สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
สวัสดีค่ะ เราอยู่ม.6 เหมือนกันและได้ IELTS 7 แล้ว (ส่วนGATอังกฤษเราได้133นะ) เราไม่ได้เรียนEnglish program เรียนแบบไทยมาตั้งแต่เกิด เคยไปเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศแค่1เดือน และพ่อกับแม่เราฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง(เกี่ยวมั้ย5555)
ต้องบอกจขกท.ก่อนว่า IELTS กับ GAT มันต่างกันมาก GAtความยากเทียบIELTSไม่ติดเลย และIELTSจะวัดทักษะด้านต่างๆ ของภาษา ในข้อสอบจะมี4พาร์ท ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน เขียน ทุกพาร์ทจะมีคะแนนแยกกันแล้วนำมาคิดรวม นั่นแปลว่าถ้าจขกท.ไม่ถนัดทักษะอย่างใดอย่างหนึ่ง คะแนนก็จะถูกฉุดลง เราอยากเข้ามหาลัยอินเตอร์ซึ่งใช้ IELTS 6 เราจึงต้องสอบ เราสอบตอนม.5 ได้คะแนน6 แต่เราก็อยากได้มากกว่านั้น เลยใช้เวลา1ปีในการฝึก แล้วกลับไปสอบใหม่ตอนม.6ซึ่งได้7 ก็จะบอกจขกท.ว่าเราทำอะไรบ้างเผื่อจขกท.จะสามารถนำไปใช้ได้
1. เราลงเรียนพิเศษติวIELTSโดยเฉพาะที่สถาบันแห่งหนึ่ง ที่นี่ใช้หนังสือCambridgeสอน ซึ่งเราว่าก็ใช้ได้อยู่ หากจขกท.สนใจถามมาได้ เราลงเรียนเพียงไม่กี่คอร์สเพราะเราพอจะรู้แนวข้อสอบแล้ว และรู้ว่าแต่ละพาร์ทมีพาร์ทย่อยคืออะไร ให้เวลาเท่าไหร่ เขียนอะไรได้เขียนอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่เราว่าสำคัญกว่านั่นก็คือ การฝึกฝนเอง เราจึงเลิกเรียน
2. เราไปซื้อหนังสือที่Kinokuniya บางเล่มซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬา ของสำนักพิมพ์CambridgeกับBarron's มีรายชื่อหนังสือดังนี้
ของสำนักพิมพ์ Barron's
1. IELTS international English language testing system เล่มนี้เป็นหนังสือหลักในการเตรียมตัวสอบ มีข้อมูลของข้อสอบอย่างละเอียดและมีแบบฝึกหัดให้ฝึกทำฝึกฟังในskillsต่างๆ ที่เราควรมีติดตัวไปสอบ มีการเตรียมตัววันสอบด้วยแน่ะ อ้อ ระวังนะคะในเล่มนี้มีเนื้อหาIELTSทั้งแบบAcademicและGeneral training(หนึ่งในทักษะทั้ง4) จขกท.ไม่ต้องไปอ่านส่วนของGeneral trainingนะ5555 (การสอบIELTSมี2ประเภทค่ะ สำหรับไปเรียนต่อกับไปทำงาน 2ประเภทนี้จะต่างกันในบางพาร์ท) หนังสือเล่มนี้ดีค่ะ แนะนำ
2. Essentail words for the IELTS เล่มนี้ซื้อมาเพราะตอนม.5ที่เราไปสอบครั้งแรกเรารู้สึกว่ามีศัพท์ที่ไม่รู้อยู่พอสมควรจึงอยากได้หนังสือที่มีศัพท์ของIELTS เล่มนี้จะรวมศัพท์ที่พบบ่อยๆ ในการสอบ สำหรับเราเราไม่ได้ท่องแบบจริงจังสุดๆ เพราะเราไปเน้นที่ทักษะอื่นด้วย แต่ก็ท่องพวกศัพท์ที่น่าจะรู้แต่เราไม่รู้ไว้ เจอศัพท์ในเล่มนี้หลายคำในข้อสอบเหมือนกันนะคะ
ของสำนักพิมพ์ Cambridge
1. IELTS trainer เล่มนี้ดีมากๆ แนวเดียวกับBarron'sเล่มแรก มีแบบฝึกหัดให้ฝึกskillsต่างๆมากมาย มีแผ่นซีดีให้ฟังเช่นกัน ในเล่มนี้จะมีตัวอย่างข้อสอบให้6ชุด(แน่นอนว่าในแต่ละชุดก็มี4พาร์ท ฟังพูดอ่านเขียน) พอเราอ่านทุกสิ่งอย่างจบแล้ว เราก็เริ่มฝึกทำแบบทดสอบแบบจับเวลา ตรงนี้สำคัญมากนะคะ คนเราจะพัฒนาได้ต้องรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองก่อน จขกท.จะได้รู้ว่าควรปรับปรุงอะไร อะไรที่ทำไม่ได้เลย อะไรที่โอเคแล้ว
2. Pratice test for IELTS หากไปร้านขายหนังสือแนวนี้ จขกท.จะเจอหนังสือในชุดนี้ของCambridgeเยอะมากๆ เพราะมันมีหลายเล่ม แนะนำว่าให้ซื้อเล่มหลังๆ-เล่มล่าสุดเพราะมันอัพเดทใหม่ พวกเล่มแรกๆ มันอยู่ในยุคที่IELTSยังไม่ยากขนาดนี้ค่ะ5555 พวกพาร์ทการฟังก็เปิดเว็บของเค้าแล้วเลือกฟังพร้อมทำไปค่ะ หนังสือพวกนี้จะเป็นรวมข้อสอบโดยเฉพาะ เอาไว้ฝึกทำ เราก็ทำหมดเล่ม พวกข้อสอบต่างๆ เราแนะนำของCambridgeนะคะเพราะของCambridgeจะเป็นของอังกฤษ ส่วนBarronsจะเป็นของอเมริกา ส่วนการสอบจริงๆ จะเป็นของอังกฤษ เราก็เลยรู้สึกว่าของCambridgeมันจะ... ตรงกว่านิดนึง?55555 (แต่ในการสอบฟัง คนพูดจะมีทั้งสำเนียงอังกฤษ อเมริกา และออสเตรเลียน้า)
เราใช้แค่นี้แหละค่ะ
การอ่านของเรา-แบบละเอียดเลยนะ-เราเริ่มศึกษาลักษณะข้อสอบ พาร์ทอะไรมีกี่ข้อ ใช้เวลาเท่าไหร่ คิดว่าตรงไหนน่าจะทำไม่ทัน หลังจากนั้นก็เริ่มฝึกskillsต่างๆ ในแบบฝึกหัดของหนังสือ สำหรับเราเราไม่วางแผนนะวันไหนจะฝึกอะไร เพราะชอบเปิดไปเปิดมา อยากทำอันไหนก็ทำ แต่กำหนดไว้ว่า โอเคถ้าจะทำตรงนี้ ก็ทำถึงหน้านี้แล้วกัน พอฝึกหมดแล้ว ก็ถึงเวลาทำข้อสอบจริง *ข้อสอบมีค่านะคะ อย่าทำแล้วนั่งกินขนม ลุกไปอาบน้ำ อ่านแชท เล่นเฟส คุณซื้อมันมาเพื่อมาฝึก มันจะมีประโยชน์ที่สุดเมื่อคุณนั่งเงียบๆ จำลองการสอบ และจับเวลาค่ะ อย่าทำข้อสอบทิ้งๆ ขว้างๆ (หนังสือมันแพงนะ55555) *
3. หากจขกท.ตั้งใจจริงๆ ควรไปเรียนwritingสำหรับIELTSโดยเฉพาะเพิ่ม เพราะสำหรับเราและคนส่วนใหญ่ พาร์ทที่ยากที่สุดคือwritingนี่แหละ เพราะเราจะฝึกเอง ก็ไม่รู้ว่าเขียนถูกเขียนผิดอะไร แถมยังต้องเขียนให้กระชับในเวลาจำกัด มีศัพท์ที่ควรใช้ด้วย ดังนั้นหากจขกท.มุ่งมั่นจริงๆ ควรเริ่มเรียนตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ มันใช้เวลา เราก็เรียนwritingแยกเหมือนกัน อยากแนะนำที่เรียนให้จขกท.นะคะแต่ครูที่สอนเราเค้าไม่รับสอนแล้วอ่า อีกอย่างคือถ้าจขกท.พูดงึกๆงักๆละก็ ไปเรียนSpeakingเพิ่มด้วยเถอะค่ะ พาร์ทนั้นก็ยากเหมือนกัน มีการพูดแบบจับเวลาด้วยแน่ะ สำหรับการพูด สำเนียงไม่สำคัญเท่าการพูดให้รู้เรื่องค่ะ และถ้าคนสอบถามมาแล้วเราไม่รู้เรื่อง อย่าตอบอะไรไปส่งๆ นะคะ ขอให้เขาทวนคำถามให้ใหม่ค่ะ เราจะได้ไม่เสียคะแนน หรือถ้าถามอะไรไม่ชัดเจนแล้วเราสงสัยก็ถามได้ค่ะว่า คุณหมายถึงแบบนี้ๆใช่ไหม
4. หาเวลาท่องศัพท์ ศัพท์ในIELTSมักจะมีที่สำคัญๆ และเจอบ่อยๆ นั่นล่ะค่ะ คำไหนที่ยังไม่รู้ก็ท่องไป เราอ่านจากหนังสือ Essential Words นั่นแหละค่ะ
5. ในเวลาว่าง แน่นอนล่ะค่ะว่าเราคงไม่ได้อ่านและทำแบบฝึกหัดตลอดเวลา แต่ในเวลาพัก เรามีกิจกรรมที่ทำเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษไปได้ด้วย ถึงใครที่จะไม่ได้สอบIELTSแต่ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษได้เช่นกัน
-ฟังเพลงภาษาอังกฤษ หากจขกท.ชอบหนุ่มหล่อๆ555555 แนะนำ One direction, The vamps, 5 Seconds of summer, Shawn Mendes
คนสวยๆเพลงแซ่บๆ เช่น Taylor Swift, Ariana Grande, Selena Gomez, Little Mix, Fifth Harmony
เพลงที่ฟังง่ายๆ ต้องเป็นเพลงเก่าๆ ค่ะ เช่นเพลงของ The Carpenters, The Beetles
-ช่วงนั่งรถไปโรงเรียน เราจะฟังวิทยุในแอพของBBC(หาไม่เจอถามได้ค่ะ) สำเนียงของช่องนี้จะดีมาก เป็นแบบBritish และทำให้ได้รู้ศัพท์หลายคำ พร้อมทั้งรู้เหตุการณ์ปัจจุบันด้วย แรกๆ จขกท.น่าจะยังฟังไม่รู้เรื่องเพราะมันเร็วอยู่5555 แต่เราถือว่าเราได้ฟังเค้าพูดกันเป็นภาษาอังกฤษ มันคงจะซึมๆ ลงไปบ้าง5555
-ถ้าจขกท.ดูการ์ตูนละก็ ดูซับอังกฤษค่ะ เราดูการ์ตูนทั้งซีซั่นที่เป็นพากย์ญี่ปุ่น แบบมีซับอังกฤษ ในการ์ตูนหรือหนัง ซีรีย์ เค้าจะแสดงท่าทาง อารมณ์ออกมาเยอะ ทำให้พอจะรู้ได้ว่ากำลังพูดอะไร
-เล่นเกมภาษาอังกฤษ เปลี่ยนโหมดโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ เป็นไปได้ก็พูดภาษาอังกฤษ ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เป็นภาษาอังกฤษ
เท่านี้แหละค่ะที่เราทำ สำหรับเรา เราว่าพาร์ทlisteningเป็นพาร์ทที่boostคะแนนได้ง่ายที่สุด ตอนสอบครั้งแรกเราได้6.5 ส่วนครั้งที่สอง(หลังฝึก)ได้8แน่ะค่ะ อ้อ อีกอย่าง จขกท.ควรลงสอบจริงดูซักครั้งนะคะ มันแพงก็จริงแต่ว่าคุ้มอยู่ค่ะ ควรลงช่วงหลังจากที่ฝึกไปแล้วแรกๆ เพื่อให้รู้ว่าการสอบจริงมันเป็นยังไง ต้องเตรียมอะไร บรรยากาศเป็นยังไง แอร์หนาวไหม ฝรั่งที่สอบพูดด้วยใจดีแค่ไหน ฮ่าๆๆ ถึงเราจะนั่งจำลองการสอบอยู่ที่บ้านยังไงก็ไม่เหมือนสอบจริงเป๊ะๆ หรอกค่ะ และที่สำคัญคือเราจะได้รู้ว่า คะแนนเราพาร์ทไหนได้เท่าไหร่ เช่นถ้าจขกท.ได้4-5 ก็คงต้องลองคิดดูค่ะว่าจะถึง7ไหวไหม และเราจะได้รู้ตัวว่า เฮ้ย ฉันรู้สึกว่าทำอันนี้ได้นี่นา แต่ทำไมได้คะแนนน้อย หรือ พาร์ทนี้โอเคแล้วล่ะ ทวนหน่อยๆ ก็พอ เป็นต้น
เอาล่ะ เราก็บอกหมดแล้วแหละ การได้7มันยากนะคะ เราโชคดีที่มีพื้นฐานดี แต่สิ่งที่ทำให้เราทำได้ คือการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จขกท.ก็ลองดูซักตั้งก็ได้ค่ะ IELTSเนี่ยถ้าสอบผ่านแล้วยื่นได้หลายอย่างเลยนะคะ ทั้งในและต่างประเทศ เราขอเอาใจช่วยนะคะ มีอะไรอยากถามก็ถามได้ค่ะ
ต้องบอกจขกท.ก่อนว่า IELTS กับ GAT มันต่างกันมาก GAtความยากเทียบIELTSไม่ติดเลย และIELTSจะวัดทักษะด้านต่างๆ ของภาษา ในข้อสอบจะมี4พาร์ท ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน เขียน ทุกพาร์ทจะมีคะแนนแยกกันแล้วนำมาคิดรวม นั่นแปลว่าถ้าจขกท.ไม่ถนัดทักษะอย่างใดอย่างหนึ่ง คะแนนก็จะถูกฉุดลง เราอยากเข้ามหาลัยอินเตอร์ซึ่งใช้ IELTS 6 เราจึงต้องสอบ เราสอบตอนม.5 ได้คะแนน6 แต่เราก็อยากได้มากกว่านั้น เลยใช้เวลา1ปีในการฝึก แล้วกลับไปสอบใหม่ตอนม.6ซึ่งได้7 ก็จะบอกจขกท.ว่าเราทำอะไรบ้างเผื่อจขกท.จะสามารถนำไปใช้ได้
1. เราลงเรียนพิเศษติวIELTSโดยเฉพาะที่สถาบันแห่งหนึ่ง ที่นี่ใช้หนังสือCambridgeสอน ซึ่งเราว่าก็ใช้ได้อยู่ หากจขกท.สนใจถามมาได้ เราลงเรียนเพียงไม่กี่คอร์สเพราะเราพอจะรู้แนวข้อสอบแล้ว และรู้ว่าแต่ละพาร์ทมีพาร์ทย่อยคืออะไร ให้เวลาเท่าไหร่ เขียนอะไรได้เขียนอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่เราว่าสำคัญกว่านั่นก็คือ การฝึกฝนเอง เราจึงเลิกเรียน
2. เราไปซื้อหนังสือที่Kinokuniya บางเล่มซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬา ของสำนักพิมพ์CambridgeกับBarron's มีรายชื่อหนังสือดังนี้
ของสำนักพิมพ์ Barron's
1. IELTS international English language testing system เล่มนี้เป็นหนังสือหลักในการเตรียมตัวสอบ มีข้อมูลของข้อสอบอย่างละเอียดและมีแบบฝึกหัดให้ฝึกทำฝึกฟังในskillsต่างๆ ที่เราควรมีติดตัวไปสอบ มีการเตรียมตัววันสอบด้วยแน่ะ อ้อ ระวังนะคะในเล่มนี้มีเนื้อหาIELTSทั้งแบบAcademicและGeneral training(หนึ่งในทักษะทั้ง4) จขกท.ไม่ต้องไปอ่านส่วนของGeneral trainingนะ5555 (การสอบIELTSมี2ประเภทค่ะ สำหรับไปเรียนต่อกับไปทำงาน 2ประเภทนี้จะต่างกันในบางพาร์ท) หนังสือเล่มนี้ดีค่ะ แนะนำ
2. Essentail words for the IELTS เล่มนี้ซื้อมาเพราะตอนม.5ที่เราไปสอบครั้งแรกเรารู้สึกว่ามีศัพท์ที่ไม่รู้อยู่พอสมควรจึงอยากได้หนังสือที่มีศัพท์ของIELTS เล่มนี้จะรวมศัพท์ที่พบบ่อยๆ ในการสอบ สำหรับเราเราไม่ได้ท่องแบบจริงจังสุดๆ เพราะเราไปเน้นที่ทักษะอื่นด้วย แต่ก็ท่องพวกศัพท์ที่น่าจะรู้แต่เราไม่รู้ไว้ เจอศัพท์ในเล่มนี้หลายคำในข้อสอบเหมือนกันนะคะ
ของสำนักพิมพ์ Cambridge
1. IELTS trainer เล่มนี้ดีมากๆ แนวเดียวกับBarron'sเล่มแรก มีแบบฝึกหัดให้ฝึกskillsต่างๆมากมาย มีแผ่นซีดีให้ฟังเช่นกัน ในเล่มนี้จะมีตัวอย่างข้อสอบให้6ชุด(แน่นอนว่าในแต่ละชุดก็มี4พาร์ท ฟังพูดอ่านเขียน) พอเราอ่านทุกสิ่งอย่างจบแล้ว เราก็เริ่มฝึกทำแบบทดสอบแบบจับเวลา ตรงนี้สำคัญมากนะคะ คนเราจะพัฒนาได้ต้องรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองก่อน จขกท.จะได้รู้ว่าควรปรับปรุงอะไร อะไรที่ทำไม่ได้เลย อะไรที่โอเคแล้ว
2. Pratice test for IELTS หากไปร้านขายหนังสือแนวนี้ จขกท.จะเจอหนังสือในชุดนี้ของCambridgeเยอะมากๆ เพราะมันมีหลายเล่ม แนะนำว่าให้ซื้อเล่มหลังๆ-เล่มล่าสุดเพราะมันอัพเดทใหม่ พวกเล่มแรกๆ มันอยู่ในยุคที่IELTSยังไม่ยากขนาดนี้ค่ะ5555 พวกพาร์ทการฟังก็เปิดเว็บของเค้าแล้วเลือกฟังพร้อมทำไปค่ะ หนังสือพวกนี้จะเป็นรวมข้อสอบโดยเฉพาะ เอาไว้ฝึกทำ เราก็ทำหมดเล่ม พวกข้อสอบต่างๆ เราแนะนำของCambridgeนะคะเพราะของCambridgeจะเป็นของอังกฤษ ส่วนBarronsจะเป็นของอเมริกา ส่วนการสอบจริงๆ จะเป็นของอังกฤษ เราก็เลยรู้สึกว่าของCambridgeมันจะ... ตรงกว่านิดนึง?55555 (แต่ในการสอบฟัง คนพูดจะมีทั้งสำเนียงอังกฤษ อเมริกา และออสเตรเลียน้า)
เราใช้แค่นี้แหละค่ะ
การอ่านของเรา-แบบละเอียดเลยนะ-เราเริ่มศึกษาลักษณะข้อสอบ พาร์ทอะไรมีกี่ข้อ ใช้เวลาเท่าไหร่ คิดว่าตรงไหนน่าจะทำไม่ทัน หลังจากนั้นก็เริ่มฝึกskillsต่างๆ ในแบบฝึกหัดของหนังสือ สำหรับเราเราไม่วางแผนนะวันไหนจะฝึกอะไร เพราะชอบเปิดไปเปิดมา อยากทำอันไหนก็ทำ แต่กำหนดไว้ว่า โอเคถ้าจะทำตรงนี้ ก็ทำถึงหน้านี้แล้วกัน พอฝึกหมดแล้ว ก็ถึงเวลาทำข้อสอบจริง *ข้อสอบมีค่านะคะ อย่าทำแล้วนั่งกินขนม ลุกไปอาบน้ำ อ่านแชท เล่นเฟส คุณซื้อมันมาเพื่อมาฝึก มันจะมีประโยชน์ที่สุดเมื่อคุณนั่งเงียบๆ จำลองการสอบ และจับเวลาค่ะ อย่าทำข้อสอบทิ้งๆ ขว้างๆ (หนังสือมันแพงนะ55555) *
3. หากจขกท.ตั้งใจจริงๆ ควรไปเรียนwritingสำหรับIELTSโดยเฉพาะเพิ่ม เพราะสำหรับเราและคนส่วนใหญ่ พาร์ทที่ยากที่สุดคือwritingนี่แหละ เพราะเราจะฝึกเอง ก็ไม่รู้ว่าเขียนถูกเขียนผิดอะไร แถมยังต้องเขียนให้กระชับในเวลาจำกัด มีศัพท์ที่ควรใช้ด้วย ดังนั้นหากจขกท.มุ่งมั่นจริงๆ ควรเริ่มเรียนตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ มันใช้เวลา เราก็เรียนwritingแยกเหมือนกัน อยากแนะนำที่เรียนให้จขกท.นะคะแต่ครูที่สอนเราเค้าไม่รับสอนแล้วอ่า อีกอย่างคือถ้าจขกท.พูดงึกๆงักๆละก็ ไปเรียนSpeakingเพิ่มด้วยเถอะค่ะ พาร์ทนั้นก็ยากเหมือนกัน มีการพูดแบบจับเวลาด้วยแน่ะ สำหรับการพูด สำเนียงไม่สำคัญเท่าการพูดให้รู้เรื่องค่ะ และถ้าคนสอบถามมาแล้วเราไม่รู้เรื่อง อย่าตอบอะไรไปส่งๆ นะคะ ขอให้เขาทวนคำถามให้ใหม่ค่ะ เราจะได้ไม่เสียคะแนน หรือถ้าถามอะไรไม่ชัดเจนแล้วเราสงสัยก็ถามได้ค่ะว่า คุณหมายถึงแบบนี้ๆใช่ไหม
4. หาเวลาท่องศัพท์ ศัพท์ในIELTSมักจะมีที่สำคัญๆ และเจอบ่อยๆ นั่นล่ะค่ะ คำไหนที่ยังไม่รู้ก็ท่องไป เราอ่านจากหนังสือ Essential Words นั่นแหละค่ะ
5. ในเวลาว่าง แน่นอนล่ะค่ะว่าเราคงไม่ได้อ่านและทำแบบฝึกหัดตลอดเวลา แต่ในเวลาพัก เรามีกิจกรรมที่ทำเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษไปได้ด้วย ถึงใครที่จะไม่ได้สอบIELTSแต่ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษได้เช่นกัน
-ฟังเพลงภาษาอังกฤษ หากจขกท.ชอบหนุ่มหล่อๆ555555 แนะนำ One direction, The vamps, 5 Seconds of summer, Shawn Mendes
คนสวยๆเพลงแซ่บๆ เช่น Taylor Swift, Ariana Grande, Selena Gomez, Little Mix, Fifth Harmony
เพลงที่ฟังง่ายๆ ต้องเป็นเพลงเก่าๆ ค่ะ เช่นเพลงของ The Carpenters, The Beetles
-ช่วงนั่งรถไปโรงเรียน เราจะฟังวิทยุในแอพของBBC(หาไม่เจอถามได้ค่ะ) สำเนียงของช่องนี้จะดีมาก เป็นแบบBritish และทำให้ได้รู้ศัพท์หลายคำ พร้อมทั้งรู้เหตุการณ์ปัจจุบันด้วย แรกๆ จขกท.น่าจะยังฟังไม่รู้เรื่องเพราะมันเร็วอยู่5555 แต่เราถือว่าเราได้ฟังเค้าพูดกันเป็นภาษาอังกฤษ มันคงจะซึมๆ ลงไปบ้าง5555
-ถ้าจขกท.ดูการ์ตูนละก็ ดูซับอังกฤษค่ะ เราดูการ์ตูนทั้งซีซั่นที่เป็นพากย์ญี่ปุ่น แบบมีซับอังกฤษ ในการ์ตูนหรือหนัง ซีรีย์ เค้าจะแสดงท่าทาง อารมณ์ออกมาเยอะ ทำให้พอจะรู้ได้ว่ากำลังพูดอะไร
-เล่นเกมภาษาอังกฤษ เปลี่ยนโหมดโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ เป็นไปได้ก็พูดภาษาอังกฤษ ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เป็นภาษาอังกฤษ
เท่านี้แหละค่ะที่เราทำ สำหรับเรา เราว่าพาร์ทlisteningเป็นพาร์ทที่boostคะแนนได้ง่ายที่สุด ตอนสอบครั้งแรกเราได้6.5 ส่วนครั้งที่สอง(หลังฝึก)ได้8แน่ะค่ะ อ้อ อีกอย่าง จขกท.ควรลงสอบจริงดูซักครั้งนะคะ มันแพงก็จริงแต่ว่าคุ้มอยู่ค่ะ ควรลงช่วงหลังจากที่ฝึกไปแล้วแรกๆ เพื่อให้รู้ว่าการสอบจริงมันเป็นยังไง ต้องเตรียมอะไร บรรยากาศเป็นยังไง แอร์หนาวไหม ฝรั่งที่สอบพูดด้วยใจดีแค่ไหน ฮ่าๆๆ ถึงเราจะนั่งจำลองการสอบอยู่ที่บ้านยังไงก็ไม่เหมือนสอบจริงเป๊ะๆ หรอกค่ะ และที่สำคัญคือเราจะได้รู้ว่า คะแนนเราพาร์ทไหนได้เท่าไหร่ เช่นถ้าจขกท.ได้4-5 ก็คงต้องลองคิดดูค่ะว่าจะถึง7ไหวไหม และเราจะได้รู้ตัวว่า เฮ้ย ฉันรู้สึกว่าทำอันนี้ได้นี่นา แต่ทำไมได้คะแนนน้อย หรือ พาร์ทนี้โอเคแล้วล่ะ ทวนหน่อยๆ ก็พอ เป็นต้น
เอาล่ะ เราก็บอกหมดแล้วแหละ การได้7มันยากนะคะ เราโชคดีที่มีพื้นฐานดี แต่สิ่งที่ทำให้เราทำได้ คือการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จขกท.ก็ลองดูซักตั้งก็ได้ค่ะ IELTSเนี่ยถ้าสอบผ่านแล้วยื่นได้หลายอย่างเลยนะคะ ทั้งในและต่างประเทศ เราขอเอาใจช่วยนะคะ มีอะไรอยากถามก็ถามได้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ขอ How to เตรียมตัวสอบให้ได้ ielts 7+ ใน 1ปี โดยพฐ.ไม่ดี ไม่ได้อยูตปท. ไม่ได้เรียน english program หน่อยค่ะ
พอศึกษาข้อมูลดู เค้ากำหนดว่าต้องได้ ielts ขั้นต่ำ 7 ค่ะ( และศึกษาดูแล้วถ้าอยากเรียนต่อที่อังกฤษโดยใช้วุฒิ ม.6 ของไทยไปสมัคร จะต้องไปเรียน International foundation ก่อน 1 ปี หรือเรียน A-Level 2 ปี) แต่ตอนนี้พฐ.ของหนูไม่ดีเลย (สอบ gat eng ได้ 70 กว่าๆ IELTS ยังไม่เคยสอบค่ะ พฐ.หนูตอนนี้ฟังพอได้แต่ส่วนใหญ่ฟังไม่ค่อยทัน พูดพอได้แต่ต้องให้เวลานึกค่ะ อ่านพวกข่าวภาษาอังกฤษก็อ่านรู้เรื่องค่ะในข่าวทั่วๆไป ส่วนเขียนจะเขียนได้ในปย.ง่ายๆค่ะ) และหนูไม่เคยไปแลกเรียน ไม่ได้เรียน english program
คำถามคือ
1.หนูจะสามารถพัฒนาให้ได้ ielts 7+ ภายใน 1 ปีได้ไหมคะ ถ้าได้ควรเริ่มจากตรงไหนคะและมีวิธีเตรียมตัวยังไงคะ
ถ้าไม่ได้จะใช้เวลาเป็นปีครึ่งหรือ 2 ปี จะเป็ยไปได้ไหมคะ
2.คนที่ได้ทุนกันส่วนใหญ่เค้าได้ ielts เท่าไหร่คะ
3.ตอนเรียน International foundation ก่อน 1 ปี หรือเรียน A-Level 2 ปี มีที่ไหนมีทุนให้ไหมคะ
(หนูลองหาแล้วแต่ไม่เจอเลยคะ)
ขอบคุณมากๆค่ะ