หลายคนน่าจะคุ้นหู มาบ้างแล้วเนาะ
virtual organization หรือเรีกยว่า องค์กรเสมือน คือ องค์กรที่ไม่มีสถานที่ตั้งแน่นอน ติดต่อสื่อสารกับคนในองค์กรโดยระบบออนไลน์ ที่สะดวกปัจจุบันนี้ ก็ได้แก่ อีเมล เฟซบุ๊ค ไลน์ สไกป์ ฯลฯ
ซึ่ง(คิดว่า) ต่างจากฟรีแลนซ์ ก็ตรงที่ ยังมีเงินเดือนประจำ เป็นพนักงานประจำ
...แต่ทั้งสองรูปแบบ มีเวลาพอๆกันที่จะทำงาน ต้องรับผิดชอบพอๆกัน มีอิสระ ทำงานเสร็จโปรเจ็คก็ได้ทำอะไรอย่างอื่นได้
------------------------------
ขอเล่ารูปแบบและที่มาของ virtual organization ขององค์กรตัวเองก่อน
ฉันทำงานเป็นพนักงานประจำ รับเงินเดือนไม่มาก เพราะทำงานให้กับมูลนิธิฯแห่งหนึ่ง ที่ไม่แสวงผลกำไร แต่เป็นมูลนิธิขนาดเล็ก รับบริหารโปรเจ็คเพื่อหาเงินหล่อเลี้ยงการคงอยู่ของมูลนิธิ เปิดรับบริจาคแต่ไม่ค่อยมีคนบริจาคเพราะไม่ได้รับการยกเว้นภาษี
มีพนักงาน 1 คนถ้วน คือ ฉันเอง และคณะกรรมการมูลนิธิอีก 13 คน
-ค่าใช้จ่ายของพนักงาน จ่ายแค่เงินเดือน ประกันสังคม สมทบกองทุน (ไม่มีเงินโบนัส)
-ค่าเช่า น้ำไฟ
-ค่าประสานงาน และจิปาถะที่จำเป็น
-กรรมการทำงานด้วยใจ
ที่ผ่านมา ก็เช่าสถานที่ทำสำนักงาน จ่ายค่าเช่าเดือนละ 1 หมื่น ตั้งอยู่กลางเมืองหลวงกรุงเทพ แต่รู้สึกว่ารับภาวระไม่ค่อยไหวแล้วเพราะมูลนิธิมีรายได้ไม่มาก บวกกับมูลนิธิเคยอยู่ในสถานที่ราชการ ....เมื่อปีที่แล้วหน่วยราชการเขาขอทุบตึก (ใจสลาย) เหล่ามูลนิธิที่ไม่แสวงผลกำไรที่เคยอยู่ด้วยกันเกือบ 10 มูลนิธิ ก็ต้องไปหาที่ตั้งใหม่ที่ถาวรและมั่นคงให้กับองค์กรในอนาคต ...... แต่มูลนิธิของฉัน ไม่สามารถนำเงินมูลนิธิที่มีน้อยนิดไปซื้อตึกสำนักงานได้ หรือหาเช่าก็คงไม่มีที่ต่ำกว่า 1 หมื่น จึงทำเรื่องขออยู่กับหน่วยงานราชการ(ชั่วคราว)ต่อไปอีก 1 ปี และหมดสัญญาสิ้นปี 59 ที่จะถึงไม่กี่วันนี้
งานที่ฉันทำ ก็มี
1.งานมูลนิธิทั้งหมด ดูแลความเรีบนร้อยทั้งการงานและค่าใช้จ่าย 2.งานโปรเจ็ครับบริหารโครงการ 3.ขายของออนไลน์โดยอาศัยพื้นที่กลางเมืองหลวงนี่แหละในการซื้อของ ส่งของ และ 4.ตัวเองก็ไปเรียนต่อป.เอกวันเสาร์ อาทิตย์
ทีนี้ทำให้ตัวเองเหนื่อยมาก เพราะต้องเดินทางตลอดเวลา ทำงานและเรียนแบบ non stop ....ฉันกลับมาคิดว่า ฉันทำงานในลักษณะงานอาสาสมัคร ... "การจะทำงานอาสา เสมือนการส่งมอบความสุขให้แก่ผู้อื่น ผู้ส่งมอบความสุขนั้นก็ต้องมีความสุขที่เปี่ยมล้นเสียก่อน" ก็เลยพยายามจัดการปัญหาภายในองค์กร และปัญหาของตัวเอง เวลาติดต่อสื่อสารหรือส่งมอบสิ่งดีๆ ให้แก่คนอื่น จะได้บริการและยิ้มออกมาจากหัวใจ
จึงนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม ขอให้กรรมการหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้ชีวิตคนทำงาน 1 คนนี้สมดุล ทั้งการทำงาน เรียน ขายของ และการใช้ชีวิต
กรรมการทุกท่านใจดีที่สุดในสามโลก มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป โดยฉันมีเงื่อนไข คือ
1. อุปกรณ์สำนักงานและโครงการต้องอยู่กับฉัน เพราะต้องใช้ทำงาน
2. ฉันสามารถขายของต่อได้ เพราะเป็นทุนสำหรับเรียนต่อและหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองและครอบครัว (เงินเดือนประจำไม่มาก แต่ทำแล้วมีความสุข เจ้านายน่ารัก คนทำงานด้วยก็น่ารักเสมอๆ เลยมองข้ามเรื่องเงินเดือนไป)
3. มูลนิธิสามารถลดค่าใช้จ่ายลงให้มากที่สุด เพื่อหล่อเลี้ยงมูลนิธิต่อไป ในสถานการณ์โลกที่ผันผวนไม่แน่นอน
กรรมการมีมติให้ ...
1.ฉันสามารถย้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการทำงานมูลนิธิและโครงการเข้าที่พักตัวเอง ให้ทำงานที่บ้านตัวเอง ให้อิสระในการทำงาน ให้อิสระในการเรียน หรืออื่นๆ โดยที่ไม่กระทบงานประจำ (ให้วางแผนการทำงาน เรียน หรืออื่น มาเสนอ)
2.โดยมูลนิธิออกค่าเช่าห้องสำนักงานให้ ซึ่งราคาไม่แพง แค่ 2500 บาทต่อเดือน (ห้องสำนักงาน แยกจากห้องพักของตัวเอง เพื่อจะได้ไม่แออัด)
3.การติดต่อสื่อสาร ก็ผ่านเทคโนโลยี แล้วแต่สะดวก
4.หากมีประชุมที่ต้องพบปะหน้าตา มีสโมสรของประธานมูลนิธิอยู่แล้ว สามารถขอให้ที่ประชุมได้
5.ติดต่อกับเลขามูลนิธิเสมอ เพื่อรายงานการดำเนินงานของมูลนิธ (ซึ่งติดต่อกับแทบทุกวันอยู่แล้ว)
จึงเป็นที่มาของ virtual organization ที่คิดว่า คงจะลงตัวดี (มั้ง)
แต่ต้องมีความรับผิดชอบมาก ต้องวางแผนการทำงาน การใช้ชีวิตให้ดี เพราะ "เมื่อกรรมการไว้ใจเรา เราเองก็ต้องทำให้สมกับที่เขาไว้ใจ ทั้งเรื่อง การงาน การเงินมูลนิธิ เสมือนหนึ่งเป็นธุรกิจของตัวเองที่ต้องทำให้อยู่รอด"
------------------
virtual organization มีแนวโน้มมากขึ้นในอนาคต เพราะตอบสนองการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ และเทคโลโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
มีความคิดเห็นว่าอย่างไรกันบ้างคะ
มีองค์กรไหนที่ทำแล้วสำเร็จ เจ้าขององค์กรแฮปปี้ คนทำงานแฮปปี้ไหมคะ
ขอบคุณค่ะ
virtual organization คิดยังไงกับองค์กรแบบนี้คะ
virtual organization หรือเรีกยว่า องค์กรเสมือน คือ องค์กรที่ไม่มีสถานที่ตั้งแน่นอน ติดต่อสื่อสารกับคนในองค์กรโดยระบบออนไลน์ ที่สะดวกปัจจุบันนี้ ก็ได้แก่ อีเมล เฟซบุ๊ค ไลน์ สไกป์ ฯลฯ
ซึ่ง(คิดว่า) ต่างจากฟรีแลนซ์ ก็ตรงที่ ยังมีเงินเดือนประจำ เป็นพนักงานประจำ
...แต่ทั้งสองรูปแบบ มีเวลาพอๆกันที่จะทำงาน ต้องรับผิดชอบพอๆกัน มีอิสระ ทำงานเสร็จโปรเจ็คก็ได้ทำอะไรอย่างอื่นได้
------------------------------
ขอเล่ารูปแบบและที่มาของ virtual organization ขององค์กรตัวเองก่อน
ฉันทำงานเป็นพนักงานประจำ รับเงินเดือนไม่มาก เพราะทำงานให้กับมูลนิธิฯแห่งหนึ่ง ที่ไม่แสวงผลกำไร แต่เป็นมูลนิธิขนาดเล็ก รับบริหารโปรเจ็คเพื่อหาเงินหล่อเลี้ยงการคงอยู่ของมูลนิธิ เปิดรับบริจาคแต่ไม่ค่อยมีคนบริจาคเพราะไม่ได้รับการยกเว้นภาษี
มีพนักงาน 1 คนถ้วน คือ ฉันเอง และคณะกรรมการมูลนิธิอีก 13 คน
-ค่าใช้จ่ายของพนักงาน จ่ายแค่เงินเดือน ประกันสังคม สมทบกองทุน (ไม่มีเงินโบนัส)
-ค่าเช่า น้ำไฟ
-ค่าประสานงาน และจิปาถะที่จำเป็น
-กรรมการทำงานด้วยใจ
ที่ผ่านมา ก็เช่าสถานที่ทำสำนักงาน จ่ายค่าเช่าเดือนละ 1 หมื่น ตั้งอยู่กลางเมืองหลวงกรุงเทพ แต่รู้สึกว่ารับภาวระไม่ค่อยไหวแล้วเพราะมูลนิธิมีรายได้ไม่มาก บวกกับมูลนิธิเคยอยู่ในสถานที่ราชการ ....เมื่อปีที่แล้วหน่วยราชการเขาขอทุบตึก (ใจสลาย) เหล่ามูลนิธิที่ไม่แสวงผลกำไรที่เคยอยู่ด้วยกันเกือบ 10 มูลนิธิ ก็ต้องไปหาที่ตั้งใหม่ที่ถาวรและมั่นคงให้กับองค์กรในอนาคต ...... แต่มูลนิธิของฉัน ไม่สามารถนำเงินมูลนิธิที่มีน้อยนิดไปซื้อตึกสำนักงานได้ หรือหาเช่าก็คงไม่มีที่ต่ำกว่า 1 หมื่น จึงทำเรื่องขออยู่กับหน่วยงานราชการ(ชั่วคราว)ต่อไปอีก 1 ปี และหมดสัญญาสิ้นปี 59 ที่จะถึงไม่กี่วันนี้
งานที่ฉันทำ ก็มี
1.งานมูลนิธิทั้งหมด ดูแลความเรีบนร้อยทั้งการงานและค่าใช้จ่าย 2.งานโปรเจ็ครับบริหารโครงการ 3.ขายของออนไลน์โดยอาศัยพื้นที่กลางเมืองหลวงนี่แหละในการซื้อของ ส่งของ และ 4.ตัวเองก็ไปเรียนต่อป.เอกวันเสาร์ อาทิตย์
ทีนี้ทำให้ตัวเองเหนื่อยมาก เพราะต้องเดินทางตลอดเวลา ทำงานและเรียนแบบ non stop ....ฉันกลับมาคิดว่า ฉันทำงานในลักษณะงานอาสาสมัคร ... "การจะทำงานอาสา เสมือนการส่งมอบความสุขให้แก่ผู้อื่น ผู้ส่งมอบความสุขนั้นก็ต้องมีความสุขที่เปี่ยมล้นเสียก่อน" ก็เลยพยายามจัดการปัญหาภายในองค์กร และปัญหาของตัวเอง เวลาติดต่อสื่อสารหรือส่งมอบสิ่งดีๆ ให้แก่คนอื่น จะได้บริการและยิ้มออกมาจากหัวใจ
จึงนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม ขอให้กรรมการหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้ชีวิตคนทำงาน 1 คนนี้สมดุล ทั้งการทำงาน เรียน ขายของ และการใช้ชีวิต
กรรมการทุกท่านใจดีที่สุดในสามโลก มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป โดยฉันมีเงื่อนไข คือ
1. อุปกรณ์สำนักงานและโครงการต้องอยู่กับฉัน เพราะต้องใช้ทำงาน
2. ฉันสามารถขายของต่อได้ เพราะเป็นทุนสำหรับเรียนต่อและหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองและครอบครัว (เงินเดือนประจำไม่มาก แต่ทำแล้วมีความสุข เจ้านายน่ารัก คนทำงานด้วยก็น่ารักเสมอๆ เลยมองข้ามเรื่องเงินเดือนไป)
3. มูลนิธิสามารถลดค่าใช้จ่ายลงให้มากที่สุด เพื่อหล่อเลี้ยงมูลนิธิต่อไป ในสถานการณ์โลกที่ผันผวนไม่แน่นอน
กรรมการมีมติให้ ...
1.ฉันสามารถย้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการทำงานมูลนิธิและโครงการเข้าที่พักตัวเอง ให้ทำงานที่บ้านตัวเอง ให้อิสระในการทำงาน ให้อิสระในการเรียน หรืออื่นๆ โดยที่ไม่กระทบงานประจำ (ให้วางแผนการทำงาน เรียน หรืออื่น มาเสนอ)
2.โดยมูลนิธิออกค่าเช่าห้องสำนักงานให้ ซึ่งราคาไม่แพง แค่ 2500 บาทต่อเดือน (ห้องสำนักงาน แยกจากห้องพักของตัวเอง เพื่อจะได้ไม่แออัด)
3.การติดต่อสื่อสาร ก็ผ่านเทคโนโลยี แล้วแต่สะดวก
4.หากมีประชุมที่ต้องพบปะหน้าตา มีสโมสรของประธานมูลนิธิอยู่แล้ว สามารถขอให้ที่ประชุมได้
5.ติดต่อกับเลขามูลนิธิเสมอ เพื่อรายงานการดำเนินงานของมูลนิธ (ซึ่งติดต่อกับแทบทุกวันอยู่แล้ว)
จึงเป็นที่มาของ virtual organization ที่คิดว่า คงจะลงตัวดี (มั้ง)
แต่ต้องมีความรับผิดชอบมาก ต้องวางแผนการทำงาน การใช้ชีวิตให้ดี เพราะ "เมื่อกรรมการไว้ใจเรา เราเองก็ต้องทำให้สมกับที่เขาไว้ใจ ทั้งเรื่อง การงาน การเงินมูลนิธิ เสมือนหนึ่งเป็นธุรกิจของตัวเองที่ต้องทำให้อยู่รอด"
------------------
virtual organization มีแนวโน้มมากขึ้นในอนาคต เพราะตอบสนองการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ และเทคโลโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
มีความคิดเห็นว่าอย่างไรกันบ้างคะ
มีองค์กรไหนที่ทำแล้วสำเร็จ เจ้าขององค์กรแฮปปี้ คนทำงานแฮปปี้ไหมคะ
ขอบคุณค่ะ