการค้าและการเงินบนโลกออนไลน์ โดยคาดว่าจะเสนอร่างกฎหมายให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมติได้ในปี 2560 ก่อนนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาในลำดับต่อไป
ขณะนี้การร่างกฎหมายอยู่ในขั้นตอนปรับร่างเนื้อหา โดยได้เชิญผู้ที่มีส่วนได้เสียไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในระบบไอที ระบบการเงิน เพื่อให้การเขียนกฎหมายครอบคลุมและอยู่ภายใต้หลักการเดียว คือการจัดเก็บที่เป็นธรรมและสร้างความเท่าเทียม ทั้งบริษัทที่จัดตั้งในประเทศและจัดตั้งในต่างประเทศจะเน้นจัดเก็บภาษีจากธุรกิจออนไลน์ทุกรูปแบบ ทั้ง Apple Pay , อาลีเพย์ บิทคอยน์ รวมถึงกิจกรรมการค้าและโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียยอดนิยม อย่าง เฟซบุ๊ก และ กูเกิล
“ในอนาคตจะมีการค้ารูปแบบใหม่ๆเกิดขึ้น การเขียนกฎหมายจะต้องทำให้ครอบคลุม เพราะหากมีกิจกรรมการค้าก่อให้เกิดรายได้ขึ้นในประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามคุณก็มีหน้าที่เสียภาษีให้กับประเทศไทยเท่านั้น”นายสมประสงค์ กล่าว
ครอบคลุมจดทะเบียนใน-นอก
ในร่างกฎหมายฉบับนี้เบื้องต้นกรมสรรพากรแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มที่ทำธุรกิจออนไลน์และมีธุรกิจที่จดทะเบียนภายในประเทศ และกลุ่มที่ 2.กลุ่มธุรกิจออนไลน์แต่มีสถานประกอบการหรือจดทะเบียนจัดตั้งในต่างประเทศ
กรณีธุรกิจออนไลน์ในไทยแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ ร้านค้าปกติที่หันมาทำตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ ที่ขายสินค้าทางออนไลน์ ซึ่งกลุ่มนี้ไม่น่าห่วงเพราะอยู่ในฐานภาษีอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มที่ 2 คือรายย่อย ถือว่าเป็นกลุ่มที่อาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายไม่เสียภาษี ก็จะมีการแก้ไขกฎหมายให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการตรวจสอบ
ไล่เช็กรายย่อยแสนรายค้าออนไลน์
นายประสงค์ กล่าวว่า จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ปัจจุบันมีรายย่อยที่ค้าขายผ่านระบบออนไลน์นับแสนราย แต่ทุกรายไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากรายได้ยังไม่ถึงเกณฑ์กลุ่มนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างติดตามเพื่อทำกลุ่มข้อมูลสำหรับจัดเก็บภาษีโดยจะตั้งทีมติดตามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ และปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม
“การขายสินค้าออนไลน์ก็จะเสียภาษีในอัตราเดียวกับภาษี ถ้าเป็นบริษัทก็เสียนิติบุคคล บุคคลธรรมดาก็คิดตามเกณฑ์รายได้ แต่หากมีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปีแล้วก็จะต้องเข้าสู่ฐานระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม”
30 ประเทศมีกฎหมายแล้ว
นายประสงค์ กล่าวว่า กรณีธุรกิจออนไลน์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีต่ำ เกิดขึ้นในทุกประเทศ และประสบปัญหาเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์หรือเอเชีย ซึ่งไทยเองก็เจอปัญหาไม่ต่างกัน แต่ขณะนี้หลายปีประเทศได้ออกกฎหมายมาควบคุมแล้ว
“ขณะนี้มีประมาณ 30 ประเทศ ที่ออกกฎหมายมาดูแล ไทยเองก็ต้องออกกฎหมายควบคุม เพราะกฎหมายที่มีอยู่ใช้ไม่ได้ผล เป็นกฎหมายบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2490 กว่า สมัยนั้นยังไม่มี iCloud และยังไม่มีอินเตอร์เน็ตคนที่เขียนกฎหมายขณะนั้นยังนึกภาพไม่ออก แต่เมื่อมีอินเตอร์เน็ตเกิดขึ้นจำเป็นที่จะต้องปรับแก้กฎหมายให้มีความทันสมัย”
ทุกฝ่ายต้องร่วมมือ
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การร่างกฎหมายากรนี้ จำเป็นจะต้องมีหน่วย งานอื่นให้ความร่วมมือทั้งจากกรมสรรพากร กระทรวงดีอีและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้กฎหมายที่จะออกมามีความเป็นธรรม เท่าเทียม มองภาพอนาคตในสิ่งที่ยังไม่เกิด ช่วยผู้ที่ทำธุรกิจและเสียภาษีถูกต้องไม่เสียเปรียบคนที่มาใช้ช่องใหม่ ที่สำคัญต้องปิดช่องโหวที่อาจเกิดขึ้นในทุกช่องทาง ปิดทางไม่ให้เลี่ยงการตรวจสอบให้ครอบคลุมที่สุด
“Google Pay หรือแม้การจ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆเมื่อกฎหมายตรวจสอบได้ง่ายมากโดยดูจากเส้นทางการจ่ายว่ามาจากบัญชีธนาคารและโอนผ่านช่องทางไหนและต่อไปยังปลายทาง มวมถึงการคิดบนพื้นฐานหากโลกเปลี่ยนไป จากที่เน้นซื้อของผ่านห้างสรรพสินค้า เป็นไปได้หรือไม่ที่คนรุ่นใหม่จะเลือกเปรียบเทียบสินค้าในห้าง แต่กลับมาซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ตแทน ดังนั้นการตรวจสอบผ่านแอพพลิเคชั่นด้านการใช้จ่ายถือเป็นช่องทางที่สำคัญอย่างมาก”
นอกจากนี้ในอนาคตยังตรวจสอบได้ถึงกรณีที่มีการแอบอ้างชื่อบุคคลอื่น ที่นำมาเปิดเพื่อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เพราะในที่สุดเงินก็จะไปอยู่ในบัญชีเจ้าของเงินตัวจริง
นักวิชาการไอทีหนุนออกกฎหมาย
ด้านนักวิชาการด้านเทคโนโลยี่ให้ความเห็นว่า ภาษีเป็นประเด็นใหญ่ของโลกรวมทั้งประเทศไทย ประเด็นสำคัญคือไทยต้องการรั้วหรือกำแพงเพื่อปกป้องผลประโยชน์เพราะหากเมื่อไหร่ไม่มีกฎหมายหรือรั้วผู้บุกรุกทางสะดวกที่จะเข้ามา
ล่าสุดมีการนำสัญลักษณ์กระทรวงการคลังไปโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งทางการไม่สามารถจัดการหรือควบคุมได้ เพราะกฎหมายเอื้อมไม่ถึงหากมีกฎหมายจะสามารถบล็อกได้ ซึ่งปัจจุบันมีจีนประเทศเดียวที่เข้าใจ ทำให้สามารถบล็อกธุรกิจออนไลน์ข้ามชาติ และฐานภาษีไหลเวียนในประเทศจนตัวเองเติบโตดี
อย่างไรก็ตามโลกจะเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี่ที่ไร้พรมแดน ถ้าคนไทยยังไม่ตระหนัก วันหนึ่งปัจจัยทั้งหมดจะบีบเรา โดยการค้าการลงทุนและฐานภาษีหายไป แม้กระทั่งในยุโรป หลายประเทศรวมทั้งอินโดนีเซียที่ไล่ฟ้องบริษัทที่ไปทำธุรกิจออนไลน์
“ ผมมองกฎหมายเหมือนบ้านที่ต้องมีรั้ว ทางด้านเทคโนโลยี่ สำหรับป้องกันในคนบ้าน ซึ่งมีทั้งคนช่วยตัวเองไม่ได้และคนแก่ คนพิการ ดังนั้น ควรจะสร้างสรรค์ในการที่จะบอกว่ารั้วที่จะสร้างขึ้นนั้นควรสูงแค่ไหนเพื่อป้องกันผู้บุกรุก ซึ่งประชาชนต้องช่วยกันดูกลไกกฎหมายในการบังคับใช้เพื่อมิให้กลายเป็นคุกขังคนข้างใน แต่การต่อต้านให้ประเทศไม่มีรั้วเรากำลังทำร้ายตัวเอง”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,221 วันที่ 25 -28 ธันวาคม 2559
http://www.thansettakij.com/2016/12/27/121722
โชติช่วงชัชวาล! เร่งคลอดกฎหมาย ไล่ล่าภาษีออนไลน์
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีให้ครอบคลุมธุรกรรมการค้าและการเงินบนโลกออนไลน์ โดยคาดว่าจะเสนอร่างกฎหมายให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมติได้ในปี 2560 ก่อนนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาในลำดับต่อไป
ขณะนี้การร่างกฎหมายอยู่ในขั้นตอนปรับร่างเนื้อหา โดยได้เชิญผู้ที่มีส่วนได้เสียไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในระบบไอที ระบบการเงิน เพื่อให้การเขียนกฎหมายครอบคลุมและอยู่ภายใต้หลักการเดียว คือการจัดเก็บที่เป็นธรรมและสร้างความเท่าเทียม ทั้งบริษัทที่จัดตั้งในประเทศและจัดตั้งในต่างประเทศจะเน้นจัดเก็บภาษีจากธุรกิจออนไลน์ทุกรูปแบบ ทั้ง Apple Pay , อาลีเพย์ บิทคอยน์ รวมถึงกิจกรรมการค้าและโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียยอดนิยม อย่าง เฟซบุ๊ก และ กูเกิล
“ในอนาคตจะมีการค้ารูปแบบใหม่ๆเกิดขึ้น การเขียนกฎหมายจะต้องทำให้ครอบคลุม เพราะหากมีกิจกรรมการค้าก่อให้เกิดรายได้ขึ้นในประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามคุณก็มีหน้าที่เสียภาษีให้กับประเทศไทยเท่านั้น”นายสมประสงค์ กล่าว
ครอบคลุมจดทะเบียนใน-นอก
ในร่างกฎหมายฉบับนี้เบื้องต้นกรมสรรพากรแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มที่ทำธุรกิจออนไลน์และมีธุรกิจที่จดทะเบียนภายในประเทศ และกลุ่มที่ 2.กลุ่มธุรกิจออนไลน์แต่มีสถานประกอบการหรือจดทะเบียนจัดตั้งในต่างประเทศ
กรณีธุรกิจออนไลน์ในไทยแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ ร้านค้าปกติที่หันมาทำตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ ที่ขายสินค้าทางออนไลน์ ซึ่งกลุ่มนี้ไม่น่าห่วงเพราะอยู่ในฐานภาษีอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มที่ 2 คือรายย่อย ถือว่าเป็นกลุ่มที่อาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายไม่เสียภาษี ก็จะมีการแก้ไขกฎหมายให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการตรวจสอบ
ไล่เช็กรายย่อยแสนรายค้าออนไลน์
นายประสงค์ กล่าวว่า จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ปัจจุบันมีรายย่อยที่ค้าขายผ่านระบบออนไลน์นับแสนราย แต่ทุกรายไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากรายได้ยังไม่ถึงเกณฑ์กลุ่มนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างติดตามเพื่อทำกลุ่มข้อมูลสำหรับจัดเก็บภาษีโดยจะตั้งทีมติดตามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ และปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม
“การขายสินค้าออนไลน์ก็จะเสียภาษีในอัตราเดียวกับภาษี ถ้าเป็นบริษัทก็เสียนิติบุคคล บุคคลธรรมดาก็คิดตามเกณฑ์รายได้ แต่หากมีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปีแล้วก็จะต้องเข้าสู่ฐานระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม”
30 ประเทศมีกฎหมายแล้ว
นายประสงค์ กล่าวว่า กรณีธุรกิจออนไลน์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีต่ำ เกิดขึ้นในทุกประเทศ และประสบปัญหาเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์หรือเอเชีย ซึ่งไทยเองก็เจอปัญหาไม่ต่างกัน แต่ขณะนี้หลายปีประเทศได้ออกกฎหมายมาควบคุมแล้ว
“ขณะนี้มีประมาณ 30 ประเทศ ที่ออกกฎหมายมาดูแล ไทยเองก็ต้องออกกฎหมายควบคุม เพราะกฎหมายที่มีอยู่ใช้ไม่ได้ผล เป็นกฎหมายบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2490 กว่า สมัยนั้นยังไม่มี iCloud และยังไม่มีอินเตอร์เน็ตคนที่เขียนกฎหมายขณะนั้นยังนึกภาพไม่ออก แต่เมื่อมีอินเตอร์เน็ตเกิดขึ้นจำเป็นที่จะต้องปรับแก้กฎหมายให้มีความทันสมัย”
ทุกฝ่ายต้องร่วมมือ
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การร่างกฎหมายากรนี้ จำเป็นจะต้องมีหน่วย งานอื่นให้ความร่วมมือทั้งจากกรมสรรพากร กระทรวงดีอีและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้กฎหมายที่จะออกมามีความเป็นธรรม เท่าเทียม มองภาพอนาคตในสิ่งที่ยังไม่เกิด ช่วยผู้ที่ทำธุรกิจและเสียภาษีถูกต้องไม่เสียเปรียบคนที่มาใช้ช่องใหม่ ที่สำคัญต้องปิดช่องโหวที่อาจเกิดขึ้นในทุกช่องทาง ปิดทางไม่ให้เลี่ยงการตรวจสอบให้ครอบคลุมที่สุด
“Google Pay หรือแม้การจ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆเมื่อกฎหมายตรวจสอบได้ง่ายมากโดยดูจากเส้นทางการจ่ายว่ามาจากบัญชีธนาคารและโอนผ่านช่องทางไหนและต่อไปยังปลายทาง มวมถึงการคิดบนพื้นฐานหากโลกเปลี่ยนไป จากที่เน้นซื้อของผ่านห้างสรรพสินค้า เป็นไปได้หรือไม่ที่คนรุ่นใหม่จะเลือกเปรียบเทียบสินค้าในห้าง แต่กลับมาซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ตแทน ดังนั้นการตรวจสอบผ่านแอพพลิเคชั่นด้านการใช้จ่ายถือเป็นช่องทางที่สำคัญอย่างมาก”
นอกจากนี้ในอนาคตยังตรวจสอบได้ถึงกรณีที่มีการแอบอ้างชื่อบุคคลอื่น ที่นำมาเปิดเพื่อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เพราะในที่สุดเงินก็จะไปอยู่ในบัญชีเจ้าของเงินตัวจริง
นักวิชาการไอทีหนุนออกกฎหมาย
ด้านนักวิชาการด้านเทคโนโลยี่ให้ความเห็นว่า ภาษีเป็นประเด็นใหญ่ของโลกรวมทั้งประเทศไทย ประเด็นสำคัญคือไทยต้องการรั้วหรือกำแพงเพื่อปกป้องผลประโยชน์เพราะหากเมื่อไหร่ไม่มีกฎหมายหรือรั้วผู้บุกรุกทางสะดวกที่จะเข้ามา
ล่าสุดมีการนำสัญลักษณ์กระทรวงการคลังไปโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งทางการไม่สามารถจัดการหรือควบคุมได้ เพราะกฎหมายเอื้อมไม่ถึงหากมีกฎหมายจะสามารถบล็อกได้ ซึ่งปัจจุบันมีจีนประเทศเดียวที่เข้าใจ ทำให้สามารถบล็อกธุรกิจออนไลน์ข้ามชาติ และฐานภาษีไหลเวียนในประเทศจนตัวเองเติบโตดี
อย่างไรก็ตามโลกจะเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี่ที่ไร้พรมแดน ถ้าคนไทยยังไม่ตระหนัก วันหนึ่งปัจจัยทั้งหมดจะบีบเรา โดยการค้าการลงทุนและฐานภาษีหายไป แม้กระทั่งในยุโรป หลายประเทศรวมทั้งอินโดนีเซียที่ไล่ฟ้องบริษัทที่ไปทำธุรกิจออนไลน์
“ ผมมองกฎหมายเหมือนบ้านที่ต้องมีรั้ว ทางด้านเทคโนโลยี่ สำหรับป้องกันในคนบ้าน ซึ่งมีทั้งคนช่วยตัวเองไม่ได้และคนแก่ คนพิการ ดังนั้น ควรจะสร้างสรรค์ในการที่จะบอกว่ารั้วที่จะสร้างขึ้นนั้นควรสูงแค่ไหนเพื่อป้องกันผู้บุกรุก ซึ่งประชาชนต้องช่วยกันดูกลไกกฎหมายในการบังคับใช้เพื่อมิให้กลายเป็นคุกขังคนข้างใน แต่การต่อต้านให้ประเทศไม่มีรั้วเรากำลังทำร้ายตัวเอง”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,221 วันที่ 25 -28 ธันวาคม 2559
http://www.thansettakij.com/2016/12/27/121722