วัดพระธรรมกายล้างสมองจริงๆเหรอ?

ผมเป็นอีกหนึ่งคนที่ถูก
วัดพระธรรมกายล้างสมอง
เพราะเป็นหนึ่งในหลายคนที่เข้าวัด เพราะเจอปัญหาในชีวิต ชึ่งมันมากมายจนหาทางออกไม่ได้ จึงพักเรื่องปัญหาต่างๆไปบวชสักพัก ในช่วงที่บวชก็จะมีการทำวัตร สวดมนต์ นั่งสมาธิ และรับบุญต่างๆ จึงมีโอกาสได้สนธนากับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ได้บวชโครงการเดียวกัน
จึงทำให้รู้ว่าปัญหาที่ผมเจอนั้นมันแค่นิดเดียว ถ้าเทียบกับคนอื่น เมื่อกายพัก ใจพัก ก็มีเวลาทบทวนตนเอง จึงได้รู้ว่าเราผิดพลาดบกพร่องตรงไหน ลาสึกขาออกมาแล้ว
ก็เริ่มปรับปรุงแก้ไขนิสัยตัวเอง ผมก็เลิกดื่มเหล้าก่อน เลิกสูบบุรี่ และหันมารับผิดชอบตัวเอง ก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ คิดขยับขยายงาน ก็ได้พี่ๆ ที่บวชด้วยกันมาเป็นที่ปรึกษา โดยไม่เสียตังค์สักบาท จะมีวันนี้ไม่ได้เลยถ้าขาดโอกาสดีๆ
จากโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่ (บวชฟรี) บูชาธรรม๖๘ปีพระเทพญาณมหามุนีฯ (หลวงพ่อธัมมชโย) จึงเหมือนได้ชีวิตใหม่อีกครั้ง
ต่อ ชัยวัฒน์
ถามว่าเอาชีวิตมาตีแผ่อายไหม อายนะครับ
แต่เพื่อเป็นวิทยาทาน ยอมครับ ให้ได้บุญด้วยกันนะครับ
#ธรรมกาย
#วัดพระธรรมกาย
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1091394980987041&id=935999909859883
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 33
ประวัติหลวงพ่อธัมมชโย
หลวงพ่อท่านตั้งใจบวชตลอดชีวิตตั้งแต่ปี 2512 เมื่อเริ่มสร้างวัด บนพื้นที่ 196 ไร่ ในปี 13 ก็มีมโณปณิธานว่า จะสร้างวัดให้เป็นวัด สร้างพระให้เป็นพระ สร้างคนให้เป็นคนดี จนถึงปัจจุบันปี 59 (47 ปี) ท่านก็ยังทำอย่างนั้นตลอด เริ่มด้วย ท่านบำเพ็ญตนเป็นพระอาจารย์ที่สอนสมาธิให้กับญาติโยมเรื่อยมา จนปี 27 คนมานั่งสมาธิกันแน่นพื้นที่ใน 196 ไร่ กว่า 2 หมื่นคน จนต้องขยายพื้นที่ออกไปที่ 130 ไร่ สร้างศาลาจุคน 1 หมื่นคน และมีเต็นท์ยักเพื่อรองรับสาธุชนเพิ่มขึ้นอีก พอปี 39 พื้นที่ก็เริ่มไม่พอ คนมานั่งสมาธิกันหลายหมื่นคน หลวงพ่อท่านก็เลยขยายพื้นที่ไปอีก 2000 ไร่ สร้างศาลาจุคนได้ 3 แสนคน สร้างมหาธรรมกายเจดีย์ และรัตนวิหารคด เพื่อรองรับคน 1 ล้านคน ให้ได้มานั่งสมาธิพร้อมกัน ทั้งโครงการบวชพระ 1 แสนทั่วประเทศ โครงการบวช สามเณร 1 แสนทั่วประเทศ โครงการอบรมเยาวชน v-star ทั่วประเทศ ก็ได้มาใช้ พื้นที่นี้หลายแสนคน หลวงพ่อสร้างวัดเพื่อให้คนมานั่งสมาธิ สร้างพระดี และคนดีด้วยสมาธิ ท่านรักการนั่งสมาธิ และสอนสมาธิมาทั้งชีวิต จนมีลูกศิษย์ หลายล้านคน
และ 22 เมย. ที่ผ่านมาก็ได้จัดให้มีการตักบาตรพระภิกษุสามเณรแสนกว่ารูป เพื่อนำอาหารไปช่วยพระภิกษุทางภาคใต้ หลวงพ่อท่านมีแต่จะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ครับ



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ท่านจะฟอกเงิน และรับของโจรไปเพื่ออะไร เพื่อที่จะเอาไปใช้ส่วนตัว ก็ไม่มีความจำเป็น เพราะเมื่อหลวงพ่อมีโครงการอะไรก็ตามจะสร้างศาสนสถาน หรือ โครงการเพื่องานเผยแผ่ธรรมะออกไป ญาติโยมก็พร้อมถวายอยู่แล้วครับ หรือการถวายปัจจัยท่านส่วนตัว ญาติโยมก็ถวายเป็นประจำอยู่แล้ว อีกอย่างกุฏิที่พักของท่านก็เรียบง่าย ไม่มีวิทยุ ไม่มีทีวี ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกสบายอะไร หลวงพ่อท่านบริสุทธิ์ครับ

สิ่งที่ท่านต้องการคืออะไรกันแน่ !!!
1. ให้มาแจ้งข้อกล่าวที่วัดมาไม่ได้ แต่ยกกำลังพล 15 กองร้อย พร้อมด่านสกัดรอบวัดกับทำได้
2. คุณศุภชัยบริจาคมาทางหลวงพ่อ 10 % ลูกศิษย์ตั้งกองทุนเยียวยาไปหมดแล้ว สหกรณ์ไม่ติดใจอะไร และทำหนังสือขอบคุณ จะเข้ามาบุกจับหลวงพ่อเพื่อ ??? เงินอีก 90 % ทำไมไม่ไปตาม
3. ชาวพุทธและองค์กรทั่วโลกยอมรับและมอบรางวัลให้กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แต่ในประเทศถวายคดีกว่า 200 คดี หลวงพ่อท่านทำผิดจริงหรือ !!! ผิดปกติเกินไปมั๋ย
4. 2 – 3 วัน ถวายคดีวัดเป็น 200 คดี เอาป้ายไปปิดตามอาคารสถานที่ต่างๆ มันผิดปกติเกินไปหรือไม่ !!! ปู่ย่าตายายจะออกจากวัดเขายังเอารองเท้าเคาะทรายออกก่อน กลัวจะติดไปที่บ้าน ท่านทำอย่างนี้แล้วบรรพบุรุษที่เขารักพระพุทธศาสนาเขาจะมองท่านอย่างไร ???
หรือท่านต้องการจับสึกหลวงพ่อ ล้มวัดพระธรรมกาย และยึดทรัพย์ ใช่หรือไม่ !!! ทำอย่างนี้แล้วใครจะได้ประโยชน์ สมาชิกสหกรณ์หรือเปล่าครับ ท่าน



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
วัดพระธรรมกาย
ทำให้ศาสนาเจริญขึ้น หรือ เสื่อมลง...

ช่างเป็นเนื้อหาที่ท้าทายการพิสูจน์จริงๆครับ

คำสอนของหลวงพ่อธัมมชโย แห่งวัดพระธรรมกาย ที่สอนให้มีการบอกบุญญาติมิตรและคนอื่นที่ไม่รู้จักกันอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ บิดเบือนคำสอนในพระไตรปิฎกหรือไม่ และแล้ว ผมก็ได้ค้นพบความจริงว่า คำสอนที่ตรงข้ามกับที่วัดพระธรรมกายสอน คือสอนให้ทำบุญตามกำลังของตัว อย่าไปเที่ยวบอกบุญคนอื่นให้เดือดร้อนนั้น มีอยู่ในพระไตรปิฏกจริงๆ โดยผู้ที่กล่าวถ้อยคำเช่นนี้ มีฐานะเป็นถึงเศรษฐี ผู้มีฉายาว่า เศรษฐีตีนแมว ครับ

ฉายาของท่านเศรษฐี ตามเรื่องราวที่ปรากฏในพระไตรปิฏก ได้มาในวันที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งไปบอกบุญที่หน้าบ้านเขานั่นเองครับ โดยก่อนหน้านั้น เขาได้ยินเสียงชายหนุ่ม เที่ยวประกาศไปยังชาวบ้านร้านตลาดแถวนั้นมาแต่ไกลแล้วว่า

"ข้าแต่แม่และพ่อทั้งหลาย ข้าพเจ้านิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เพื่อฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้, ผู้ใดปรารถนาจะถวายแก่ภิกษุทั้งหลายมีประมาณเท่าใด, ขอผู้นั้นจงให้วัตถุต่างๆ มีข้าวสาร ยาคูเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่การทำอาหาร เพื่อภิกษุทั้งหลายมีประมาณเท่านั้น พวกเราจักให้หุงต้มในที่แห่งเดียวกันแล้วถวายทาน"

ครั้นเมื่อชายหนุ่มเดินป่าวประกาศมาถึงหน้าบ้านท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีก็นึกโกรธเคืองว่า "เจ้าคนนี้ ไม่นิมนต์ภิกษุแต่พอแก่กำลังของตน ต้องมาเที่ยวชักชวนชาวบ้านทั้งหมดไปร่วมบริจาคด้วยอีก" เดี๋ยวต้องให้รู้ฤทธิ์เราเสียบ้าง ว่าแล้วก็ออกไปพบชายหนุ่ม แล้วกล่าวว่า

"แกจงนำเอาภาชนะที่แกถือมา" ดังนี้แล้ว เอานิ้วมือ ๓ นิ้วหยิบ ได้ให้ข้าวสารหน่อยหนึ่ง ถั่วเขียว ถั่วราชมาษซึ่งเป็นถั่วอีกชนิดหนึ่งในสมัยนั้น อีกหน่อยหนึ่ง

อาการที่เศรษฐีใช้เพียง 3 นิ้ว หยิบอาหารใส่ภาชนะของชายหนุ่มไป เป็นลักษณะของตีนของแมว เศรษฐีนั้น ในกาลต่อมา จึงได้ฉายาว่า พิฬาลปทกเศรษฐี หรือ เศรษฐีตีนแมว ซึ่งเมื่อบริจาคอาหารปรกติ ด้วยกิริยาที่ไม่ปรกติ เรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปก็ถึงคราวจะให้อาหารที่จัดว่าเป็นยา มีเนยใสและน้ำอ้อยเป็นต้น ก็เพียงแต่เอียงปากขวดเข้าที่หม้อ แล้วเทเนยใสและน้ำอ้อยให้ไหลลงทีละหยดๆ ท่านได้ให้บริจาคให้ชายหนุ่มเช่นนี้อย่างหน่อยหนึ่งเท่านั้น

ซึ่งเหตุที่ชายหนุ่ม มาบอกบุญชาวบ้านร้านตลาดรวมถึงเศรษฐีให้ร่วมบุญทำภัตตาหารถวายพระในวันรุ่งขึ้น ก็เนื่องมาจาก การที่เขาได้ไปฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบทหนึ่ง มีเนื้อหาว่า

"อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่น, เขาย่อมได้โภคทรัพย์สมบัติ แต่ไม่ได้บริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้ว, บางคนไม่ให้ทานด้วยตนเอง แต่ชักชวนแต่คนอื่น, เขาย่อมได้บริวารสมบัติ ไม่ได้โภคทรัพย์สมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้ว; บางคนไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย ไม่ชักชวนคนอื่นด้วย, เขาย่อมไม่ได้โภคทรัพย์สมบัติและไม่ได้บริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้ว เป็นคนเที่ยวกินเดน, บางคนให้ทานด้วยตนเองด้วย ชักชวนคนอื่นด้วย, เขาย่อมได้ทั้งโภคสมบัติและบริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้ว"

ชายหนุ่มฟังเช่นนี้ ก็อิ่มเอมใจ พลางนึกว่า "โอ้ แจ่มแจ้งจริงหนอ อย่ากระนั้นเลย เราจะสร้างเหตุให้ได้สมบัติทั้งสอง คือ ทั้งโภคทรัพย์ และพวกพ้องบริวาร" ว่าแล้ว ก็นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดทุกองค์ ไปฉันภัตตาหารที่หมู่บ้านเขาในวันรุ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า ลำพังเขาเองไม่มีทางถวายพระได้หมดทุกองค์ แต่เขาจะใช้วิธีไปบอกบุญชาวบ้านทุกๆ คนในหมู่บ้านนั้นแหละ แล้วก็บอกบุญเรื่อยๆ มา จนมาถึงบ้านของเศรษฐีตีนแมว

ครั้นเมื่อเศรษฐีบริจาคเช่นนี้แล้ว ชายหนุ่ม ก็นำวัตถุทานของคนอื่นมารวมกัน แต่แยกของท่านเศรษฐีไว้ต่างหาก ยังไม่นำไปรวมกับของคนอื่น ทำให้เศรษฐีสงสัยว่า ชายหนุ่มคิดจะประจานตนหรือเปล่า นี่วิสัยคนพาลเป็นเช่นนี้ เขาจึงส่งคนไปสืบที่บ้าน แล้วก็พบว่า ชายหนุ่มแยกของเศรษฐี เพื่อจะอธิษฐานให้ท่านต่างหากเลยว่า "ขอผลบุญใหญ่จงเป็นของท่านเศรษฐีด้วยเถิด" เศรษฐีแม้ทราบอย่างนั้น ก็ยังไม่วางใจ คิดว่า ชายหนุ่มอาจรอเวลาไปประจานตนในวันรุ่งขึ้นที่จะถวายทานก็เป็นได้ ว่าแล้วก็เหน็บกริช (มีดชนิดหนึ่ง) ไป ตั้งใจว่า หากชายหนุ่มประจานตนเมื่อไร ก็เตรียมตัวลาโลกได้เลย

พอวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่ม กับชาวบ้านได้ฟังถวายทานครั้งยิ่งใหญ่ แด่พระศาสดา และพระภิกษุสงฆ์ทุกๆ รูปเลย จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นว่า "ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าชักชวน ชาวบ้านผู้ใจบุญร่วมบริจาคสิ่งของเพื่อประกอบภัตตาหารถวายเป็นทานแด่พระพุทธองค์ และพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งชาวบ้านแต่ละคน ก็ได้บริจาคสิ่งของต่างๆ มากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังของตน ขอผลแห่งทานอันไพศาล จงมีแก่ผู้ถวายทานทุกๆ ท่านด้วยเถิด"

เศรษฐีตีนแมวที่รอฟังเขาประจานตนอยู่ ไม่เห็นเขาประจานใดๆ ตนออกมา ก็รู้สึกว่า ตนคิดร้ายต่อผู้บริสุทธิ์เสียแล้ว กรรมอันใหญ่หลวงเกิดขึ้นแก่ตนแล้ว ว่าแล้วเศรษฐีก็ไปหมอบแทบเท้าของชายหนุ่มพลางขอให้ยกโทษให้ พระพุทธองค์ จึงทรงถามว่า เกิดอะไรขึ้นหรือ เศรษฐีจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระพุทธองค์ และมหาชนได้ทราบ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า "อุบาสก ขึ้นชื่อว่าบุญ อันใครๆ ไม่ควรดูหมิ่นว่า ‘นิดหน่อย,’ อันบุคคลถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเช่นเราเป็นประธานแล้ว ไม่ควรดูหมิ่นว่า ‘เป็นของนิดหน่อย’ ด้วยว่า บุรุษผู้บัณฑิตทำบุญอยู่ย่อมเต็มไปด้วยบุญโดยลำดับแน่แท้ เปรียบเหมือนภาชนะที่เปิดปากย่อมเต็มไปด้วยน้ำ ฉะนั้น"

จะเห็นได้ว่า การหมั่นสะสมบุญ ไม่ว่าจะด้วยตัวเอง และชักชวนให้ผู้คนทั้งหลายมาร่วมบุญด้วยกัน รวมถึงการจัดพิธีทำบุญแบบยิ่งใหญ่ ถวายภัตตาหารพระหมดทุกองค์ ไม่ใช่ถวายแค่องค์สององค์ ก็ล้วนเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกชัดเจน เพียงแต่เป็นการชักชวน ไม่ได้เป็นการบังคับให้เขามาทำบุญ เขาจะทำเท่าไหร่ก็ขึ้นกับจิตศรัทธา เพราะเมื่อตั้งใจถวายแด่พระรัตนตรัย ผลย่อมไพศาล

ช่างน่าคิดว่า หลวงพ่อธัมมชโย ท่านสอนให้ทำบุญ ทั้งทำเอง และบอกบุญชักชวนคนอื่นให้มาทำ กลายเป็นเรื่องบิดเบือน ถึงขนาดคิดขับออกจากพระพุทธศาสนา ถ้างั้นในเมื่อคำสอนเช่นนี้ ถูกต้องตามหลักของพระไตรปิฎก งั้นคนที่สอนว่า ให้ทำตามลำพัง อย่าไปบอกบุญรบกวนใครๆ ให้เดือดร้อน ใครไปทำเช่นนั้นถือว่าผิดนั้น ก็ต้องบิดเบือนพระไตรปิฎกหรือเปล่า แล้วมีโทษถึงขนาดต้องขับออกจากการเป็นชาวพุทธหรือเปล่า

คำตอบคือ ไม่ต้องครับ เพราะศาสนาพุทธเน้นเรื่องความเข้าใจ เมื่อยังไม่เข้าใจ ก็ค่อยๆ มาศึกษาปฏิบัติให้เข้าใจ จะตักบาตรองค์เดียว หรือ เป็นพันเป็นหมื่นองค์ จะสร้างวัดคนเดียว หรือชักชวนบอกบุญทำกันเป็นหมู่คณะใหญ่ ก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา ไม่มีใครผิด ไม่ควรไปขัดแย้งกัน ยังไงเราทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมโลก ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย สักวันทุกๆ ชีวิตก็ย่อมไปสู่เชิงตะกอน ไม่เข้าวัดตอนเป็น ก็ต้องถูกหามเข้าวัดตอนตายอยู่ดี ดังนั้น อยู่ร่วมกันด้วยเข้าใจอันดีต่อกันเถิด จะประเสริฐยิ่ง

ที่มา > http://goo.gl/hn7S8E

อ้างอิงจาก พระไตรปิฎก เรื่องเศรษฐีตีนแมว
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=6
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่