สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเรา ถ้าผิดพลาดประการใดก็อย่าด่ากันเลยนะคะ เพราะไปมาแล้ว (ล้อเล่นค่ะ 555)
ขอเกริ่นก่อนเลยว่าเราเป็นคนที่ชอบเที่ยวกับครอบครัวมากๆค่ะ ซึ่งปกติผู้ใหญ่จะเป็นคนจัดทริป พอเราเริ่มทำงานก็เลยอยากลองจัดทริปพาพวกเขาไปบ้าง ครั้งนี้เราพาพ่อกับแม่และน้องไปค่ะ (ปกติเราจะเที่ยวเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราวางแผนเองเลยพาไปเท่านี้ก่อน 555)
ทริปนี้จึงเหมาะกับคนที่เริ่มต้นพาครอบครัวเดี่ยวไปเที่ยวมากๆค่ะ เบาๆ ใสๆ สไตล์ผู้สูงวัย ใกล้เกษียณ (อย่าลืมพกยาคลายกรด ยาแก้ท้องเสีย เกลือแร่ และยาแก้เมารถไปด้วยนะคะ จะได้เที่ยวสนุกไร้ความกังวลค่ะ)
DAY 1 : 17.12.16
เข้าเรื่องกันเลยนะคะ เราเดินทางโดยรถส่วนตัวค่ะ ล้อหมุนออกจากบ้านเวลาตี 5 ครึ่ง เราจองรอบเข้าชมที่อัลปาก้าฮิลล์ (Alpaca Hill) ไว้ตอน 9 โมงเช้าค่ะ ประมาณ เกือบ 7 โมง ก็ถึงตัวเมืองราชบุรี เราเลยแวะทานอาหารที่นั่นเลย (เรามาทานร้านนี้เพราะเป็นร้านโปรดของพ่อ ตอนที่เคยอยู่ราชบุรีค่ะ แต่ถ้าเอาสะดวกตรงทางเข้าสวนผึ้งก็จะมีร้านโจ้กตรงข้ามเซเว่นก็น่าทานเหมือนกัน)

หลังจากทานอิ่มแล้วก็ตรงไปยังสวนผึ้งเลยค่ะ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3208 ถ้าใครมีสมาร์ทโฟนก็จิ้ม Google Map ปักหมุดไว้ที่อัลปาก้าฮิลล์ได้เลย ระหว่างทางมีปั้มอยู่บ้าง ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็เติมไว้กันเหนียวนะคะ พอเข้ามาถึงอำเภอสวนผึ้ง ระหว่างทางจะมีป้ายของ Alpaca Hill บอกเป็นระยะๆ

ในที่สุดเราก็มาถึงที่หมายก่อนเวลาประมาณ 10 นาที เลยใช้โอกาสนี้ถ่ายรูปบรรยากาศภายนอกกันก่อน

ขอบอกว่าช่วงนี้อากาศดีมากๆ ที่สำคัญคือไม่มีแดดเลยค่ะ เดินได้สบายๆ ส.ว. เดินแล้วไม่ค่อยเหนื่อยแน่นอนค่ะ

ข้างในฟาร์มมีร้านกาแฟอยู่ถ้าใครติดกาแฟก็แวะก่อนเข้าได้เลย

เราจองบัตรล่วงหน้าในเว็บราคา 290 บาท (VIP TICKET) บัตรทุกใบสามารถดูสัตว์ได้ทุกชนิดแต่จะต่างกันตรงที่กิจกรรมค่ะ (ปล.ผู้ส.ว. อายุเกิน 60 ปี งานนี้เข้าฟรีนะคะ) พอถึงหน้าเคาเตอร์ก็บอกชื่อ-นามสกุลแล้วเข้าได้เลย ใครที่ยังไม่จองก็สามารถไปซื้อที่ฟาร์มได้ค่ะ

พอเข้าไปทางฟาร์มจะให้ถุงผ้าที่ใส่แผนที่และอาหารสำหรับอัลปาก้า 1 ถาด (ส่วนสัตว์ตัวอื่นๆทางฟาร์มจะมีไว้ให้ตามบ้านของสัตว์ต่างๆ)

เมื่อฟังคำแนะนำของวิทยากรเสร็จแล้วก็ไปฆ่าเชื้อ จากนั้นก็ลุยเลย
เราสามารถป้อนอาหารกับน้องๆและเล่นกับเขาได้เกือบทุกตัวเลยค่ะ (ถ้าเขาไม่หนีเรานะ 555)

และแล้วเราก็มาเจอพระเอกของงาน เจ้าอัลปาก้าน้อย (เราชอบทรงผมตัวนี้มาก เหมือนจิ๋กโก๋ดี)

ในฟาร์มค่อนข้างกว้างกว่าที่เราคิดมากๆ

สิ่งที่เราประทับใจที่นี่คือพนักงานทุกคนเอ็นดูน้องๆมาก (ขอเรียกสัตว์ในฟาร์มว่าน้องนะคะ) และน้องๆก็เป็นมิตรมาก

ส่วนอาหารแกะให้ได้ไม่อั้นเลยค่ะ ให้จนเหนื่อย พนักงานถามว่าเอาอีกไหม เรานี่บอกปัดเลยค่ะ

มาถึงตรงเขาวงกต ถ้าสูงวัยประมาณ 50 ขึ้นไปแนะนำว่าให้รออยู่ข้างนอกแบบพ่อของเราค่ะ เดี๋ยวจะมึนแต่ถ้าอยากเล่นก็เล่นได้เลย แล้วจะเป็นแบบแม่ของเราค่ะ ลูกๆแข่งกันจนถึงเส้นชัยแล้วแต่แม่ยังออกไม่ได้ เรากับน้องเลยต้องเข้าไปช่วยแม่ 5555

เราชอบกิจกรรมนี้เพราะสนุกค่ะ เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง จะบอกว่าเราถึงเส้นชัยคนแรก ขออวดแปป

หลังจากชมครบก็รับของที่ระลึกเป็นขนของน้องอัลปาก้า นุ่มมากๆๆๆ (สำหรับคนที่ซื้อบัตรอีกราคาก็จะได้เล่นกิจกรรมเก็บไข่ และอีกมากมายเพิ่ม ) สามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ของฟาร์มได้เลย
http://www.alpacahill.com (ครอบครัวเราใช้เวลาที่นี่ค่อนข้างนานนิดนึงเพราะชอบสัตว์มากกกกกกกกกกกก เห็นบางกรุ้ปมานั่งในร้านกาแฟตอนหลังบอกเดินไม่ครบ ถ้าใครจะไปต่อที่อื่นก็กะเวลากันดีๆนะคะ)

แน่นอนว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง พอเที่ยงปุ้ปเราก็พาพ่อกับแม่ไปทานของอร่อยๆกันต่อเลยค่ะ ร้านที่เราไปคือร้านไส้กรอกเยอรมัน (German Sausage) เรื่องบรรยากาศเราว่าร้านนี้ไม่แพ้ใครแน่นอน

บรรยากาศในร้านตกแต่งแนวคันทรี่นิดๆ พ่อเราประทับใจที่นี่มากๆ

ก่อนไปอาจต้องโทรจองก่อนนะคะเพราะที่นี่เขามีโต๊ะไม่มากและอาหารหมดเร็วมาก

แต่ถึงอย่างนั้นคนก็ไม่วุ่นวายเหมือนร้านอาหารทั่วไป อาหารแต่ละชนิดก็อร่อยมากๆ

มีเมนูให้เลือกไม่มากแต่รับรองอร่อยทุกเมนูค่ะ

ที่สำคัญ ราคาน่ารัก ให้คะแนนเต็มเลย สำหรับร้านนี้ (เผื่อใครจะไป โทรไปจองก่อนจะดีกว่านะคะ เพราะทางขึ้นไปร้านอาหารค่อนข้างแอดเวนเจอร์สำหรับส.ว.นิดนึงค่ะ จะได้ไม่เสียเที่ยว
https://www.facebook.com/german.sausages.suanpeung/?fref=ts)

ทานของคาวแล้วก็ไปทานของหวานต่อกันเลย ร้านนี้ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี ขับรถเลยมาทางบ่อคลึงแปปนึงก็ถึงแล้ว นั่นก็คือร้านต้นขนมหวานสะพานกาแฟค่ะ (ร้านนี้น้องสาวแนะนำ อยู่ตรงบริเวณหน้า บัววัฒนาฯ รีสอร์ท)

บรรยากาศภายในออกแนววินเทจและสะอาดมาก (ปกติเราจะไม่ค่อยชอบอะไรที่วินเทจเท่าไหร่ค่ะ จะหลอน นึกถึงฝุ่น แต่ร้านนี้สะอาดจริงๆ)

ในร้านยังมีใบทำนายดวงตามวันเกิดให้อ่านด้วย น่ารักตรงนี้

ส่วนบรรยากาศภายนอกนั้นเป็นน้ำตกที่ไหลมาจากน้ำตกเก้าชั้น

นั่งอยู่ในร้านก็สามารถเห็นบรรยากาศได้เพราะกำแพงร้านเป็นกระจกใสบานใหญ่ วิวเต็ม 10 ให้ 9.5 เลย หัก .5 เพราะไปตอนเทียงพอดี ที่นั่งริมหน้าต่างจะโดนแดดค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าใครชอบแดดก็ให้เต็ม 10 ไปเลยค่ะ

แดดเริ่มน้อยลงแล้ว ท้องก็อิ่มแล้ว พาพ่อกับแม่ไปไหว้พระกันค่ะ แต่ก่อนจะไป เราแอบแวะฟาร์มเมล่อน (Coro Field) แปปนึง ด้วยความที่กลัวว่าจะถึงที่พักมืดและบวกกับคนที่ร้านเยอะมากๆ พอทานเมล่อนเสร็จเราก็เดินทางไปยังวัดเลยค่ะ (ไม่รู้ว่าเพราะวันที่เราไปคนเยอะด้วยรึป่าว แต่เราว่าค่าเข้าไปทำกิจกรรม ค่อนข้างสูงไปนิด 5555 เราเลยทานแต่เมล่อน ขนมและก็น้ำของที่นี่ค่ะ แต่กิจกรรมอื่นๆ ยังไม่ได้เข้าไป แต่ถ้าใครมีความอู้ฟู้พอประมาณก็ลองดูนะคะ น่าสนุกอยู่)

วัดที่เราจะไปคือวัดป่าพระธาตุเขาน้อยค่ะ สามารถไปได้ทั้งทางลัดและทางหลักนะคะ ถ้าออกมากจาก Coro Field ถนนจะอยู่ทางซ้ายมือ มีป้ายเขียนอยู่ว่าไปบ้านคาค่ะ ให้เลี้ยวไปตามทางได้เลย ทางนี้ค่อนข้างถึงไวเหมือนกัน รถไม่เยอะ ถ้าไม่แน่ใจ จิ้ม Google Mapโลดด

ถ้าขึ้นไปบนพระธาตุจะเราสามารถชมบรรยากาศของเมืองได้ (ที่นี่ยังเป็นสถานปฏิบัติธรรมด้วยนะ)

ไหว้พระทำบุญเสร็จแล้ว พาพ่อแม่ไปพักกันค่ะ ทริปนี้เราไม่อัดสถานที่ให้ท่านมากเพราะเราไม่อยากให้เขารู้สึกเหนื่อยเดี่ยวจากสนุก จะกลายเป็นล้าแทน เราพักที่ บ้านระเบียงหมอกรีสอร์ทค่ะ (แม่แฟนแนะนำมาอีกที)

บรรยากาศโดยรวมโอเคเลยภายนอก มีสระว่ายน้ำ ห้องอบตัว ห้องคาราโอเกะ ลานกางเต้นท์ มีบริการจักรยานฟรี และที่สำคัญอยู่ใกล้บ่อน้ำพุ่ร้อนโป่งกระทิง ที่เราจะพาพ่อกับแม่ไปในวันรุ่งขึ้นค่ะ (จริงๆมีกิจกรรมให้ทำเยอะอยู่นะคะ รายละเอียดลองเข้าไปดูกันได้
http://www.baanrabeangmok.com/)

ส่วนที่พักในตอนแรกเราจอง 1 ห้องสำหรับ 3 คน (มีไมโครเวฟ ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น โต๊ะน้อยทานข้าว) คือให้พ่อแม่และน้องนอนด้วยกัน แล้วเรากับแฟนจะกางเต้นท์บริเวณหน้าห้อง (มีความโรแมนติกไปอีก) แต่วันนั้นอากาศข้างนอกหนาวกว่าในห้องอีกค่ะ ทนความหนาวไม่ไหว วิ่งเข้าห้องไปขอนอนกับพ่อแม่แล้วเอาถุงนอนไปนอนบนพื้นแทนค่ะ 5555555 ห้องค่อนข้างกว้างและโต๊ะเก้าอี้สามารถพับเก็บได้นะคะ (เราไม่ได้ถ่ายบรรยากาศในห้องมา เข้าไปดูในเว็บกันเอานะคะ เพราะของค่อนข้างเยอะ สภาพไม่น่าชม ส่วนภาพนี้เป็นหลังบ้านที่เราเพิ่งเห็นตอนเช้าค่ะ) ตอนเย็นเราก็ทานอาหารที่ครัวระเบียงหมอกในรีสอร์ท (จะบอกว่าอาหารอร่อยมากๆ แต่ถ้าใครไปกันเยอะๆ สามารถไปปิ้งบาร์บีคิวหรือทำอาหารบริเวณหน้าที่พักได้นะคะ เห็นมีคนทำอยู่ อากาศหนาวๆ ปิ้งบาร์บีคิวอุ่นๆ น่าจะฟินดีค่ะ)

ลืมบอกว่าก่อนทานข้าวเย็น เรากับน้องและแฟนก็ปั่นจักรยานไปสำรวจทางที่จะไปในวันรุ่งขึ้นก่อนค่ะ วิวระหว่างทางจะเป็นเขื่อนเก็บน้ำที่มีภูเขาล้อบรอบ แต่เราไม่ได้พกกล้องหรือมือถือไป ด้วยความที่กลัวว่าลิงจะมาแย่ง (อ่านในรีวิเห็นคนบอกระวังลิง) เลยปั่นไปแบบไม่มีอะไรติดตัว ได้สูดอากาศแบบเต็
[CR] จัดทริป พาพ่อแม่เที่ยวสวนผึ้ง-บ้านคา 2 วัน 1 คืน
ขอเกริ่นก่อนเลยว่าเราเป็นคนที่ชอบเที่ยวกับครอบครัวมากๆค่ะ ซึ่งปกติผู้ใหญ่จะเป็นคนจัดทริป พอเราเริ่มทำงานก็เลยอยากลองจัดทริปพาพวกเขาไปบ้าง ครั้งนี้เราพาพ่อกับแม่และน้องไปค่ะ (ปกติเราจะเที่ยวเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราวางแผนเองเลยพาไปเท่านี้ก่อน 555)
ทริปนี้จึงเหมาะกับคนที่เริ่มต้นพาครอบครัวเดี่ยวไปเที่ยวมากๆค่ะ เบาๆ ใสๆ สไตล์ผู้สูงวัย ใกล้เกษียณ (อย่าลืมพกยาคลายกรด ยาแก้ท้องเสีย เกลือแร่ และยาแก้เมารถไปด้วยนะคะ จะได้เที่ยวสนุกไร้ความกังวลค่ะ)
DAY 1 : 17.12.16
เข้าเรื่องกันเลยนะคะ เราเดินทางโดยรถส่วนตัวค่ะ ล้อหมุนออกจากบ้านเวลาตี 5 ครึ่ง เราจองรอบเข้าชมที่อัลปาก้าฮิลล์ (Alpaca Hill) ไว้ตอน 9 โมงเช้าค่ะ ประมาณ เกือบ 7 โมง ก็ถึงตัวเมืองราชบุรี เราเลยแวะทานอาหารที่นั่นเลย (เรามาทานร้านนี้เพราะเป็นร้านโปรดของพ่อ ตอนที่เคยอยู่ราชบุรีค่ะ แต่ถ้าเอาสะดวกตรงทางเข้าสวนผึ้งก็จะมีร้านโจ้กตรงข้ามเซเว่นก็น่าทานเหมือนกัน)
หลังจากทานอิ่มแล้วก็ตรงไปยังสวนผึ้งเลยค่ะ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3208 ถ้าใครมีสมาร์ทโฟนก็จิ้ม Google Map ปักหมุดไว้ที่อัลปาก้าฮิลล์ได้เลย ระหว่างทางมีปั้มอยู่บ้าง ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็เติมไว้กันเหนียวนะคะ พอเข้ามาถึงอำเภอสวนผึ้ง ระหว่างทางจะมีป้ายของ Alpaca Hill บอกเป็นระยะๆ
ในที่สุดเราก็มาถึงที่หมายก่อนเวลาประมาณ 10 นาที เลยใช้โอกาสนี้ถ่ายรูปบรรยากาศภายนอกกันก่อน
ขอบอกว่าช่วงนี้อากาศดีมากๆ ที่สำคัญคือไม่มีแดดเลยค่ะ เดินได้สบายๆ ส.ว. เดินแล้วไม่ค่อยเหนื่อยแน่นอนค่ะ
ข้างในฟาร์มมีร้านกาแฟอยู่ถ้าใครติดกาแฟก็แวะก่อนเข้าได้เลย
เราจองบัตรล่วงหน้าในเว็บราคา 290 บาท (VIP TICKET) บัตรทุกใบสามารถดูสัตว์ได้ทุกชนิดแต่จะต่างกันตรงที่กิจกรรมค่ะ (ปล.ผู้ส.ว. อายุเกิน 60 ปี งานนี้เข้าฟรีนะคะ) พอถึงหน้าเคาเตอร์ก็บอกชื่อ-นามสกุลแล้วเข้าได้เลย ใครที่ยังไม่จองก็สามารถไปซื้อที่ฟาร์มได้ค่ะ
พอเข้าไปทางฟาร์มจะให้ถุงผ้าที่ใส่แผนที่และอาหารสำหรับอัลปาก้า 1 ถาด (ส่วนสัตว์ตัวอื่นๆทางฟาร์มจะมีไว้ให้ตามบ้านของสัตว์ต่างๆ)
เมื่อฟังคำแนะนำของวิทยากรเสร็จแล้วก็ไปฆ่าเชื้อ จากนั้นก็ลุยเลย
เราสามารถป้อนอาหารกับน้องๆและเล่นกับเขาได้เกือบทุกตัวเลยค่ะ (ถ้าเขาไม่หนีเรานะ 555)
และแล้วเราก็มาเจอพระเอกของงาน เจ้าอัลปาก้าน้อย (เราชอบทรงผมตัวนี้มาก เหมือนจิ๋กโก๋ดี)
ในฟาร์มค่อนข้างกว้างกว่าที่เราคิดมากๆ
สิ่งที่เราประทับใจที่นี่คือพนักงานทุกคนเอ็นดูน้องๆมาก (ขอเรียกสัตว์ในฟาร์มว่าน้องนะคะ) และน้องๆก็เป็นมิตรมาก
ส่วนอาหารแกะให้ได้ไม่อั้นเลยค่ะ ให้จนเหนื่อย พนักงานถามว่าเอาอีกไหม เรานี่บอกปัดเลยค่ะ
มาถึงตรงเขาวงกต ถ้าสูงวัยประมาณ 50 ขึ้นไปแนะนำว่าให้รออยู่ข้างนอกแบบพ่อของเราค่ะ เดี๋ยวจะมึนแต่ถ้าอยากเล่นก็เล่นได้เลย แล้วจะเป็นแบบแม่ของเราค่ะ ลูกๆแข่งกันจนถึงเส้นชัยแล้วแต่แม่ยังออกไม่ได้ เรากับน้องเลยต้องเข้าไปช่วยแม่ 5555
เราชอบกิจกรรมนี้เพราะสนุกค่ะ เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง จะบอกว่าเราถึงเส้นชัยคนแรก ขออวดแปป
หลังจากชมครบก็รับของที่ระลึกเป็นขนของน้องอัลปาก้า นุ่มมากๆๆๆ (สำหรับคนที่ซื้อบัตรอีกราคาก็จะได้เล่นกิจกรรมเก็บไข่ และอีกมากมายเพิ่ม ) สามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ของฟาร์มได้เลย http://www.alpacahill.com (ครอบครัวเราใช้เวลาที่นี่ค่อนข้างนานนิดนึงเพราะชอบสัตว์มากกกกกกกกกกกก เห็นบางกรุ้ปมานั่งในร้านกาแฟตอนหลังบอกเดินไม่ครบ ถ้าใครจะไปต่อที่อื่นก็กะเวลากันดีๆนะคะ)
แน่นอนว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง พอเที่ยงปุ้ปเราก็พาพ่อกับแม่ไปทานของอร่อยๆกันต่อเลยค่ะ ร้านที่เราไปคือร้านไส้กรอกเยอรมัน (German Sausage) เรื่องบรรยากาศเราว่าร้านนี้ไม่แพ้ใครแน่นอน
บรรยากาศในร้านตกแต่งแนวคันทรี่นิดๆ พ่อเราประทับใจที่นี่มากๆ
ก่อนไปอาจต้องโทรจองก่อนนะคะเพราะที่นี่เขามีโต๊ะไม่มากและอาหารหมดเร็วมาก
แต่ถึงอย่างนั้นคนก็ไม่วุ่นวายเหมือนร้านอาหารทั่วไป อาหารแต่ละชนิดก็อร่อยมากๆ
มีเมนูให้เลือกไม่มากแต่รับรองอร่อยทุกเมนูค่ะ
ที่สำคัญ ราคาน่ารัก ให้คะแนนเต็มเลย สำหรับร้านนี้ (เผื่อใครจะไป โทรไปจองก่อนจะดีกว่านะคะ เพราะทางขึ้นไปร้านอาหารค่อนข้างแอดเวนเจอร์สำหรับส.ว.นิดนึงค่ะ จะได้ไม่เสียเที่ยว https://www.facebook.com/german.sausages.suanpeung/?fref=ts)
ทานของคาวแล้วก็ไปทานของหวานต่อกันเลย ร้านนี้ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี ขับรถเลยมาทางบ่อคลึงแปปนึงก็ถึงแล้ว นั่นก็คือร้านต้นขนมหวานสะพานกาแฟค่ะ (ร้านนี้น้องสาวแนะนำ อยู่ตรงบริเวณหน้า บัววัฒนาฯ รีสอร์ท)
บรรยากาศภายในออกแนววินเทจและสะอาดมาก (ปกติเราจะไม่ค่อยชอบอะไรที่วินเทจเท่าไหร่ค่ะ จะหลอน นึกถึงฝุ่น แต่ร้านนี้สะอาดจริงๆ)
ในร้านยังมีใบทำนายดวงตามวันเกิดให้อ่านด้วย น่ารักตรงนี้
ส่วนบรรยากาศภายนอกนั้นเป็นน้ำตกที่ไหลมาจากน้ำตกเก้าชั้น
นั่งอยู่ในร้านก็สามารถเห็นบรรยากาศได้เพราะกำแพงร้านเป็นกระจกใสบานใหญ่ วิวเต็ม 10 ให้ 9.5 เลย หัก .5 เพราะไปตอนเทียงพอดี ที่นั่งริมหน้าต่างจะโดนแดดค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าใครชอบแดดก็ให้เต็ม 10 ไปเลยค่ะ
แดดเริ่มน้อยลงแล้ว ท้องก็อิ่มแล้ว พาพ่อกับแม่ไปไหว้พระกันค่ะ แต่ก่อนจะไป เราแอบแวะฟาร์มเมล่อน (Coro Field) แปปนึง ด้วยความที่กลัวว่าจะถึงที่พักมืดและบวกกับคนที่ร้านเยอะมากๆ พอทานเมล่อนเสร็จเราก็เดินทางไปยังวัดเลยค่ะ (ไม่รู้ว่าเพราะวันที่เราไปคนเยอะด้วยรึป่าว แต่เราว่าค่าเข้าไปทำกิจกรรม ค่อนข้างสูงไปนิด 5555 เราเลยทานแต่เมล่อน ขนมและก็น้ำของที่นี่ค่ะ แต่กิจกรรมอื่นๆ ยังไม่ได้เข้าไป แต่ถ้าใครมีความอู้ฟู้พอประมาณก็ลองดูนะคะ น่าสนุกอยู่)
วัดที่เราจะไปคือวัดป่าพระธาตุเขาน้อยค่ะ สามารถไปได้ทั้งทางลัดและทางหลักนะคะ ถ้าออกมากจาก Coro Field ถนนจะอยู่ทางซ้ายมือ มีป้ายเขียนอยู่ว่าไปบ้านคาค่ะ ให้เลี้ยวไปตามทางได้เลย ทางนี้ค่อนข้างถึงไวเหมือนกัน รถไม่เยอะ ถ้าไม่แน่ใจ จิ้ม Google Mapโลดด
ถ้าขึ้นไปบนพระธาตุจะเราสามารถชมบรรยากาศของเมืองได้ (ที่นี่ยังเป็นสถานปฏิบัติธรรมด้วยนะ)
ไหว้พระทำบุญเสร็จแล้ว พาพ่อแม่ไปพักกันค่ะ ทริปนี้เราไม่อัดสถานที่ให้ท่านมากเพราะเราไม่อยากให้เขารู้สึกเหนื่อยเดี่ยวจากสนุก จะกลายเป็นล้าแทน เราพักที่ บ้านระเบียงหมอกรีสอร์ทค่ะ (แม่แฟนแนะนำมาอีกที)
บรรยากาศโดยรวมโอเคเลยภายนอก มีสระว่ายน้ำ ห้องอบตัว ห้องคาราโอเกะ ลานกางเต้นท์ มีบริการจักรยานฟรี และที่สำคัญอยู่ใกล้บ่อน้ำพุ่ร้อนโป่งกระทิง ที่เราจะพาพ่อกับแม่ไปในวันรุ่งขึ้นค่ะ (จริงๆมีกิจกรรมให้ทำเยอะอยู่นะคะ รายละเอียดลองเข้าไปดูกันได้ http://www.baanrabeangmok.com/)
ส่วนที่พักในตอนแรกเราจอง 1 ห้องสำหรับ 3 คน (มีไมโครเวฟ ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น โต๊ะน้อยทานข้าว) คือให้พ่อแม่และน้องนอนด้วยกัน แล้วเรากับแฟนจะกางเต้นท์บริเวณหน้าห้อง (มีความโรแมนติกไปอีก) แต่วันนั้นอากาศข้างนอกหนาวกว่าในห้องอีกค่ะ ทนความหนาวไม่ไหว วิ่งเข้าห้องไปขอนอนกับพ่อแม่แล้วเอาถุงนอนไปนอนบนพื้นแทนค่ะ 5555555 ห้องค่อนข้างกว้างและโต๊ะเก้าอี้สามารถพับเก็บได้นะคะ (เราไม่ได้ถ่ายบรรยากาศในห้องมา เข้าไปดูในเว็บกันเอานะคะ เพราะของค่อนข้างเยอะ สภาพไม่น่าชม ส่วนภาพนี้เป็นหลังบ้านที่เราเพิ่งเห็นตอนเช้าค่ะ) ตอนเย็นเราก็ทานอาหารที่ครัวระเบียงหมอกในรีสอร์ท (จะบอกว่าอาหารอร่อยมากๆ แต่ถ้าใครไปกันเยอะๆ สามารถไปปิ้งบาร์บีคิวหรือทำอาหารบริเวณหน้าที่พักได้นะคะ เห็นมีคนทำอยู่ อากาศหนาวๆ ปิ้งบาร์บีคิวอุ่นๆ น่าจะฟินดีค่ะ)
ลืมบอกว่าก่อนทานข้าวเย็น เรากับน้องและแฟนก็ปั่นจักรยานไปสำรวจทางที่จะไปในวันรุ่งขึ้นก่อนค่ะ วิวระหว่างทางจะเป็นเขื่อนเก็บน้ำที่มีภูเขาล้อบรอบ แต่เราไม่ได้พกกล้องหรือมือถือไป ด้วยความที่กลัวว่าลิงจะมาแย่ง (อ่านในรีวิเห็นคนบอกระวังลิง) เลยปั่นไปแบบไม่มีอะไรติดตัว ได้สูดอากาศแบบเต็
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น