ขอส่งต่อเรื่องเล่าจากชายแดนใต้ ให้ทุกคนได้รู้ว่าที่นี่น่าอยู่แค่ไหน >>>> และถ้าสนใจเราจะชวนมาตามหา "เขา" ที่บ้านเราชายแดนใต้กัน

การเดินทางได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหลังจากเสียงของหัวใจเรียกร้องมานาน ว่าอยากไปเจอ "เขา" และแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เราต้องพาสองขาออกไปพบกับโลกใบเดิม มุมมองใหม่ คือทริปวันหยุดยาวของเพื่อนเราที่เดินทางไปพิชิตยอดเขาฆูนุงซิลีปัต ที่ตำบลอัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา ภาพที่ปรากฎมันทำให้เราความดันทะลุ 200 การเต้นของหัวใจแรงจนสัมผัสได้
หลังจากมีความอยากไปหาเขา ไปเข้าป่าระดับสิบแล้ว เราก็ต้องหาพรรคพวกที่ร่วมเดินทาง และคนนั้นคงหนีไม่พ้นนีโม่เพื่อนยาก และนางก็ตอบ "ไป" โดยไม่รีรอ อีกคนที่พยายามลากไปคือ อิสมะ แต่นางก็ร่วมทริปได้ครึ่งทางไม่สามารถก้าวย่างไปถึง "เขา" ได้เพราะติดภาระกิจทางบ้าน สุดท้ายคืนก่อนเดินทางเราก็สามารถหลอกล่อตูป๊ะ ได้อีกหนึ่งคน ให้ไปร่วมหัวจมท้ายไปกับเรา
ความสนุกเริ่มขึ้นในเช้าวันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม เรารีบตื่นกันแต่เช้า (จนแซวกันเองว่าเช้ากว่าทำงานไหม 555 แต่ไม่ใช่มหรอกทำงานเช้ากว่า หราาา!!!) นีโม่มาหาฉันที่หอและเราไปหาของกินอร่อยรองท้อง ณ ร้านโรตีเจ้าอร่อยในปัตตานี "โรตีแวมะ" และหลังจากนั้นเดินทางต่อไปรับตูป๊ะที่ปูยุด เราถึงปูยุดเวลา 09.30 น. และไม่รอช้าเดินทางต่อโดยมีเป้าหมายสำคัญคือเมืองยะลา เราไม่ได้ไปเที่ยวแต่อย่างใด เราไปที่นั่นเพื่อการเก็บกระเป๋าของตูป๊ะ คือความจริงนางรู้ตัวกระทันหันจึงไม่มีกายอุปกรณ์ในการเดินทาง เมื่อของทุกอย่างพร้อม เราก็พร้อม อีกหนึ่งอย่างที่ต้องพร้อมคือเสบียง เราขนกันไปที่ 7-11 เพื่อเก็บกวาดทุกอย่างที่อยากได้มา โดยเฉพาะของกิน 555 และสุดท้ายก็พร้อมเดินทางจริงๆ
เวลาโดยประมาณ 10 โมงเกินครึ่ง เราขับรถจากยะลามุ่งหน้าสู่บันนังสตาด้วยความสนุกสนาน บรรยากาศเป็นใจ อากาศแจ่มใสและไม่ร้อนจนเกินไปทำให้เราร่าเริงตลอดทาง แล้วเราก็เจอเป้าหมายแรกในการท่องเที่ยวครั้งนี้ ที่นั่นคือ "สะพานยีลาปัน" ตั้งอยู่ใน ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา ไฮไลน์ของสะพานนี้คืออายุที่ยาวนานของสะพานเพราะสร้างตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ลองนับมือกับเท้ารวมกันวนไปสิบกว่ารอบแล้วยังไม่ครบอายุของสะพาน ลองคิดดูว่านานแค่ไหน ^_^ พวกเราฟิ้นกับสายน้ำที่ลอดผ่านสำพาน เหล็กหนาที่แข็งแรงและทนทานกันพักใหญ่ หลังจากนั้นได้เวลาเดินทางต่อ
สถานีต่อไป "ถ้ำกระแซง" ก่อนไปถ้ำกระแซงเราต้องแวะรับ อิสมะ เจ้าถิ่นแห่งบันนังสตา ที่ให้เกียรติมาเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ในครั้งนี้ แม้เธอจะไม่ได้ไปหา "เขา" แต่เธอก็ไปกับเราครึ่งทาง อิสมะซิ่งมอเตอร์ไซด์นำทางเรามาจนถึงถ้ำกระแซง ที่ตั้งอยู่ที่บ้านกาโสด ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา ภาพแรกที่เห็นคือ ที่นี่ "โครตธรรมชาติเลย" ดูสงบ ไม่วุ่นวาย (คิดในใจน่าจะไม่มีใครกล้ามาวุ่นวาย ^_^) และที่สำคัญที่นี่ร่มเย็นมาก เราไม่รอช้าเดินสำรวจเข้าไปดูความงามภายใน เดินผ่านลำธารที่ตัดผ่านถ้ำ ซึ่งน้ำเย็นเฉียบเหมือนน้ำในตู้เย็นมาก แต่ที่นี่คือตู้เย็นตามธรรมชาติที่ใหญ่กว่าตู้เย็นไหนๆ ไปที่นี่เราได้ "เจอผี" ด้วย แต่มันคือผีเสื้อหลากหลายสายพันธ์ที่บินมาทักทายเรา สนุกสนานกันพักใหญ่ท้องเริ่มร้อง ได้เวลาเดินทางต่อโดยมีเป้าหมายต่อไปคือ น้ำตกธารโต
ก่อนถึงน้ำตกธารโต เพื่อนร่วมทางแวะปฏิบัติศาสนกิจที่มัสยิดที่เป็นทางผ่าน เพราะเราถือคอนเซปที่ว่า แม้จะเที่ยวไกลแค่ไหนแต่ก็ไม่ลืมปฏิบัติศาสนกิจ นะจ๊ะ *_* พอทุกอย่างเรียบร้อยพวกเราก็ไปต่อ!!! ซึ่งการเดินทางใช้เวลาไม่นานก็ถึงน้ำตกเป้าหมาย น้ำตกธารโต ที่อยู่ในพื้นที่ ต.แม่หวาด อ.ธารโต จ.ยะลา ถึงที่นั่นท้องก็ร้องหนักขึ้น แต่ปัญหาคือเราหาร้านขายข้าวแถวนั้นไม่มีเลย คิดในใจทำไงละที่นี้ ??? พอจอดรถปุ๊ปเจอรกขายไอติม ด้วยความหิวโหยเราเลยพุ่งเข้าใส่รถไอติมแบบไม่คิด แต่ในวันนั้นเราสังเกตเห็นการจัดกิจกรรมบริเวณน้ำตก และเห็นบูทอาหาร ด้วยความอัธยาศัยดีและหิว (ซึ่งอย่างหลังมีมากกว่า ^_^) เราเลยถามพี่ทหารที่ยืนซื้อไอติมว่า "เขาทำอะไรกัน แล้วนั่นบูธแจกข้าวเหรอคะ" (นึกในใจกล้ามากเลยเรา) ทหารยิ้มกลับมาด้วยหน้าตาเป็นมิตร และถามกลับว่า "มีกิจกรรมครับ แล้วจะรับข้าวมั้ยครับมีข้าวไข่เจียว" จังหวะนั้นจะเหลือเหรอคะ "พยักหน้า ยิกๆๆ และรีบตอบรับ" เราเลยได้ข้าวมา 4 กล่อง ซึ่งบอกเลย "ข้าวหร่อยมากกก และทหารใจดีเฟ่ออ อู้คำเมืองโต้ยนะเจ้า มาแต่เจียงใหม่เจ้า เราได้มิตรเพิ่มมาจากรอยยิ้มที่เราทักท่าย และที่สำคัญที่สุดได้ข้าวมาด้วย ซื้อไอติมแล้ว มีกข้าวกินแล้ว เราไม่รอช้า รีบเดินไปสำรวจน้ำตกกัน แต่ไปได้ 2 ชั้นก็หยุดกินข้าวแล้วก็ต้องกลับ เพราะเวลามีน้อยนักที่จะได้อยู่กับน้ำตกทั้ง 9 ชั้น (คิดในใจ ไว้ชั้นที่เหลือไปหาอีกครั้งเมื่อมีโอกาสแน่นอน)
บ่ายสองครึ่งได้เวลาเดินทางต่อไปตามหา "เขา" ที่เราอยากเจอ ขับรถอกจากน้ำตกธารโต เลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่เบตง เป้าหมายของเรารออยู่ที่บ้าน กม. 32 ในเวลาบ่ายสามครึ่ง จังหวะเดียวกันนั้นมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ปลายสายของเราเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ยังไม่เคยเห็นหน้ากัน เขาโทรมาถามด้วยความห่วงใยว่า "ถึงไหนแล้วครับ มาถูกใช่ไหม เจอกันประมาณบ่ายสามครึ่งนะครับ และหากถึงจุดนัดหมายที่ร้านพิซซ่า กม. 32 ก่อน รอแป๊ปนะครับ ผมไปส่งลูกค้า" ผู้ชายคนนี้ชื่อแบมัง (แบคือคำนำหน้าที่ใช้แทนพี่ชาย - พี่มัง) เป็นคนที่ฉันไม่เราไม่เคยเจอกัน แต่ที่ห่วงใยเราขนาดนี้เพราะเมื่อสองวันที่ผ่านมาได้โทรประสานไว้ว่าเราจะไปขึ้นเขากัน และทีมงานนี้ทำหน้าที่เป็นไกด์ท้องถิ่นดูแลผู้มาเยือนอย่างเรา เรานัดหมายกันเรียบร้อย และฉันก็มาถึงบ้าน กม.32 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา ในช่วงเวลานัดหมาย ร้านพิซซ่าสีแดงตั้งอยู่ริมถนนด้านซ้ายสังเกตุไม่ยาก ถึงที่ร้านเราทำหน้าที่ผู้มาเยือนที่ดีด้วยการสั่งผัดไทยมาทานเพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น แต่ขอบอกว่ารสเด็ดจริงๆ กินหมดจนลืมถ่ายรูป รอไม่นานนัก "แบมัง" เราได้พบกันครั้งแรก แต่สิ่งที่เจอคือรอยยิ้มและคำทักทายที่เป็นมิตรทำให้เราได้อุ่นใจ แล้วแบก็ทำหน้าที่เป็นสะพานพาเราไปส่งยังเป้าหมายสุดท้ายก่อขึ้นเขา นั่นคือ บ้านพี่สตาฟที่จะพา "เรา" ไปเจอ "เขา" จริงๆ
การเดินทางไปเจอ "เขา" เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการที่บ้าน กม.28 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา เราจอดรถเทียบท่าที่บ้านแบใจดี (หนูลืมชื่อ!!!) และขนสัมภาระทุกอย่างขึ้นรถจิ๊บสีขาวเปื้อนโคลนสีน้ำตาล (จนไม่แน่ใจว่าสีขาวจริงหรือเปล่า ^-^) เราพร้อมมาก!!! ขึ้นไปนั่งรอบนรถด้านหลังรถ แต่รอแล้วรอเล่ายังไม่ได้เดินทาง ใจเริ่มตุ้มๆต่อมๆ จะไปกันกี่โมงน้อ พร้อมแล้ว พร้อมแล้ว และความฝันของเราก็เป็นจริง 16.30 น. ล้อเริ่มหมุน รถค่อยๆ ไต่ขึ้นไปบนเนินเขา เส้นทางที่ผ่านเป็นสวนยาง สวนทุเรียน สวนมังคุด และพงหญ้าป่ารก นั่งรถไปราว 3 กม. ประมาณครึ่งชั่วโมง จนถึงจุดที่รถไปไม่ได้ เราต้องลงเพื่อเดินเท้าต่อไปอีก 3 กม. แต่โชคดีที่เดินตัวเปล่าไม่ต้องแบกเป้ขึ้นไป ของที่พกไปมีแค่ของสำคัญมีค่า และน้ำ จังหวะจะขึ้นไปพร้อมมากหน้าเป๊ะ พร๊อปพร้อม ผ้าพันคอ หมวก ไม้ค้ำ หน้าตาแลดูสดชื่น
เราเริ่มออกเดินเท้า ในระยะทาง 3 กิโลแม้ว ^_^ ซึ่งในทีมของเราจะมีสตาฟที่ทำหน้าที่ดูแลเรา 1 คน ชื่อว่า แบเลาะ เราค่อยๆ เดินไปตามรอยทางเท้าที่มาผู้มาบุกเบิกไว้ เดินไต่เนินไปเรื่อยๆ ฉันเดินมุ่งไปข้างหน้าเริ่มทิ้งห่างเพื่อนร่วมทีมที่ไปด้วยกัน จนต้องรอกันเป็นระยะๆ ตะโกนหากันตลอดเวลาที่การเดินทิ้งช่วงมองกันไม่เห็น เราเดินไป เดินไป แล้วก็เดินไป และยังคงต้องเดินต่อไปเรื่อยๆ จากพร็อปที่สวยงาม ผ้าพันคอที่ดูดี หมวกที่นำแฟชั่น ทุกอย่างเริ่มน่ารำคาญ เหงื่อไหลไคลย้อย ย้อยถึงไหนคงไม่ต้องบอก ฮาๆๆๆ ทุกอย่างถูกถอดออกโดยพลัน สตาฟของเราได้แต่ยิ้มกับอาการของพวกเรา ไม่บ่น ไม่หงุดหงิด ไม่แสดงท่าทีให้เราล้า เดินไปยิ้มไปขำพวกเราไป ^_^ ผ่านไปเกือบชั่วโมงเราก็ดูมีความหวังจากทางสูงชันก็เริ่มเดินในทางราบ (นึกในใจน่าจะใกล้ายอดเขาแล้ว) แล้วในที่สุดเราก็เดินไปถึงที่พักใกล้ยอดเขาเป็นกลุ่มแรก แบเลาะจัดแจงวางของที่พกมา พวกเราก็ลั้นลาสำรวจพื้นที่ และออกไปมองหา "เขา" ภาพกว้างที่ปรากฎหลังจากเดินจากที่พักออกไปคือ "เขา" ที่โอบล้อมกอดเราไว้ 360 องศา เทือกเขาสลับสับเปลี่ยนกันไป มีเขาเล็กเขาน้อย ทำให้เราหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง แต่อีกฟากหนึงของ "เขา" เราเห็นท้องฟ้าสีเทา และละอองฝนที่โปรยปราย ที่ค่อยๆ เคลื่อนย้ายจากปลายเขาอีกฝั่งมาหา "เขา" ที่เราอยู่ และเดาได้ไม่ยากว่าฝนตกแน่นอน
มีความสุขจัง "ฉัน" ได้เจอ "เขา" แล้ว
เสพความสุขกับ "เขา" ซักพักเราก็ลงมาจัดการชีวิตตัวเองต่อ ภาพที่เห็นคือ แบเลาะ กำลังขมักเขม่นกางเตนท์หลังใหญ่ให้เราอยู่ด้วยความชำนาญ ผ่านไปไม่นานเตนท์ก็เสร็จ และผู้คนกลุ่มอื่นก็ทยอยกันมา เวลาค่อยๆ หมุนไป หกโมงกว่ากว่าในป่าที่เราอยู่เริ่มมืด และเงียบสงัด ณ เวลานั้นใครพูดอะไรแม้จะเบาแค่ไหนก็ได้ยินชัด แต่เสียงที่ชัดที่สุดบนเขาลูกนั้นคือเสียงพวกเรา ^_^ ทีมของเราจะมีอัธยาศัยทักทายมิตรสหายทุกท่านมาถึง เรามองหาสตาฟเพื่อถามหากระเป๋าแต่ความจริงตอนนั้น เราไม่อยากได้กระเป๋าเท่ากับขนมที่เราพกมา เพราะตอนนั้นน้ำย่อยเริ่มปฏิบัติการอีกรอบ
แบเลาะกำลังก่อกองไฟอย่างขมักเม่น แต่ก่ออยู่นานยังไม่สำเร็จ ด้วยจิตวิญญาณของเนตรนารีรุ่นเล็ก เราขออาสาก่อกองไฟแล้วก็สำเร็จ เรามีความดีใจมากเพราะไฟที่ก่อเสร็จมาพร้อมกับมาม่าและกระเป๋าของเรา ณ เวลานั้น ข้าวค่อยกินพวกเราขอฟิ้นกับมาม่าก่อน ^_^ และความสัมพันธ์ของผู้คนบนยอดเขาก็เริ่มขึ้น หลังจากความหิวมีเยี่ยมเยียน ความมืดมาปกคลุม เราแบ่งปันขนมและบทสนทนา จนทำใหรู้สึกสนิทสนมกันในเวลาอันรวดเร็ว และอีกหนึ่งอย่างที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ สร้างความสุขและความประทับใจ คือการร่วมกันหุงข้าวในกระบอกไม้ไผ่ ให้พวกเรากิน แต่ขั้นตอนนี้ใช้เวลานาน จนเราสามารถทำภาระกิจส่วนตัว ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนองค์ทรงเครื่องได้เรียบร้อย
แล้วกลิ่นของข้าวที่สุกอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ก็สะกิดเราให้ออกมาจากเตนท์ เพื่อมาลิ้มลองรสชาด แต่ยังขาดอาหารสำคัญอีกอย่างคือ ปลาดุกย่าง กลิ่นถ่านกับปลาสดที่ค่อยๆถูกย่าง ช่างหอมหวนชวนให้เราหิวอีกครั้ง ทั้งทั้งที่เพิ่งกินมาม่า แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเพราะตูป๊ะกินข้าวไป 3 ชาม ฉันกินข้าวไป 4 ชาม นีโม่กินไป 5 ชาม อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่พาไปของฝนโปรยปรายจึงทำให้เราต้องเติมข้าวเรื่อยๆ แต่สิ่งนี้ก็ทำให้พี่สตาฟยิ้มหน้าบานเพราะกินข้าวหมดเป็นกระบอกกระบอก ฮาๆๆ อาหารมื้อนี้ทำให้เราได้รู้ว่า แม้มีเงินทองมากมายก็หาซื้อความอร่อยที่มีความสุขแบบนี้ไม่ได้ ต้องขอบคุณคนปรุงจริงๆ
(ยังไม่เจอเขาแต่ข้อความที่พิมพ์ได้หมดแล้วเดี่ยวเราไปต่อในคอมเมนต์นะคะ)>>>
ชวนมาตามหา "เขา" ที่บ้านเราชายแดนใต้
การเดินทางได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหลังจากเสียงของหัวใจเรียกร้องมานาน ว่าอยากไปเจอ "เขา" และแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เราต้องพาสองขาออกไปพบกับโลกใบเดิม มุมมองใหม่ คือทริปวันหยุดยาวของเพื่อนเราที่เดินทางไปพิชิตยอดเขาฆูนุงซิลีปัต ที่ตำบลอัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา ภาพที่ปรากฎมันทำให้เราความดันทะลุ 200 การเต้นของหัวใจแรงจนสัมผัสได้
หลังจากมีความอยากไปหาเขา ไปเข้าป่าระดับสิบแล้ว เราก็ต้องหาพรรคพวกที่ร่วมเดินทาง และคนนั้นคงหนีไม่พ้นนีโม่เพื่อนยาก และนางก็ตอบ "ไป" โดยไม่รีรอ อีกคนที่พยายามลากไปคือ อิสมะ แต่นางก็ร่วมทริปได้ครึ่งทางไม่สามารถก้าวย่างไปถึง "เขา" ได้เพราะติดภาระกิจทางบ้าน สุดท้ายคืนก่อนเดินทางเราก็สามารถหลอกล่อตูป๊ะ ได้อีกหนึ่งคน ให้ไปร่วมหัวจมท้ายไปกับเรา
ความสนุกเริ่มขึ้นในเช้าวันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม เรารีบตื่นกันแต่เช้า (จนแซวกันเองว่าเช้ากว่าทำงานไหม 555 แต่ไม่ใช่มหรอกทำงานเช้ากว่า หราาา!!!) นีโม่มาหาฉันที่หอและเราไปหาของกินอร่อยรองท้อง ณ ร้านโรตีเจ้าอร่อยในปัตตานี "โรตีแวมะ" และหลังจากนั้นเดินทางต่อไปรับตูป๊ะที่ปูยุด เราถึงปูยุดเวลา 09.30 น. และไม่รอช้าเดินทางต่อโดยมีเป้าหมายสำคัญคือเมืองยะลา เราไม่ได้ไปเที่ยวแต่อย่างใด เราไปที่นั่นเพื่อการเก็บกระเป๋าของตูป๊ะ คือความจริงนางรู้ตัวกระทันหันจึงไม่มีกายอุปกรณ์ในการเดินทาง เมื่อของทุกอย่างพร้อม เราก็พร้อม อีกหนึ่งอย่างที่ต้องพร้อมคือเสบียง เราขนกันไปที่ 7-11 เพื่อเก็บกวาดทุกอย่างที่อยากได้มา โดยเฉพาะของกิน 555 และสุดท้ายก็พร้อมเดินทางจริงๆ
เวลาโดยประมาณ 10 โมงเกินครึ่ง เราขับรถจากยะลามุ่งหน้าสู่บันนังสตาด้วยความสนุกสนาน บรรยากาศเป็นใจ อากาศแจ่มใสและไม่ร้อนจนเกินไปทำให้เราร่าเริงตลอดทาง แล้วเราก็เจอเป้าหมายแรกในการท่องเที่ยวครั้งนี้ ที่นั่นคือ "สะพานยีลาปัน" ตั้งอยู่ใน ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา จ.ยะลา ไฮไลน์ของสะพานนี้คืออายุที่ยาวนานของสะพานเพราะสร้างตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ลองนับมือกับเท้ารวมกันวนไปสิบกว่ารอบแล้วยังไม่ครบอายุของสะพาน ลองคิดดูว่านานแค่ไหน ^_^ พวกเราฟิ้นกับสายน้ำที่ลอดผ่านสำพาน เหล็กหนาที่แข็งแรงและทนทานกันพักใหญ่ หลังจากนั้นได้เวลาเดินทางต่อ
สถานีต่อไป "ถ้ำกระแซง" ก่อนไปถ้ำกระแซงเราต้องแวะรับ อิสมะ เจ้าถิ่นแห่งบันนังสตา ที่ให้เกียรติมาเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ในครั้งนี้ แม้เธอจะไม่ได้ไปหา "เขา" แต่เธอก็ไปกับเราครึ่งทาง อิสมะซิ่งมอเตอร์ไซด์นำทางเรามาจนถึงถ้ำกระแซง ที่ตั้งอยู่ที่บ้านกาโสด ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา ภาพแรกที่เห็นคือ ที่นี่ "โครตธรรมชาติเลย" ดูสงบ ไม่วุ่นวาย (คิดในใจน่าจะไม่มีใครกล้ามาวุ่นวาย ^_^) และที่สำคัญที่นี่ร่มเย็นมาก เราไม่รอช้าเดินสำรวจเข้าไปดูความงามภายใน เดินผ่านลำธารที่ตัดผ่านถ้ำ ซึ่งน้ำเย็นเฉียบเหมือนน้ำในตู้เย็นมาก แต่ที่นี่คือตู้เย็นตามธรรมชาติที่ใหญ่กว่าตู้เย็นไหนๆ ไปที่นี่เราได้ "เจอผี" ด้วย แต่มันคือผีเสื้อหลากหลายสายพันธ์ที่บินมาทักทายเรา สนุกสนานกันพักใหญ่ท้องเริ่มร้อง ได้เวลาเดินทางต่อโดยมีเป้าหมายต่อไปคือ น้ำตกธารโต
ก่อนถึงน้ำตกธารโต เพื่อนร่วมทางแวะปฏิบัติศาสนกิจที่มัสยิดที่เป็นทางผ่าน เพราะเราถือคอนเซปที่ว่า แม้จะเที่ยวไกลแค่ไหนแต่ก็ไม่ลืมปฏิบัติศาสนกิจ นะจ๊ะ *_* พอทุกอย่างเรียบร้อยพวกเราก็ไปต่อ!!! ซึ่งการเดินทางใช้เวลาไม่นานก็ถึงน้ำตกเป้าหมาย น้ำตกธารโต ที่อยู่ในพื้นที่ ต.แม่หวาด อ.ธารโต จ.ยะลา ถึงที่นั่นท้องก็ร้องหนักขึ้น แต่ปัญหาคือเราหาร้านขายข้าวแถวนั้นไม่มีเลย คิดในใจทำไงละที่นี้ ??? พอจอดรถปุ๊ปเจอรกขายไอติม ด้วยความหิวโหยเราเลยพุ่งเข้าใส่รถไอติมแบบไม่คิด แต่ในวันนั้นเราสังเกตเห็นการจัดกิจกรรมบริเวณน้ำตก และเห็นบูทอาหาร ด้วยความอัธยาศัยดีและหิว (ซึ่งอย่างหลังมีมากกว่า ^_^) เราเลยถามพี่ทหารที่ยืนซื้อไอติมว่า "เขาทำอะไรกัน แล้วนั่นบูธแจกข้าวเหรอคะ" (นึกในใจกล้ามากเลยเรา) ทหารยิ้มกลับมาด้วยหน้าตาเป็นมิตร และถามกลับว่า "มีกิจกรรมครับ แล้วจะรับข้าวมั้ยครับมีข้าวไข่เจียว" จังหวะนั้นจะเหลือเหรอคะ "พยักหน้า ยิกๆๆ และรีบตอบรับ" เราเลยได้ข้าวมา 4 กล่อง ซึ่งบอกเลย "ข้าวหร่อยมากกก และทหารใจดีเฟ่ออ อู้คำเมืองโต้ยนะเจ้า มาแต่เจียงใหม่เจ้า เราได้มิตรเพิ่มมาจากรอยยิ้มที่เราทักท่าย และที่สำคัญที่สุดได้ข้าวมาด้วย ซื้อไอติมแล้ว มีกข้าวกินแล้ว เราไม่รอช้า รีบเดินไปสำรวจน้ำตกกัน แต่ไปได้ 2 ชั้นก็หยุดกินข้าวแล้วก็ต้องกลับ เพราะเวลามีน้อยนักที่จะได้อยู่กับน้ำตกทั้ง 9 ชั้น (คิดในใจ ไว้ชั้นที่เหลือไปหาอีกครั้งเมื่อมีโอกาสแน่นอน)
บ่ายสองครึ่งได้เวลาเดินทางต่อไปตามหา "เขา" ที่เราอยากเจอ ขับรถอกจากน้ำตกธารโต เลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่เบตง เป้าหมายของเรารออยู่ที่บ้าน กม. 32 ในเวลาบ่ายสามครึ่ง จังหวะเดียวกันนั้นมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ปลายสายของเราเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ยังไม่เคยเห็นหน้ากัน เขาโทรมาถามด้วยความห่วงใยว่า "ถึงไหนแล้วครับ มาถูกใช่ไหม เจอกันประมาณบ่ายสามครึ่งนะครับ และหากถึงจุดนัดหมายที่ร้านพิซซ่า กม. 32 ก่อน รอแป๊ปนะครับ ผมไปส่งลูกค้า" ผู้ชายคนนี้ชื่อแบมัง (แบคือคำนำหน้าที่ใช้แทนพี่ชาย - พี่มัง) เป็นคนที่ฉันไม่เราไม่เคยเจอกัน แต่ที่ห่วงใยเราขนาดนี้เพราะเมื่อสองวันที่ผ่านมาได้โทรประสานไว้ว่าเราจะไปขึ้นเขากัน และทีมงานนี้ทำหน้าที่เป็นไกด์ท้องถิ่นดูแลผู้มาเยือนอย่างเรา เรานัดหมายกันเรียบร้อย และฉันก็มาถึงบ้าน กม.32 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา ในช่วงเวลานัดหมาย ร้านพิซซ่าสีแดงตั้งอยู่ริมถนนด้านซ้ายสังเกตุไม่ยาก ถึงที่ร้านเราทำหน้าที่ผู้มาเยือนที่ดีด้วยการสั่งผัดไทยมาทานเพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น แต่ขอบอกว่ารสเด็ดจริงๆ กินหมดจนลืมถ่ายรูป รอไม่นานนัก "แบมัง" เราได้พบกันครั้งแรก แต่สิ่งที่เจอคือรอยยิ้มและคำทักทายที่เป็นมิตรทำให้เราได้อุ่นใจ แล้วแบก็ทำหน้าที่เป็นสะพานพาเราไปส่งยังเป้าหมายสุดท้ายก่อขึ้นเขา นั่นคือ บ้านพี่สตาฟที่จะพา "เรา" ไปเจอ "เขา" จริงๆ
การเดินทางไปเจอ "เขา" เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการที่บ้าน กม.28 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา เราจอดรถเทียบท่าที่บ้านแบใจดี (หนูลืมชื่อ!!!) และขนสัมภาระทุกอย่างขึ้นรถจิ๊บสีขาวเปื้อนโคลนสีน้ำตาล (จนไม่แน่ใจว่าสีขาวจริงหรือเปล่า ^-^) เราพร้อมมาก!!! ขึ้นไปนั่งรอบนรถด้านหลังรถ แต่รอแล้วรอเล่ายังไม่ได้เดินทาง ใจเริ่มตุ้มๆต่อมๆ จะไปกันกี่โมงน้อ พร้อมแล้ว พร้อมแล้ว และความฝันของเราก็เป็นจริง 16.30 น. ล้อเริ่มหมุน รถค่อยๆ ไต่ขึ้นไปบนเนินเขา เส้นทางที่ผ่านเป็นสวนยาง สวนทุเรียน สวนมังคุด และพงหญ้าป่ารก นั่งรถไปราว 3 กม. ประมาณครึ่งชั่วโมง จนถึงจุดที่รถไปไม่ได้ เราต้องลงเพื่อเดินเท้าต่อไปอีก 3 กม. แต่โชคดีที่เดินตัวเปล่าไม่ต้องแบกเป้ขึ้นไป ของที่พกไปมีแค่ของสำคัญมีค่า และน้ำ จังหวะจะขึ้นไปพร้อมมากหน้าเป๊ะ พร๊อปพร้อม ผ้าพันคอ หมวก ไม้ค้ำ หน้าตาแลดูสดชื่น
เราเริ่มออกเดินเท้า ในระยะทาง 3 กิโลแม้ว ^_^ ซึ่งในทีมของเราจะมีสตาฟที่ทำหน้าที่ดูแลเรา 1 คน ชื่อว่า แบเลาะ เราค่อยๆ เดินไปตามรอยทางเท้าที่มาผู้มาบุกเบิกไว้ เดินไต่เนินไปเรื่อยๆ ฉันเดินมุ่งไปข้างหน้าเริ่มทิ้งห่างเพื่อนร่วมทีมที่ไปด้วยกัน จนต้องรอกันเป็นระยะๆ ตะโกนหากันตลอดเวลาที่การเดินทิ้งช่วงมองกันไม่เห็น เราเดินไป เดินไป แล้วก็เดินไป และยังคงต้องเดินต่อไปเรื่อยๆ จากพร็อปที่สวยงาม ผ้าพันคอที่ดูดี หมวกที่นำแฟชั่น ทุกอย่างเริ่มน่ารำคาญ เหงื่อไหลไคลย้อย ย้อยถึงไหนคงไม่ต้องบอก ฮาๆๆๆ ทุกอย่างถูกถอดออกโดยพลัน สตาฟของเราได้แต่ยิ้มกับอาการของพวกเรา ไม่บ่น ไม่หงุดหงิด ไม่แสดงท่าทีให้เราล้า เดินไปยิ้มไปขำพวกเราไป ^_^ ผ่านไปเกือบชั่วโมงเราก็ดูมีความหวังจากทางสูงชันก็เริ่มเดินในทางราบ (นึกในใจน่าจะใกล้ายอดเขาแล้ว) แล้วในที่สุดเราก็เดินไปถึงที่พักใกล้ยอดเขาเป็นกลุ่มแรก แบเลาะจัดแจงวางของที่พกมา พวกเราก็ลั้นลาสำรวจพื้นที่ และออกไปมองหา "เขา" ภาพกว้างที่ปรากฎหลังจากเดินจากที่พักออกไปคือ "เขา" ที่โอบล้อมกอดเราไว้ 360 องศา เทือกเขาสลับสับเปลี่ยนกันไป มีเขาเล็กเขาน้อย ทำให้เราหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง แต่อีกฟากหนึงของ "เขา" เราเห็นท้องฟ้าสีเทา และละอองฝนที่โปรยปราย ที่ค่อยๆ เคลื่อนย้ายจากปลายเขาอีกฝั่งมาหา "เขา" ที่เราอยู่ และเดาได้ไม่ยากว่าฝนตกแน่นอน
มีความสุขจัง "ฉัน" ได้เจอ "เขา" แล้ว
เสพความสุขกับ "เขา" ซักพักเราก็ลงมาจัดการชีวิตตัวเองต่อ ภาพที่เห็นคือ แบเลาะ กำลังขมักเขม่นกางเตนท์หลังใหญ่ให้เราอยู่ด้วยความชำนาญ ผ่านไปไม่นานเตนท์ก็เสร็จ และผู้คนกลุ่มอื่นก็ทยอยกันมา เวลาค่อยๆ หมุนไป หกโมงกว่ากว่าในป่าที่เราอยู่เริ่มมืด และเงียบสงัด ณ เวลานั้นใครพูดอะไรแม้จะเบาแค่ไหนก็ได้ยินชัด แต่เสียงที่ชัดที่สุดบนเขาลูกนั้นคือเสียงพวกเรา ^_^ ทีมของเราจะมีอัธยาศัยทักทายมิตรสหายทุกท่านมาถึง เรามองหาสตาฟเพื่อถามหากระเป๋าแต่ความจริงตอนนั้น เราไม่อยากได้กระเป๋าเท่ากับขนมที่เราพกมา เพราะตอนนั้นน้ำย่อยเริ่มปฏิบัติการอีกรอบ
แบเลาะกำลังก่อกองไฟอย่างขมักเม่น แต่ก่ออยู่นานยังไม่สำเร็จ ด้วยจิตวิญญาณของเนตรนารีรุ่นเล็ก เราขออาสาก่อกองไฟแล้วก็สำเร็จ เรามีความดีใจมากเพราะไฟที่ก่อเสร็จมาพร้อมกับมาม่าและกระเป๋าของเรา ณ เวลานั้น ข้าวค่อยกินพวกเราขอฟิ้นกับมาม่าก่อน ^_^ และความสัมพันธ์ของผู้คนบนยอดเขาก็เริ่มขึ้น หลังจากความหิวมีเยี่ยมเยียน ความมืดมาปกคลุม เราแบ่งปันขนมและบทสนทนา จนทำใหรู้สึกสนิทสนมกันในเวลาอันรวดเร็ว และอีกหนึ่งอย่างที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ สร้างความสุขและความประทับใจ คือการร่วมกันหุงข้าวในกระบอกไม้ไผ่ ให้พวกเรากิน แต่ขั้นตอนนี้ใช้เวลานาน จนเราสามารถทำภาระกิจส่วนตัว ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนองค์ทรงเครื่องได้เรียบร้อย
แล้วกลิ่นของข้าวที่สุกอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ก็สะกิดเราให้ออกมาจากเตนท์ เพื่อมาลิ้มลองรสชาด แต่ยังขาดอาหารสำคัญอีกอย่างคือ ปลาดุกย่าง กลิ่นถ่านกับปลาสดที่ค่อยๆถูกย่าง ช่างหอมหวนชวนให้เราหิวอีกครั้ง ทั้งทั้งที่เพิ่งกินมาม่า แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเพราะตูป๊ะกินข้าวไป 3 ชาม ฉันกินข้าวไป 4 ชาม นีโม่กินไป 5 ชาม อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่พาไปของฝนโปรยปรายจึงทำให้เราต้องเติมข้าวเรื่อยๆ แต่สิ่งนี้ก็ทำให้พี่สตาฟยิ้มหน้าบานเพราะกินข้าวหมดเป็นกระบอกกระบอก ฮาๆๆ อาหารมื้อนี้ทำให้เราได้รู้ว่า แม้มีเงินทองมากมายก็หาซื้อความอร่อยที่มีความสุขแบบนี้ไม่ได้ ต้องขอบคุณคนปรุงจริงๆ
(ยังไม่เจอเขาแต่ข้อความที่พิมพ์ได้หมดแล้วเดี่ยวเราไปต่อในคอมเมนต์นะคะ)>>>