คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
เพราะการเกิดความรัก และการแต่งงาน การตัดสินใจอยู่ร่วมกัน ของคนส่วนใหญ่นั้น เกิดจากความพอใจกันจากลักษณะภายนอก
พอว่า พอใจในคุณสมบัติลักษณะภายนอกของกันและกันแล้ว ก็จะไม่มองถึงข้อบกพร่องของอีกฝ่ายเลย พอความเสน่หาเริ่มเจือจางนั่นล่ะ ถึงจะเริ่มเห็น แต่แต่งงานอยู่กินกันเป็นที่รับรู้ในหมู่สังคมไปแล้ว ทีนี่ก็มาติดว่า สังคมจะคิดยังไงถ้าจะเลิก ไม่อยากมีประวัติว่าแต่งงานหม้อข้าวไม่ทันดำก็เลิก ยิ่งจัดงานแต่งใหญ่โตก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้า เพราะก็ยังหวังอยากจะมีครอบครัวอยู่อีก กลายเป็นปัญหาที่คิดไม่ตก
ถ้าจะคิดพิจารณาให้ดี ปัญหามันเกิดจากกิเลสในใจตน จากความยึดติดสถานภาพภายนอกทั้งนั้น
ฉันตัดใจแต่งงานครั้งแรกตอนอายุ 27 บอกตรงๆ เลยว่าไม่ใช่เพราะความรักในตัวผู้ชายที่จะแต่งงานด้วย แต่เพราะอยากมีครอบครัวที่เป็นปรกติ เช่นผู้คนอื่นๆ (นี่ก็คือความยึดติด) แต่หลังแต่งงานไม่นาน ก็เริ่มเห็นว่า สถานะครอบครัวที่เคยวาดฝันนั้น มันไม่ใช่ ก็ถามตัวเองว่า แล้วเราจะคงสถานะความเป็นครอบครัวอย่างนี้ไว้เพื่ออะไร
แล้วฉันก็ตัดสินใจเลิกโดยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น ในเมื่อต่างคนต่างก็ว่ากันไม่ดี (มีคนมาบอก ว่าอดีตสามีเอาฉันไปเล่าในหมู่พวกถึงความไม่ดีของฉัน หลายครั้ง) ฉันไม่แคร์ ที่จะต้องตกอยู่ในสถานะ แม่ร้างลูกติด เพราะฉันไม่คิดที่จะแต่งงานเป็นครอบครัวใหม่อีก
ช่วงปีแรกๆ ที่ฉันตัดสินใจเลิก อดีตสามียังตามงอนง้อ ขอคืนดี อ้างเพื่อลูก อ้างว่าญาติผู้ใหญ่แนะนำ แต่ฉันไม่สน เหตุผลที่สำคัญ คือ คนไม่รักกัน อยู่กันไปก็ไม่มีความสุข รังแต่จะมีปัญหาไม่หยุดหย่อน
10 ปีต่อมา ได้พบกับสามีคนปัจจุบัน ขอแต่งงาน ฉันบอกเขาทันทีว่า ฉันจะไม่แต่งงานกับคนที่ยังไม่ได้รักฉัน ที่ตัวตนของฉัน ซึ่งตอนนี้แต่งงานมา เกือบ 8 ปี และสามีก็เพิ่งตัดสินใจซื้อบ้าน นั่นหมายความว่า สามีฉันมั่นใจแล้วว่าฉันดีพอถึงซื้อบ้านเพื่อจะอยู่ร่วมชีวิตกันถึงบั้นปลาย
ปัญหาระหว่างผัวเมีย มีเรื่องขัดข้อง ต้องเปิดใจเปิดปากพูดบอกกัน ถ้าคุยแล้วแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรตามที่ต้องการไม่ได้ ก็เลิก เอาไปเล่าให้คนอื่นฟังเพื่ออะไร
พอว่า พอใจในคุณสมบัติลักษณะภายนอกของกันและกันแล้ว ก็จะไม่มองถึงข้อบกพร่องของอีกฝ่ายเลย พอความเสน่หาเริ่มเจือจางนั่นล่ะ ถึงจะเริ่มเห็น แต่แต่งงานอยู่กินกันเป็นที่รับรู้ในหมู่สังคมไปแล้ว ทีนี่ก็มาติดว่า สังคมจะคิดยังไงถ้าจะเลิก ไม่อยากมีประวัติว่าแต่งงานหม้อข้าวไม่ทันดำก็เลิก ยิ่งจัดงานแต่งใหญ่โตก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้า เพราะก็ยังหวังอยากจะมีครอบครัวอยู่อีก กลายเป็นปัญหาที่คิดไม่ตก
ถ้าจะคิดพิจารณาให้ดี ปัญหามันเกิดจากกิเลสในใจตน จากความยึดติดสถานภาพภายนอกทั้งนั้น
ฉันตัดใจแต่งงานครั้งแรกตอนอายุ 27 บอกตรงๆ เลยว่าไม่ใช่เพราะความรักในตัวผู้ชายที่จะแต่งงานด้วย แต่เพราะอยากมีครอบครัวที่เป็นปรกติ เช่นผู้คนอื่นๆ (นี่ก็คือความยึดติด) แต่หลังแต่งงานไม่นาน ก็เริ่มเห็นว่า สถานะครอบครัวที่เคยวาดฝันนั้น มันไม่ใช่ ก็ถามตัวเองว่า แล้วเราจะคงสถานะความเป็นครอบครัวอย่างนี้ไว้เพื่ออะไร
แล้วฉันก็ตัดสินใจเลิกโดยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น ในเมื่อต่างคนต่างก็ว่ากันไม่ดี (มีคนมาบอก ว่าอดีตสามีเอาฉันไปเล่าในหมู่พวกถึงความไม่ดีของฉัน หลายครั้ง) ฉันไม่แคร์ ที่จะต้องตกอยู่ในสถานะ แม่ร้างลูกติด เพราะฉันไม่คิดที่จะแต่งงานเป็นครอบครัวใหม่อีก
ช่วงปีแรกๆ ที่ฉันตัดสินใจเลิก อดีตสามียังตามงอนง้อ ขอคืนดี อ้างเพื่อลูก อ้างว่าญาติผู้ใหญ่แนะนำ แต่ฉันไม่สน เหตุผลที่สำคัญ คือ คนไม่รักกัน อยู่กันไปก็ไม่มีความสุข รังแต่จะมีปัญหาไม่หยุดหย่อน
10 ปีต่อมา ได้พบกับสามีคนปัจจุบัน ขอแต่งงาน ฉันบอกเขาทันทีว่า ฉันจะไม่แต่งงานกับคนที่ยังไม่ได้รักฉัน ที่ตัวตนของฉัน ซึ่งตอนนี้แต่งงานมา เกือบ 8 ปี และสามีก็เพิ่งตัดสินใจซื้อบ้าน นั่นหมายความว่า สามีฉันมั่นใจแล้วว่าฉันดีพอถึงซื้อบ้านเพื่อจะอยู่ร่วมชีวิตกันถึงบั้นปลาย
ปัญหาระหว่างผัวเมีย มีเรื่องขัดข้อง ต้องเปิดใจเปิดปากพูดบอกกัน ถ้าคุยแล้วแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรตามที่ต้องการไม่ได้ ก็เลิก เอาไปเล่าให้คนอื่นฟังเพื่ออะไร
ความคิดเห็นที่ 17
คิดว่าคุณวางตัวเองในความสัมพันธ์...ผิดที่...
เช่น จะซื้อบ้าน ทั้งๆที่ตัวเองไม่อยากซื้อ แต่ไม่คุยกันให้เคลียร์ว่า เรื่องเงินจะจัดการยังไง กลับให้แฟนตัดสินใจแล้วตัวเองก็ทำตามซะง่ายๆ
เรื่องแฟนจะออกจากงาน...อันนี้เรื่องใหญ่อ่ะ แต่ทำไมปล่อยให้แฟนตัดสินใจได้ง่ายๆอย่างนั้น ไม่มีการคุยกันเลยเหรอว่า ผลเสีย ผลดีคืออะไร
ให้แฟนจัดการเรื่องการเงิน อันนี้อาจจะเพราะไม่รู้จักกันดีมากพอ อะไรที่ทำให้คุณคิดว่า ควรให้แฟนจัดการอ่ะคะ
บางบ้าน สามีให้ภรรยาจัดการหมด บางบ้าน กระเป๋าใครกระเป๋ามัน บางบ้าน ภรรยาจัดการอะไรไม่ได้
มันต้องคนสองคนดูว่าวิธีไหนจะดีที่สุด
คุณอาจต้องเปลี่ยนวิธีรับมือกับภรรยาคนนี้ใหม่ค่ะ
ส่วนตัวเพิ่งแต่งงานได้ไม่นานค่ะ สามีคิดอะไร อยากทำอะไร เราก็ให้เค้าทำเพราะเห็นว่าผู้ชายคงต้องการเป็นผู้นำครอบครัว เราเป็นผู้สนับสนุน
แต่เจอหลายๆเหตุการณ์เข้า...ชัก..ไม่ได้เรื่องละค่ะ เพราะเค้าคิดไม่ถ้วนทั่ว ข้อดีข้อเสียไม่ครอบคลุม ตอนนี้เลยต้องวางตัวเองในความสัมพันธ์ใหม่ และบอกสามีด้วยค่ะว่า ต่อไป เวลามีไอเดียอะไร แล้วเราแย้ง ให้ฟังเรา... เพราะแย้งอะไรไปที่ผ่านมา พบว่าเป็นจริงหมดเลย
ก็เลยต้องทำตัวเองให้เป็นผู้นำครอบครัว แบบแฝงๆ เป็นผู้ตาม...งงมั้ยคะ...
คือ...ทำให้เค้ารู้สึกเหมือนเค้าคิด และตัดสินใจ แต่จริงๆ เราคอยตบๆๆ เอาเข้ากรอบตลอดเวลา จนเค้าคิดได้เอง และคิดว่าตัวเองคิดเองได้
เช่น จะซื้อบ้าน ทั้งๆที่ตัวเองไม่อยากซื้อ แต่ไม่คุยกันให้เคลียร์ว่า เรื่องเงินจะจัดการยังไง กลับให้แฟนตัดสินใจแล้วตัวเองก็ทำตามซะง่ายๆ
เรื่องแฟนจะออกจากงาน...อันนี้เรื่องใหญ่อ่ะ แต่ทำไมปล่อยให้แฟนตัดสินใจได้ง่ายๆอย่างนั้น ไม่มีการคุยกันเลยเหรอว่า ผลเสีย ผลดีคืออะไร
ให้แฟนจัดการเรื่องการเงิน อันนี้อาจจะเพราะไม่รู้จักกันดีมากพอ อะไรที่ทำให้คุณคิดว่า ควรให้แฟนจัดการอ่ะคะ
บางบ้าน สามีให้ภรรยาจัดการหมด บางบ้าน กระเป๋าใครกระเป๋ามัน บางบ้าน ภรรยาจัดการอะไรไม่ได้
มันต้องคนสองคนดูว่าวิธีไหนจะดีที่สุด
คุณอาจต้องเปลี่ยนวิธีรับมือกับภรรยาคนนี้ใหม่ค่ะ
ส่วนตัวเพิ่งแต่งงานได้ไม่นานค่ะ สามีคิดอะไร อยากทำอะไร เราก็ให้เค้าทำเพราะเห็นว่าผู้ชายคงต้องการเป็นผู้นำครอบครัว เราเป็นผู้สนับสนุน
แต่เจอหลายๆเหตุการณ์เข้า...ชัก..ไม่ได้เรื่องละค่ะ เพราะเค้าคิดไม่ถ้วนทั่ว ข้อดีข้อเสียไม่ครอบคลุม ตอนนี้เลยต้องวางตัวเองในความสัมพันธ์ใหม่ และบอกสามีด้วยค่ะว่า ต่อไป เวลามีไอเดียอะไร แล้วเราแย้ง ให้ฟังเรา... เพราะแย้งอะไรไปที่ผ่านมา พบว่าเป็นจริงหมดเลย
ก็เลยต้องทำตัวเองให้เป็นผู้นำครอบครัว แบบแฝงๆ เป็นผู้ตาม...งงมั้ยคะ...
คือ...ทำให้เค้ารู้สึกเหมือนเค้าคิด และตัดสินใจ แต่จริงๆ เราคอยตบๆๆ เอาเข้ากรอบตลอดเวลา จนเค้าคิดได้เอง และคิดว่าตัวเองคิดเองได้
แสดงความคิดเห็น
แต่งงานแล้วชีวิตแย่ลง