ระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์กับความน่าเชื่อถือตอนนี้ก็โดนคุมคามแทบจะทุกๆวัน มีรายงานใหม่ๆเกี่ยวกับแฮกเกอร์หน้าใหม่ที่พยายามเจาะข้อมูลความเป็นส่วนตัวหรือข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนสูง เมื่อไม่นานมานี้กว่า 500 ล้านพาสเวิร์ดถูกขโมยไปเมื่อ Yahoo ได้เปิดเผยว่า ระบบความปลอดภัยมีความเสี่ยงสูง
ระบบความปลอดภัยต่างๆที่ได้มีการตั้งรหัสค่าความปลอดภัยเอาไว้ก็สามารถเจาะเข้าถึงได้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีทักษะสูงที่ชอบเจาะฐานข้อมูลผู้ใช้ Facebook ยิ่งเป็นระบบที่มีความซับซ้อนหรือมีการปรับเปลี่ยนมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ระบบฐานข้อมูลของผู้ใช้มีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
การพิมพ์ลายนิ้วมือกับการสแกนม่านตาก็เป็นวิธีการที่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากสอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีการใช้ในการรับรองระบบความปลอดภัย แต่ลายนิ้วมือสามารถถูกขโมยและการสแกนม่านตาสามารถคัดลอกได้ ไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดยั้งเหล่านักแฮกเกอร์ได้
“การวิเคราะห์โต้แย้งเรื่องพฤติกรรมนั้น ก็จะต้องมีการรับรองไบโอเมตริกซ์ให้เป็นรูปแบบมาตรฐาน เหมือนกับการรับรองพาสเวิร์ดที่คุณจะเจาะเข้าใช้บริการ” กล่าวโดย Abdul Serwadda ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในแผนกวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเท็กซัส
“ตอนนี้ทันทีที่คุณได้เข้าถึงการให้บริการ ก็ไม่มีใครที่จะรู้ดีมากไปกว่าตัวคุณเอง ระบบการทำงานไม่มีใครที่จะมองเห็นได้ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นจึงมีพื้นที่ในการรองรับพฤติกรรมในการสอดแนมดูผู้ใช้บริการคนอื่น ซึ่งระบบสามารถระบุได้ว่าผู้ใช้คนนั้นเป็นใครมาจากไหน ตลอดจนถึงโครงสร้างต่างๆนั้น ระบบสามารถทำการติดตามคนที่มีความเป็นไปได้ว่ากำลังใช้งานอยู่และสามารถเด้งออกจากระบบเพื่อเข้ารหัสผ่านใหม่เมื่อไรก็ตามที่ความลับถูกรั่วไหลออกมา”
อย่างไรก็ตามคลื่นสมองก็สามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็นเขาหรือเธอ คลื่นสมองจะเผยให้เห็นถึงสุขภาพ พฤติกรรมหรือปัญหาทางด้านอารมณ์ของแต่ละคน หากว่าคลื่นสมองแสดงให้เห็นถึงสิ่งแย่ๆหรือก่อให้เกิดความเสียหายของแต่ละคน ระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองก็สามารถจัดการกับเรื่องแบบนี้ได้ ทั้งมีความแม่นยำและสามารถพกพาได้ และเป็นแอปที่มีการออกแบบสำหรับผู้คนที่ต้องการสแกนค่าการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองซึ่งมีความเป็นไปได้มากกว่าเป็นระบบที่ไม่มีความปลอดภัย
“การบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองกลายเป็นสินค้าแอปชนิดหนึ่ง ซื้อด้วยเงิน $ 100 โดยคุณสามารถซื้อบริการการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองให้เหมาะกับหูฟังของคุณได้” Serwadda กล่าว “ตอนนี้มีแอปหลายชนิดที่อยู่บนตลาด ทั้งแอปวิเคราะห์สมองซึ่งคุณสามารถซื้ออุปกรณ์ติดตั้งแล้วทำการดาวน์โหลดบนมือถือของคุณและก็เริ่มดูปฎิกิริยาอาการทางด้านสมองของคุณผ่านทางแอป ทำให้พวกเรารู้ว่า ตอนนี้อาการทางสมองนั้นคนที่สามารถเจาะเข้าถึงได้ก็มีเพียงแค่หมอเท่านั้นที่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ ตอนนี้ทุกๆคนที่เขียนแอปขึ้นมาก็เพื่อออกแบบให้กับผู้ใช้ทั่วไปและพยายามที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการวินิจฉัยอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ทางด้าน Serwadda กับนักศึกษาบันฑิตอย่าง Richard Matovu ก็ได้โฟกัสกับเรื่องพวกนี้ : โดยพยายามทำความเข้าใจว่า หากอุปนิสัยเหล่านี้สามารถพบได้จากคลื่นสมองของแต่ละคน พวกเขาก็จะนำไปเสนอกับทางด้าน IEEE
คลื่นสมองกับความปลอดภัยทางไซเบอร์
Serwadda กล่าวว่า เทคโนโลยีค่อยๆมีการมีการพัฒนาเพื่อให้สามารถอ่านคลื่นสมองของแต่ละคนได้ แต่มีการวิจัยอย่างมากในหลายองค์กรด้วยกัน โดยทางด้าน NSF ก็ได้ลงทุนทำโครงการวิจัยนี้ 3 ปี ซึ่งทางด้าน Serwadda กับคณะจากมหาวิทยาลัย Syracuse กับอลาบาม่า-เบอมิงแฮมก็ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมผู้คนหลายอย่าง ซึ่งก็รวมไปถึงรูปแบบ การบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมอง ที่มีอิทธิพลต่อการทำความเข้าใจระบบกลไกของผู้ใช้งานมากขึ้น
“ตอนนี้ยังไม่มีเครื่องมือติดตั้ง แต่มีงานวิจัยจำนวนมากที่เข้าใจว่าการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองสามารถใช้งานร่วมกับกระบวนการรับรองพฤติกรรมได้ตามมาตรฐาน” Serwadda กล่าว
คาดว่าระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองที่ใช้ในการบำบัดนั้น ตัวอย่างของระบบก็มีความปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมเพื่อวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ ก็มีความเป็นได้ว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนส่วนต่างๆดังนี้คือ
• รูปแบบลักษณะการใช้งานให้เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคน
• ความถี่สัญญาณในรูปแบบลักษณะต่างๆที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน
• บริเวณสมองที่ขั้วไฟฟ้ามีการไหลเวียนที่ไม่แน่นอน
ภายใต้ข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับรายละเอียดของระบบนี้ ทางด้าน Serwadda กับคณะของเขาก็ได้รับมือกับปัญหาต่างๆก็คือ หากมีการมุ่งร้ายในการเจาะเข้าระบบส่วนนี้ เขาหรือเธอก็สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลของผู้ใช้ได้อย่างระมัดระวังได้หรือเปล่า? ในเหตุการณ์นั้นก็มีความเป็นไปได้ แล้วมีความเป็นไปได้หรือเปล่าว่าจะทำให้โครงการมีข้อบกพร่องหรือเกิดความเสียหายมากขึ้น?
ในทางกลับกันจริงๆแล้วพวกเขาพบว่าระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองช่วยเผยให้เห็นถึงข้อมูลต่างๆอีกด้านหนึ่ง ในการรับรอบระบบจาก UC-Berkeley กับคณะจากมหาวิทยาลัย Binghamton กับมหาวิทยาลัย Buffalo นั้น Serwadda กับ Matovu ก็ได้ทำการทดสอบข้อสมมุติฐานต่างๆเหล่านี้ โดยนำผู้ที่ติดเหล้ามาทดสอบข้อมูลอวัยวะสัมผัส ซึ่งในทางกลับกันก็อาจจะต้องมาใช้รูปแบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมอง
จากการศึกษาคนที่ติดเหล้า 25 คนและอีก 25 คนที่ไม่ได้ติดเหล้านั้น มีอัตราที่ต่ำกว่าผิดปกติเมื่อมีการระบุว่า คนที่ติดเหล้ามีอยู่ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคำนวณจริงๆแล้วก็เกือบๆอยู่ที่ 75 เปอร์เซ็นต์
เมื่อพวกเขาได้ทำการบิดเบือนระบบและทำการปรับเปลี่ยนค่าของระบบ พวกเขาก็จะพบว่าการตรวจจับพฤติกรรมติดเหล้ามีค่าลดต่ำลงกว่าความเป็นจริง อีกทั้งค่าของระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองก็ลดต่ำลงด้วยเช่นกัน
แรงจูงใจในการสำรวจ
Serwadda มีแรงจูงใจเพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า คลื่นสมองสามารถระบุถึงพฤติกรรมแย่ๆของแต่ละคนได้ โดยที่ไม่ต้องมีกระบวนการตรวจสอบอะไรมากมาย ซึ่งจะใช้หลักการคาดการณ์เป็นหลัก
ในตัวอย่างนั้น เขาได้ทำการเปรียบเทียบลายนิ้วมือบนสนามบิน การสแกนลายนิ้วมือก็จะอ่านค่าตามเส้นลึกกับเส้นนวลเพื่อที่จะทำการประเมินระบุตัวผู้คนและก็เผยข้อมูลให้เห็นออกมา
ในข้อสมมุติฐานนั้น ระบบต่างๆจะมีการทำงานแม่นยำหากนิ้วมือของผู้ใช้มีรอยทิ่มแทงหรือมีร่องรอยเลือดบางส่วน แต่ก็ยังมีปัญหาอีก เนื่องจากเลือดจะต้องมาจากรอยทิ่มแทงที่สามารถระบุตัวตนของผู้ใช้ได้ดีกว่า ไม่ว่าคนนั้นจะมีปัญหาโรคร้ายต่างๆอย่างเช่นโรคเบาหวาน
ปัจจุบันการศึกษาในวงการเกี่ยวกับปัญหาของการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมอง นักวิจัยจำนวนมากก็ได้ทำการตรวจสอบอัตราการทำงานที่ผิดพลาดของระบบ พวกเขาได้ทำการออกแบบระบบในการตรวจหาอัตราความผิดพลาดโดยใช้ต้นทุนต่ำกว่าสถาบันใหญ่ๆ เมื่อไรก็ตามที่คณะนักวิจัยได้ทำการพัฒนาหรือออกแบบระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองก็จะพบเห็นอัตราความผิดพลาดที่ต่ำมาก ซึ่งระบบก็ได้นำมาใช้เป็นตัวอ้างอิง
คำถามที่สำคัญมาก็คือ ไม่มีการวิเคราะห์จุดไหนที่บ่งชี้ว่า การออกแบบระบบต่างๆเหล่านี้มีความแน่นอนมากแค่ไหน พูดง่ายๆก็คือ การออกแบบต่างๆมีการสร้างขึ้นตามหลักเกณฑ์ของผู้ใช้ที่อาจมีความเชื่อมโยงกับอวัยวะการรับรู้สัมผัสของแต่ละคนได้มากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างเช่นระบบที่มีอัตราการทำงานผิดพลาดต่ำก็อาจจะมีการเพิ่มข้อมูลของแต่ละคนมากขึ้น จากนั้นระบบก็อาจจะไม่ได้มีอัตราการทำงานผิดพลาดต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ ผู้ใช้หลายคนก็เพียงแค่เชื่อและยอมรับผลที่ออกมาของระบบ แม้ว่าจะมีช่องโหว่ของระบบเป็นที่เข้าใจได้และพออนุโลม
แต่ Serwadda ก็กล่าวว่า แม้ว่าการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองจะยังเป็นกรณีศึกษาอยู่ แต่ก็ยังมีเริ่มคิดค้นตรวจจับคลื่นสมองต่อเนื่อง
“ความท้าทายในการใช้ระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองนั้น จะต้องทำการตรวจสอบของเทคโนโลยีอีกขั้นหลังจากที่มีการพัฒนาการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองแล้ว” Serwadda กล่าว “เทคโนโลยีอย่างหนึ่งที่รู้จักกันดีก็คือ fNIRS ซึ่งจะให้ค่าสัญญาอัตราส่วนของเสียงสูงกว่า EEG จึงทำให้ประเมินการทำงานของสมองได้อย่างแม่นยำในการโฟกัสสมองแต่ละส่วน
ข่าวดีก็คือ ตอนนี้เทคโนโลยี fNIRS ยังเป็นของมีราคาแพงอยู่ อย่างไรก็ตามก็มีความเป็นไปได้ว่าราคาจะถูกลงในช่วงเวลาต่อมา ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ จะต้องขอบคุณนักวิจัยอย่าง Serwadda ที่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการรับรู้ความรู้สึกตลอดจนถึงการวิจัยเทคโนโลยีต่างๆที่มีคุณค่าต่องานวิจัย
“เบื้องหลังของการวิจัยนี้จะเป็นแรงจูงใจในการวิจัยออกแบบเทคโนโลยีให้มีความเหมาะสมจากตอนแรกที่พวกเราไม่ได้สนใจว่าผู้ใช้เป็นใครมาจากไหน แต่ตอนนี้ก็เริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับข้อมูลการรับรู้ความรู้สึกของแต่ละคนมากขึ้น” Serwadda กล่าว
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com
คลื่นสมองมีความเป็นไปได้ว่า สามารถตรวจจับข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นภัยได้
ระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์กับความน่าเชื่อถือตอนนี้ก็โดนคุมคามแทบจะทุกๆวัน มีรายงานใหม่ๆเกี่ยวกับแฮกเกอร์หน้าใหม่ที่พยายามเจาะข้อมูลความเป็นส่วนตัวหรือข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนสูง เมื่อไม่นานมานี้กว่า 500 ล้านพาสเวิร์ดถูกขโมยไปเมื่อ Yahoo ได้เปิดเผยว่า ระบบความปลอดภัยมีความเสี่ยงสูง
ระบบความปลอดภัยต่างๆที่ได้มีการตั้งรหัสค่าความปลอดภัยเอาไว้ก็สามารถเจาะเข้าถึงได้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีทักษะสูงที่ชอบเจาะฐานข้อมูลผู้ใช้ Facebook ยิ่งเป็นระบบที่มีความซับซ้อนหรือมีการปรับเปลี่ยนมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ระบบฐานข้อมูลของผู้ใช้มีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
การพิมพ์ลายนิ้วมือกับการสแกนม่านตาก็เป็นวิธีการที่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากสอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีการใช้ในการรับรองระบบความปลอดภัย แต่ลายนิ้วมือสามารถถูกขโมยและการสแกนม่านตาสามารถคัดลอกได้ ไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดยั้งเหล่านักแฮกเกอร์ได้
“การวิเคราะห์โต้แย้งเรื่องพฤติกรรมนั้น ก็จะต้องมีการรับรองไบโอเมตริกซ์ให้เป็นรูปแบบมาตรฐาน เหมือนกับการรับรองพาสเวิร์ดที่คุณจะเจาะเข้าใช้บริการ” กล่าวโดย Abdul Serwadda ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในแผนกวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเท็กซัส
“ตอนนี้ทันทีที่คุณได้เข้าถึงการให้บริการ ก็ไม่มีใครที่จะรู้ดีมากไปกว่าตัวคุณเอง ระบบการทำงานไม่มีใครที่จะมองเห็นได้ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นจึงมีพื้นที่ในการรองรับพฤติกรรมในการสอดแนมดูผู้ใช้บริการคนอื่น ซึ่งระบบสามารถระบุได้ว่าผู้ใช้คนนั้นเป็นใครมาจากไหน ตลอดจนถึงโครงสร้างต่างๆนั้น ระบบสามารถทำการติดตามคนที่มีความเป็นไปได้ว่ากำลังใช้งานอยู่และสามารถเด้งออกจากระบบเพื่อเข้ารหัสผ่านใหม่เมื่อไรก็ตามที่ความลับถูกรั่วไหลออกมา”
อย่างไรก็ตามคลื่นสมองก็สามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็นเขาหรือเธอ คลื่นสมองจะเผยให้เห็นถึงสุขภาพ พฤติกรรมหรือปัญหาทางด้านอารมณ์ของแต่ละคน หากว่าคลื่นสมองแสดงให้เห็นถึงสิ่งแย่ๆหรือก่อให้เกิดความเสียหายของแต่ละคน ระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองก็สามารถจัดการกับเรื่องแบบนี้ได้ ทั้งมีความแม่นยำและสามารถพกพาได้ และเป็นแอปที่มีการออกแบบสำหรับผู้คนที่ต้องการสแกนค่าการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองซึ่งมีความเป็นไปได้มากกว่าเป็นระบบที่ไม่มีความปลอดภัย
“การบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองกลายเป็นสินค้าแอปชนิดหนึ่ง ซื้อด้วยเงิน $ 100 โดยคุณสามารถซื้อบริการการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองให้เหมาะกับหูฟังของคุณได้” Serwadda กล่าว “ตอนนี้มีแอปหลายชนิดที่อยู่บนตลาด ทั้งแอปวิเคราะห์สมองซึ่งคุณสามารถซื้ออุปกรณ์ติดตั้งแล้วทำการดาวน์โหลดบนมือถือของคุณและก็เริ่มดูปฎิกิริยาอาการทางด้านสมองของคุณผ่านทางแอป ทำให้พวกเรารู้ว่า ตอนนี้อาการทางสมองนั้นคนที่สามารถเจาะเข้าถึงได้ก็มีเพียงแค่หมอเท่านั้นที่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ ตอนนี้ทุกๆคนที่เขียนแอปขึ้นมาก็เพื่อออกแบบให้กับผู้ใช้ทั่วไปและพยายามที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการวินิจฉัยอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ทางด้าน Serwadda กับนักศึกษาบันฑิตอย่าง Richard Matovu ก็ได้โฟกัสกับเรื่องพวกนี้ : โดยพยายามทำความเข้าใจว่า หากอุปนิสัยเหล่านี้สามารถพบได้จากคลื่นสมองของแต่ละคน พวกเขาก็จะนำไปเสนอกับทางด้าน IEEE
คลื่นสมองกับความปลอดภัยทางไซเบอร์
Serwadda กล่าวว่า เทคโนโลยีค่อยๆมีการมีการพัฒนาเพื่อให้สามารถอ่านคลื่นสมองของแต่ละคนได้ แต่มีการวิจัยอย่างมากในหลายองค์กรด้วยกัน โดยทางด้าน NSF ก็ได้ลงทุนทำโครงการวิจัยนี้ 3 ปี ซึ่งทางด้าน Serwadda กับคณะจากมหาวิทยาลัย Syracuse กับอลาบาม่า-เบอมิงแฮมก็ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมผู้คนหลายอย่าง ซึ่งก็รวมไปถึงรูปแบบ การบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมอง ที่มีอิทธิพลต่อการทำความเข้าใจระบบกลไกของผู้ใช้งานมากขึ้น
“ตอนนี้ยังไม่มีเครื่องมือติดตั้ง แต่มีงานวิจัยจำนวนมากที่เข้าใจว่าการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองสามารถใช้งานร่วมกับกระบวนการรับรองพฤติกรรมได้ตามมาตรฐาน” Serwadda กล่าว
คาดว่าระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองที่ใช้ในการบำบัดนั้น ตัวอย่างของระบบก็มีความปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมเพื่อวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ ก็มีความเป็นได้ว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนส่วนต่างๆดังนี้คือ
• รูปแบบลักษณะการใช้งานให้เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคน
• ความถี่สัญญาณในรูปแบบลักษณะต่างๆที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน
• บริเวณสมองที่ขั้วไฟฟ้ามีการไหลเวียนที่ไม่แน่นอน
ภายใต้ข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับรายละเอียดของระบบนี้ ทางด้าน Serwadda กับคณะของเขาก็ได้รับมือกับปัญหาต่างๆก็คือ หากมีการมุ่งร้ายในการเจาะเข้าระบบส่วนนี้ เขาหรือเธอก็สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลของผู้ใช้ได้อย่างระมัดระวังได้หรือเปล่า? ในเหตุการณ์นั้นก็มีความเป็นไปได้ แล้วมีความเป็นไปได้หรือเปล่าว่าจะทำให้โครงการมีข้อบกพร่องหรือเกิดความเสียหายมากขึ้น?
ในทางกลับกันจริงๆแล้วพวกเขาพบว่าระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองช่วยเผยให้เห็นถึงข้อมูลต่างๆอีกด้านหนึ่ง ในการรับรอบระบบจาก UC-Berkeley กับคณะจากมหาวิทยาลัย Binghamton กับมหาวิทยาลัย Buffalo นั้น Serwadda กับ Matovu ก็ได้ทำการทดสอบข้อสมมุติฐานต่างๆเหล่านี้ โดยนำผู้ที่ติดเหล้ามาทดสอบข้อมูลอวัยวะสัมผัส ซึ่งในทางกลับกันก็อาจจะต้องมาใช้รูปแบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมอง
จากการศึกษาคนที่ติดเหล้า 25 คนและอีก 25 คนที่ไม่ได้ติดเหล้านั้น มีอัตราที่ต่ำกว่าผิดปกติเมื่อมีการระบุว่า คนที่ติดเหล้ามีอยู่ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคำนวณจริงๆแล้วก็เกือบๆอยู่ที่ 75 เปอร์เซ็นต์
เมื่อพวกเขาได้ทำการบิดเบือนระบบและทำการปรับเปลี่ยนค่าของระบบ พวกเขาก็จะพบว่าการตรวจจับพฤติกรรมติดเหล้ามีค่าลดต่ำลงกว่าความเป็นจริง อีกทั้งค่าของระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองก็ลดต่ำลงด้วยเช่นกัน
แรงจูงใจในการสำรวจ
Serwadda มีแรงจูงใจเพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า คลื่นสมองสามารถระบุถึงพฤติกรรมแย่ๆของแต่ละคนได้ โดยที่ไม่ต้องมีกระบวนการตรวจสอบอะไรมากมาย ซึ่งจะใช้หลักการคาดการณ์เป็นหลัก
ในตัวอย่างนั้น เขาได้ทำการเปรียบเทียบลายนิ้วมือบนสนามบิน การสแกนลายนิ้วมือก็จะอ่านค่าตามเส้นลึกกับเส้นนวลเพื่อที่จะทำการประเมินระบุตัวผู้คนและก็เผยข้อมูลให้เห็นออกมา
ในข้อสมมุติฐานนั้น ระบบต่างๆจะมีการทำงานแม่นยำหากนิ้วมือของผู้ใช้มีรอยทิ่มแทงหรือมีร่องรอยเลือดบางส่วน แต่ก็ยังมีปัญหาอีก เนื่องจากเลือดจะต้องมาจากรอยทิ่มแทงที่สามารถระบุตัวตนของผู้ใช้ได้ดีกว่า ไม่ว่าคนนั้นจะมีปัญหาโรคร้ายต่างๆอย่างเช่นโรคเบาหวาน
ปัจจุบันการศึกษาในวงการเกี่ยวกับปัญหาของการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมอง นักวิจัยจำนวนมากก็ได้ทำการตรวจสอบอัตราการทำงานที่ผิดพลาดของระบบ พวกเขาได้ทำการออกแบบระบบในการตรวจหาอัตราความผิดพลาดโดยใช้ต้นทุนต่ำกว่าสถาบันใหญ่ๆ เมื่อไรก็ตามที่คณะนักวิจัยได้ทำการพัฒนาหรือออกแบบระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองก็จะพบเห็นอัตราความผิดพลาดที่ต่ำมาก ซึ่งระบบก็ได้นำมาใช้เป็นตัวอ้างอิง
คำถามที่สำคัญมาก็คือ ไม่มีการวิเคราะห์จุดไหนที่บ่งชี้ว่า การออกแบบระบบต่างๆเหล่านี้มีความแน่นอนมากแค่ไหน พูดง่ายๆก็คือ การออกแบบต่างๆมีการสร้างขึ้นตามหลักเกณฑ์ของผู้ใช้ที่อาจมีความเชื่อมโยงกับอวัยวะการรับรู้สัมผัสของแต่ละคนได้มากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างเช่นระบบที่มีอัตราการทำงานผิดพลาดต่ำก็อาจจะมีการเพิ่มข้อมูลของแต่ละคนมากขึ้น จากนั้นระบบก็อาจจะไม่ได้มีอัตราการทำงานผิดพลาดต่ำกว่าที่คาดเอาไว้ ผู้ใช้หลายคนก็เพียงแค่เชื่อและยอมรับผลที่ออกมาของระบบ แม้ว่าจะมีช่องโหว่ของระบบเป็นที่เข้าใจได้และพออนุโลม
แต่ Serwadda ก็กล่าวว่า แม้ว่าการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองจะยังเป็นกรณีศึกษาอยู่ แต่ก็ยังมีเริ่มคิดค้นตรวจจับคลื่นสมองต่อเนื่อง
“ความท้าทายในการใช้ระบบการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองนั้น จะต้องทำการตรวจสอบของเทคโนโลยีอีกขั้นหลังจากที่มีการพัฒนาการบันทึกคลื่นไฟฟ้าในสมองแล้ว” Serwadda กล่าว “เทคโนโลยีอย่างหนึ่งที่รู้จักกันดีก็คือ fNIRS ซึ่งจะให้ค่าสัญญาอัตราส่วนของเสียงสูงกว่า EEG จึงทำให้ประเมินการทำงานของสมองได้อย่างแม่นยำในการโฟกัสสมองแต่ละส่วน
ข่าวดีก็คือ ตอนนี้เทคโนโลยี fNIRS ยังเป็นของมีราคาแพงอยู่ อย่างไรก็ตามก็มีความเป็นไปได้ว่าราคาจะถูกลงในช่วงเวลาต่อมา ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ จะต้องขอบคุณนักวิจัยอย่าง Serwadda ที่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการรับรู้ความรู้สึกตลอดจนถึงการวิจัยเทคโนโลยีต่างๆที่มีคุณค่าต่องานวิจัย
“เบื้องหลังของการวิจัยนี้จะเป็นแรงจูงใจในการวิจัยออกแบบเทคโนโลยีให้มีความเหมาะสมจากตอนแรกที่พวกเราไม่ได้สนใจว่าผู้ใช้เป็นใครมาจากไหน แต่ตอนนี้ก็เริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับข้อมูลการรับรู้ความรู้สึกของแต่ละคนมากขึ้น” Serwadda กล่าว
ผู้แปล : Mr.lawrence10
ที่มา : sciencedaily.com