“Social history is nothing other than a record of past struggles between distinct social classes.”
--Marx and Engel--
หนังเชื้อเชิญเราด้วยภาพฉากเปิดประตูเข้าสู่ตัวบ้านหลังหนึ่งโดยพี่แอน โสรยา ผู้กำกับหนัง ที่เราคุ้นหน้ากันดีจากหนังสั้นตอนหนึ่งเรื่องใจ สภาพบ้านที่ถูกทิ้งให้รกร้าง เศษซากความเก่าแก่ ใบไม้แห้งกรอบ บานหน้าต่างที่ไม่สมประกอบ มีช่องโผล่เห็นต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจีนอกตัวบ้าน ต้นไม้ที่ให้เดาก็คงเติบโตหลังจากอาคารเก่าแก่หลังนี้ เติบโตจากผืนดินที่บ้านหลังนี้กำลังย่อยสลายทลายลงไปอย่างช้าๆ พร้อมกันนั้นเราก็ได้ยินเสียงสายลม คลื่น และพงหญ้าที่พลิ้วไหว ถ้าให้ทายก็ที่ตั้งของบ้านหลังนี้คงอยู่บริเวณชายทะเล ทีมงานผู้กำกับที่มีทั้งคนเก็บภาพ ต่างพากันศักการะต้นไม้ต้นหนึ่งในบริเวณบ้าน ฉากนี้อาจหมายถึงว่าหนังเรื่องนี้กำลังจะพาเราเข้าไปสำรวจเรื่องราวของเจ้าของบ้านหลังนี้ที่ให้เราเดา ก็น่าจะเป็นคุณแต้ว นักเขียน ผู้ในอดีตเธอเคยเป็นทั้งดาวมหาลัยและผู้นำขบวนการนักศึกษาในเหตุการณ์นองเลือดหกตุลาคม (คุณแต้วเล่าให้ฟังตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์โดยแอน ผู้กำกับหญิง (อีกคน) ว่าเธอเกิดที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี แต่มาเติบโตที่สัตหีบ)
แอน1
ถ้าเราเดาแอนกับคุณแต้ว มาพักอาศัยที่โรงแรมไม้แห่งหนึ่งในจังหวัดน่านในช่วงฤดูหนาว ที่นั่นเองที่บทสนทนาระหว่างหญิงสาวชนชั้นกลางและการถ่ายทอดโดยภาพยนตร์ถูกทำออกมาแบบสัจนิยม วิธีการพูดของนักแสดงที่พี่ใหม่เองก็บอกว่าให้นักแสดงพูดสำเนียงของตัวเองได้เลย นั่นจึงทำให้เรารู้สึกถึงความสมจริงสมจังของช่วงเวลาที่แอนและคุณแต้วปรากฎบนจอ (แต่ก็รู้สึกตัวนะว่านี่เป็นการแสดง เพียงแต่ว่ามันบางเบามากๆ) ในเช้าวันหนึ่งระหว่างที่คุณแต้วและแอนกำลังร่วมรับประทานอาหาร ก็มีหญิงสาวพนักงานโรงแรมคนหนึ่ง ตั้งคำถามกับแอนว่า ทำไมเธอถึงไม่ให้เจ้าของเรื่องราว เป็นคนเขียนบทเอง ทำไมเธอต้องมาเขียนเรื่องของเขาขึ้นมาอีกที นี่เองทำให้เธอคงรู้สึกถูกบุกรุกในฐานะที่เป็นผู้กำกับหนัง กลับถูกพนักงานมาติติง เธอเลยตัดบทสนทนากับพนักงานด้วยการ ถามถึงอาหารเช้า ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งบอกกับคุณแต้วว่าเดี๋ยวค่อยกิน นี่จึงเป็นการตอกย้ำสถานะของชนชั้นล่างในกับหญิงสาวแรงงานคนนั้น ว่าเธอคือคนงาน ไม่ใช่คนที่จะมาแนะนำการเขียนบทหนัง เธอได้แนะนำอาหารที่ทำจากเห็ดนางฟ้าให้แอนกินในเช้านั้น
แอนสนใจเรื่องเห็ดถึงกระทั่งตามไปดูการเพาะเห็ด แต่สิ่งที่เธอทำก็เพียงแค่ถ่ายรูปสองที เหมือนกับหญิงช่างถ่ายภาพที่ถ่ายรูปสองทีในงานศักการะ ตรงนี้เรานึกถึงหนัง ที่พูดถึงความกระแดะของชนชั้นกลางต่อวัฒนธรรมรากหญ้า และตลอดเวลาในช่วงพาร์ท แอนและคุณแต้ว 1 เรามีความรู้สึกเดียวกับตอนดูหนังของบุนเยลแต่แซะความเหลวไหลของชนชั้นกลาง และหนังสั้นเรื่องฉันจะเป็นชาวนาอีฟ (2012) ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ของแอนที่ดูเหมือนจะไม่ไปถึงแก่น 6 ตุลาเสียที หรือฉากใส่แว่นดำของพี่แต้วในบ้าน
คืนหนึ่งระหว่างที่ทั้งคู่กำลังนอนดูโทรทัศน์ที่เราเองก็มองไม่ออกว่าคืออะไร เหมือนเป็นคนยืนริมสระน้ำ จู่ๆไฟก็ดับ แล้วก็เกิดห่วงเวลาของการเปิดใจ พี่แต้วถามลึกถึงเหตุผลของการเลือกทำหนังจากชีวิตของเธอ ทีแรกแอนพยายามบ่ายเบี่ยง สุดท้ายเธอก็ตอบว่า ชีวิตพี่มีคุณค่า พี่คือคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น แล้ววันนี้พี่ก็อยู่ตรงนี้ ต่างจากหนูที่ชีวิตไม่มีอะไรเลย ซึ่งตรงนี้สำหรับเรา มองว่าการทำหนังของแอนก็คือการเติมเต็ม หรือสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ด้วยคำถามนี้เอง ที่เหมือนไปกระตุ้นปมลึกบางอย่างในใจแอน คืนนั้นเองเธอฝันว่าวิ่งตามตัวเองในป่า และไปพบเห็ดวิเศษ เธอตื่นขึ้นมาในความฝันอีกที ร่ำไห้กับความทุกระทมของอดีตที่ขาดหาย ที่อาจพบว่าการทำหนัง มันไมได้เติมเต็ม มิหนำซ้ำมันอาจตอกย้ำความเว้าแหว่งของชีวิตเธอ หลังจากนั้นเธอก็เดินออกมานอกห้องพบกับผีบ้านผีเรือน คนหนึ่งแก่ อีกคนสาว มอบน้ำชาให้เธอดื่ม ซึ่งตรงนี้เป็นอะไรที่ยากกับการตีความว่าบุคคลเหล่านี้คือใคร คือคุณแต้วและแอนในโลกของความฝัน เป็นภาพสะท้อนแบบที่แอนบอกว่าเธอชอบภาพสะท้อนในจอโทรทัศน์ หรือเอาจริงๆ มันไม่ใช่ความฝัน และบุคคลเหล่านี้คือผีจริงๆ และถ้าเป็นผีจริงๆ เป็นตัวแทนของใครหรืออะไร
เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอได้อัดวิดีโอเล่าเรื่องการฝึกพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ แบบที่ทำให้เรานึกถึงเด็กใน Stalker (1979) พลังจิตที่เกิดจากสารเคมีรั่วไหลและการกลายพันธุ์ของมนุษย์ มันเป็นแรงขับของความหวาดกลัวต่อสงครามโลกครั้งที่สาม มาต่อที่เรื่องของแอน ในระหว่างที่เธอเล่า เธอพบว่ากล้องที่ตั้งไว้นิ่งๆ บันทึกอิริยาบถของระหว่างเล่าเรื่องราวที่พรั่งพรูออกมา กล้องมันมีการขยับ แบบเดียวกับที่เธอเล่าว่าเธอขยับแก้วน้ำได้ ที่เธอก็เล่าเองว่าหลังจากที่เธอเอาความสามารถพิเศษตรงนี้ไปบอกเพื่อนสนิท อำนาจนี้ก็หายไป ไม่เคยปรากฏขึ้นอีก บางทีพลังจิตมันอาจไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้น บางทีมันอาจเป็นแค่การอุปโลกน์เพื่อแต่งเติมความสมบูรณ์ในวัยเด็ก ความสมบูรณ์ที่เราพูด ลึกๆแล้วอาจหมายถึงสถานะเพศหญิง ที่วัฒนธรรมจัดสรรจุดด่างพร้อยให้กับความเป็นสตรีเพศ แล้วเห็ดที่หน้าตาเหมือนองคชาติ จะไปพ้องกับปมอิเลคตราในตัวแอนตามทฤษฏีของคาร์ล จุงหรือไม่การโหยหาพลังอำนาจตรงนี้ มันถ่ายทอดเชื่อมโยงแบบไร้สำนึกมาที่การก้าวเข้าสู่วงการการทำหนังของเธอ
คุณแต้ว 1
คุณแต้วเป็นลูกเกิดมาในครอบครัวที่พ่อเป็นทหารเรือ ที่ออกปากเลยว่าในวัยเด็กถูกเลี้ยงแบบตามใจ จนมามหาลัยก็ทำอะไรไม่เป็น เธอกลายมาเป็นดาวมหาลัย และผู้นำนักศึกษา มีคำถามหนึ่งที่แอนถามว่าทำไมเธอถึงเลือกก้าวขึ้นมาเป็นหัวหอกในการต่อต้านเผด็จการ คำพูดหนึ่งซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดที่เปลี่ยนไปในยุคสมัยนี้ เธอบอกว่า สมัยก่อนเราเห็นว่าเผด็จการไม่ดี เราก็ต่อต้าน เราก็ออกมา มาร่วมแรงกัน ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ใช้เงินจ้าง รวมทั้งสีเสื้อของเธอในฉากนั้นที่ดูเหมือนเป็นการตอกย้ำว่าเธอได้ฝั่งใฝ่ฝ่ายใดในยุคสมัยนี้ แบบใน The Spirit of the Age (2015) ของวิชชานนท์ สมอุ่มจารย์ ที่ได้วิพากษ์วิจารณ์จิตวิญญาณในวัยหนุ่มที่ได้หายสาปสูญไปตามกาลเวลาได้อย่างน่าฉงน
ในขณะเดียวกันยังมีภาพฉายของหนุ่มสาวที่บางคราวก็เหมือนจะเป็นภาพแทนอดีตของคุณแต้ว แต่จากบทพูดถึงอธิการบดีหรือป้ายผ้าที่เอาไปแควนไว้ที่อาคารเรียน ก็ทำให้คิดเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนบางทีเราคิดว่าฉากหนุ่มสาวเดินเข้าไปป่าไปด้วยกัน จริงๆ แล้วอาจไม่ใช่ภาพของหนุ่มสาวในสมัย 6 ตุลา แต่เป็นภาพในจิตของผู้หญิงร่วมสมัย (ที่ไม่ใช่คุณแต้ว) ความกระอักกระอ่วนในใจที่ปรากฎใบหน้าหญิงสาวนิรนามในตอนต้น ในขณะที่เธอนั่งพักอยู่ริมธาร (โทรทัศน์ที่คุณแต้วดูกับแอน อาจจะเป็นภาพผู้ชายที่มากับผู้หญิงบริเวณริมแหล่งน้ำ) บนใบหน้าคิ้วขมวด สายตากังวลและสงสัย เอ่อท้นไปด้วยเรื่องราวที่ไม่อาจปริปากออกมาได้ เช่นเดียวกับคุณแต้วที่นิ่งเงียบไป หลังจากถูกถามถึงความรักตอนสมัยอยู่มหาวิทยาลัย เธออาจกำลังมีความรักกับชายหนุ่มที่เดินทางมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน เช่นเดียวกับมือที่ทำได้เพียงสัมผัสชั่ววินาที
ฉากที่เหล่านักศึกษาไปติดใบประท้วงเผด็จการที่อาคารเรียน แล้วนักศึกษาสาวยกมือขึ้นเรียกชายหนุ่ม ที่ดันไปคล้ายกับการทำความเคารพฮิตเลอร์ (Hitler salute) แต่ในขณะเดียวกันก็ไปคล้ายกับการทำความเคารพแบบเบลลามี (Bellamy salute) ซึ่ีงเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิญาณความจงรักภักดีต่อธงชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นของสิ่งเดียวที่มีความหมายในตัวได้สองความหมายที่สุดขั้ว อย่างต้นลั่นทมที่แอน สโรยาศักการะตอนเริ่มเรื่องก็มีอีกชื่อหนึ่งคือลีลาวดี ลั่นทมที่ชื่อไปคล้ายกับทุกข์ระทม แต่จริงๆ แล้วมีความหมายว่าการละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข เช่นเดียวกับนักศึกษาที่ในยุคนั้นชนชั้นปกครองและชนชั้นกลางบางส่วนถูกปลุกปั่นและไม่เข้าใจของคำว่าคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง บางส่วนก็ไปตีความว่าเป็นเผด็จการ
มีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างหญิงนักศึกษา กับแอน นั่นคือฉากทอดไข่ ฉากนี้เองที่ทำให้เรากลับมานั่งคิดว่าจริงๆแล้ว นักศึกษาสาวคนนี้เป็นตัวแทนของใคร คุณแต้ว แอน หรือเป็นใครคนอื่น เป็นนักศึกษาที่พยายามขับเคลื่อนสังคม และอีกหนึ่งคำถามคือ เหตุการณ์ในยุคของนักศึกษาสาวมันเกิดขึ้นตอนไหน ช่วง 6 ตุลา หรือปัจจุบันนี้ ฉากที่ชวนให้คิดคือ ฉากที่นักศึกษาสาวกลับมาบ้านที่สถาปัตยกรรมและของตกแต่งของชนชั้นกลางซึ่งเหมือนจะอยู่ในยุค 2519 แม่ทิ้งโน้ตแสดงความห่วงใยลูกที่ทำกิจกรรมจนดึกทุกวัน จากนั้นเธอไปกินน้ำในตู้เย็น แล้วก็มาทอดไข่ นี่เองทำให้เรารู้สึกว่า คนในยุคสมัยปัจจุบันไม่น่าทิ้งโน้ตหรือต้องมาประกอบอาหารเองตอนดึกๆ แทนที่เข้าจะใช้เทคโนโลยีสื่อสาร หรือไม่ก็น่าจะไปหาซื้อของร้านสะดวกซื้อที่มีอยู่ทุกหัวมุม แต่ก็อย่างว่างเหตุการณ์ดังกล่าวมันก็เกิดขึ้นได้ในยุคสมัยนี้ มันเลยเป็นภาพที่กำ้กึ่ง และเป็นปริศนา ไม่อาจแยกได้ว่าเธอเป็นตัวแทนของใคร และเวลาใด
หญิงสาวชนชั้นแรงงาน
หนังฉายภาพเธอตั้งแต่ ล้างจาน กวาดใบไม้ (รอบแรกที่โรงแรม รอบสองในวัด) ยกกระสอบ เช็ดอุปกรณ์ออกกำลังกาย เช็ดกระจก ล้างห้องน้ำ เก็บเศษอาหารบนเรือสำราญ เราจะเห็นว่าเธอเป็นผู้เก็บกวาดความทรงจำต่างๆ ของชนชั้นกลาง มันมีความคับแค้นใจบนใบหน้าเธอที่ไม่อาจระบายออกมาได้ ความทรงจำของคนอื่น ความทรงจำที่พวกเธอไมได้ใช้ ไม่ได้เอามาจดจำ เช่นเดียวกับ เวทีทางการเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจของชนชั้นกลางและชนชั้นปกครอง ที่ชนชั้นล่างไม่มีวันได้มีส่วนร่วม เช่นเดียวคุณครูและชาวนาใน สวรรค์บ้านนา (2009) หลังจากที่ชาวนาเข้าเมือง เห็นภาพการโต้กันระหว่างขั้วการเมือง ฉากจบ ชาวนาเดินหลงเข้าไปในซากของตอหม้อที่เกิดจากการโกงกินงบประมาณที่ไม่ถึงปากท้องของชนชั้นล่าง ผู้กำกับอโนชายั่วล้อภาพนั้นอีกครั้งด้วยการให้สาวแรงงานคนนั้น เดินเตร็ดเตร่ในลานไฟประดับ 39 ล้านบาท ใบไม้ร่วงที่เปื่อยยุ่ยควรจะแทนถึงความทรงจำที่คนในชาติรับรู้และเข้าใจร่วมกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความทรงจำของต้นไม้ กับเห็ดและรา ถึงแม้จะเกิดในเวลาเดียวกัน แต่คนละเส้นทาง คนละจุดกำเนิด คนละอาณาจักร และจะไม่มีวันมาบรรจบกัน
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: ดาวคะนอง {อโนชา สุวิชากรพงศ์}, 2016
“Social history is nothing other than a record of past struggles between distinct social classes.”
--Marx and Engel--
หนังเชื้อเชิญเราด้วยภาพฉากเปิดประตูเข้าสู่ตัวบ้านหลังหนึ่งโดยพี่แอน โสรยา ผู้กำกับหนัง ที่เราคุ้นหน้ากันดีจากหนังสั้นตอนหนึ่งเรื่องใจ สภาพบ้านที่ถูกทิ้งให้รกร้าง เศษซากความเก่าแก่ ใบไม้แห้งกรอบ บานหน้าต่างที่ไม่สมประกอบ มีช่องโผล่เห็นต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจีนอกตัวบ้าน ต้นไม้ที่ให้เดาก็คงเติบโตหลังจากอาคารเก่าแก่หลังนี้ เติบโตจากผืนดินที่บ้านหลังนี้กำลังย่อยสลายทลายลงไปอย่างช้าๆ พร้อมกันนั้นเราก็ได้ยินเสียงสายลม คลื่น และพงหญ้าที่พลิ้วไหว ถ้าให้ทายก็ที่ตั้งของบ้านหลังนี้คงอยู่บริเวณชายทะเล ทีมงานผู้กำกับที่มีทั้งคนเก็บภาพ ต่างพากันศักการะต้นไม้ต้นหนึ่งในบริเวณบ้าน ฉากนี้อาจหมายถึงว่าหนังเรื่องนี้กำลังจะพาเราเข้าไปสำรวจเรื่องราวของเจ้าของบ้านหลังนี้ที่ให้เราเดา ก็น่าจะเป็นคุณแต้ว นักเขียน ผู้ในอดีตเธอเคยเป็นทั้งดาวมหาลัยและผู้นำขบวนการนักศึกษาในเหตุการณ์นองเลือดหกตุลาคม (คุณแต้วเล่าให้ฟังตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์โดยแอน ผู้กำกับหญิง (อีกคน) ว่าเธอเกิดที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี แต่มาเติบโตที่สัตหีบ)
ถ้าเราเดาแอนกับคุณแต้ว มาพักอาศัยที่โรงแรมไม้แห่งหนึ่งในจังหวัดน่านในช่วงฤดูหนาว ที่นั่นเองที่บทสนทนาระหว่างหญิงสาวชนชั้นกลางและการถ่ายทอดโดยภาพยนตร์ถูกทำออกมาแบบสัจนิยม วิธีการพูดของนักแสดงที่พี่ใหม่เองก็บอกว่าให้นักแสดงพูดสำเนียงของตัวเองได้เลย นั่นจึงทำให้เรารู้สึกถึงความสมจริงสมจังของช่วงเวลาที่แอนและคุณแต้วปรากฎบนจอ (แต่ก็รู้สึกตัวนะว่านี่เป็นการแสดง เพียงแต่ว่ามันบางเบามากๆ) ในเช้าวันหนึ่งระหว่างที่คุณแต้วและแอนกำลังร่วมรับประทานอาหาร ก็มีหญิงสาวพนักงานโรงแรมคนหนึ่ง ตั้งคำถามกับแอนว่า ทำไมเธอถึงไม่ให้เจ้าของเรื่องราว เป็นคนเขียนบทเอง ทำไมเธอต้องมาเขียนเรื่องของเขาขึ้นมาอีกที นี่เองทำให้เธอคงรู้สึกถูกบุกรุกในฐานะที่เป็นผู้กำกับหนัง กลับถูกพนักงานมาติติง เธอเลยตัดบทสนทนากับพนักงานด้วยการ ถามถึงอาหารเช้า ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งบอกกับคุณแต้วว่าเดี๋ยวค่อยกิน นี่จึงเป็นการตอกย้ำสถานะของชนชั้นล่างในกับหญิงสาวแรงงานคนนั้น ว่าเธอคือคนงาน ไม่ใช่คนที่จะมาแนะนำการเขียนบทหนัง เธอได้แนะนำอาหารที่ทำจากเห็ดนางฟ้าให้แอนกินในเช้านั้น
แอนสนใจเรื่องเห็ดถึงกระทั่งตามไปดูการเพาะเห็ด แต่สิ่งที่เธอทำก็เพียงแค่ถ่ายรูปสองที เหมือนกับหญิงช่างถ่ายภาพที่ถ่ายรูปสองทีในงานศักการะ ตรงนี้เรานึกถึงหนัง ที่พูดถึงความกระแดะของชนชั้นกลางต่อวัฒนธรรมรากหญ้า และตลอดเวลาในช่วงพาร์ท แอนและคุณแต้ว 1 เรามีความรู้สึกเดียวกับตอนดูหนังของบุนเยลแต่แซะความเหลวไหลของชนชั้นกลาง และหนังสั้นเรื่องฉันจะเป็นชาวนาอีฟ (2012) ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ของแอนที่ดูเหมือนจะไม่ไปถึงแก่น 6 ตุลาเสียที หรือฉากใส่แว่นดำของพี่แต้วในบ้าน
คืนหนึ่งระหว่างที่ทั้งคู่กำลังนอนดูโทรทัศน์ที่เราเองก็มองไม่ออกว่าคืออะไร เหมือนเป็นคนยืนริมสระน้ำ จู่ๆไฟก็ดับ แล้วก็เกิดห่วงเวลาของการเปิดใจ พี่แต้วถามลึกถึงเหตุผลของการเลือกทำหนังจากชีวิตของเธอ ทีแรกแอนพยายามบ่ายเบี่ยง สุดท้ายเธอก็ตอบว่า ชีวิตพี่มีคุณค่า พี่คือคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น แล้ววันนี้พี่ก็อยู่ตรงนี้ ต่างจากหนูที่ชีวิตไม่มีอะไรเลย ซึ่งตรงนี้สำหรับเรา มองว่าการทำหนังของแอนก็คือการเติมเต็ม หรือสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ด้วยคำถามนี้เอง ที่เหมือนไปกระตุ้นปมลึกบางอย่างในใจแอน คืนนั้นเองเธอฝันว่าวิ่งตามตัวเองในป่า และไปพบเห็ดวิเศษ เธอตื่นขึ้นมาในความฝันอีกที ร่ำไห้กับความทุกระทมของอดีตที่ขาดหาย ที่อาจพบว่าการทำหนัง มันไมได้เติมเต็ม มิหนำซ้ำมันอาจตอกย้ำความเว้าแหว่งของชีวิตเธอ หลังจากนั้นเธอก็เดินออกมานอกห้องพบกับผีบ้านผีเรือน คนหนึ่งแก่ อีกคนสาว มอบน้ำชาให้เธอดื่ม ซึ่งตรงนี้เป็นอะไรที่ยากกับการตีความว่าบุคคลเหล่านี้คือใคร คือคุณแต้วและแอนในโลกของความฝัน เป็นภาพสะท้อนแบบที่แอนบอกว่าเธอชอบภาพสะท้อนในจอโทรทัศน์ หรือเอาจริงๆ มันไม่ใช่ความฝัน และบุคคลเหล่านี้คือผีจริงๆ และถ้าเป็นผีจริงๆ เป็นตัวแทนของใครหรืออะไร
เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอได้อัดวิดีโอเล่าเรื่องการฝึกพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ แบบที่ทำให้เรานึกถึงเด็กใน Stalker (1979) พลังจิตที่เกิดจากสารเคมีรั่วไหลและการกลายพันธุ์ของมนุษย์ มันเป็นแรงขับของความหวาดกลัวต่อสงครามโลกครั้งที่สาม มาต่อที่เรื่องของแอน ในระหว่างที่เธอเล่า เธอพบว่ากล้องที่ตั้งไว้นิ่งๆ บันทึกอิริยาบถของระหว่างเล่าเรื่องราวที่พรั่งพรูออกมา กล้องมันมีการขยับ แบบเดียวกับที่เธอเล่าว่าเธอขยับแก้วน้ำได้ ที่เธอก็เล่าเองว่าหลังจากที่เธอเอาความสามารถพิเศษตรงนี้ไปบอกเพื่อนสนิท อำนาจนี้ก็หายไป ไม่เคยปรากฏขึ้นอีก บางทีพลังจิตมันอาจไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้น บางทีมันอาจเป็นแค่การอุปโลกน์เพื่อแต่งเติมความสมบูรณ์ในวัยเด็ก ความสมบูรณ์ที่เราพูด ลึกๆแล้วอาจหมายถึงสถานะเพศหญิง ที่วัฒนธรรมจัดสรรจุดด่างพร้อยให้กับความเป็นสตรีเพศ แล้วเห็ดที่หน้าตาเหมือนองคชาติ จะไปพ้องกับปมอิเลคตราในตัวแอนตามทฤษฏีของคาร์ล จุงหรือไม่การโหยหาพลังอำนาจตรงนี้ มันถ่ายทอดเชื่อมโยงแบบไร้สำนึกมาที่การก้าวเข้าสู่วงการการทำหนังของเธอ
คุณแต้วเป็นลูกเกิดมาในครอบครัวที่พ่อเป็นทหารเรือ ที่ออกปากเลยว่าในวัยเด็กถูกเลี้ยงแบบตามใจ จนมามหาลัยก็ทำอะไรไม่เป็น เธอกลายมาเป็นดาวมหาลัย และผู้นำนักศึกษา มีคำถามหนึ่งที่แอนถามว่าทำไมเธอถึงเลือกก้าวขึ้นมาเป็นหัวหอกในการต่อต้านเผด็จการ คำพูดหนึ่งซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดที่เปลี่ยนไปในยุคสมัยนี้ เธอบอกว่า สมัยก่อนเราเห็นว่าเผด็จการไม่ดี เราก็ต่อต้าน เราก็ออกมา มาร่วมแรงกัน ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ใช้เงินจ้าง รวมทั้งสีเสื้อของเธอในฉากนั้นที่ดูเหมือนเป็นการตอกย้ำว่าเธอได้ฝั่งใฝ่ฝ่ายใดในยุคสมัยนี้ แบบใน The Spirit of the Age (2015) ของวิชชานนท์ สมอุ่มจารย์ ที่ได้วิพากษ์วิจารณ์จิตวิญญาณในวัยหนุ่มที่ได้หายสาปสูญไปตามกาลเวลาได้อย่างน่าฉงน
ในขณะเดียวกันยังมีภาพฉายของหนุ่มสาวที่บางคราวก็เหมือนจะเป็นภาพแทนอดีตของคุณแต้ว แต่จากบทพูดถึงอธิการบดีหรือป้ายผ้าที่เอาไปแควนไว้ที่อาคารเรียน ก็ทำให้คิดเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนบางทีเราคิดว่าฉากหนุ่มสาวเดินเข้าไปป่าไปด้วยกัน จริงๆ แล้วอาจไม่ใช่ภาพของหนุ่มสาวในสมัย 6 ตุลา แต่เป็นภาพในจิตของผู้หญิงร่วมสมัย (ที่ไม่ใช่คุณแต้ว) ความกระอักกระอ่วนในใจที่ปรากฎใบหน้าหญิงสาวนิรนามในตอนต้น ในขณะที่เธอนั่งพักอยู่ริมธาร (โทรทัศน์ที่คุณแต้วดูกับแอน อาจจะเป็นภาพผู้ชายที่มากับผู้หญิงบริเวณริมแหล่งน้ำ) บนใบหน้าคิ้วขมวด สายตากังวลและสงสัย เอ่อท้นไปด้วยเรื่องราวที่ไม่อาจปริปากออกมาได้ เช่นเดียวกับคุณแต้วที่นิ่งเงียบไป หลังจากถูกถามถึงความรักตอนสมัยอยู่มหาวิทยาลัย เธออาจกำลังมีความรักกับชายหนุ่มที่เดินทางมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน เช่นเดียวกับมือที่ทำได้เพียงสัมผัสชั่ววินาที
ฉากที่เหล่านักศึกษาไปติดใบประท้วงเผด็จการที่อาคารเรียน แล้วนักศึกษาสาวยกมือขึ้นเรียกชายหนุ่ม ที่ดันไปคล้ายกับการทำความเคารพฮิตเลอร์ (Hitler salute) แต่ในขณะเดียวกันก็ไปคล้ายกับการทำความเคารพแบบเบลลามี (Bellamy salute) ซึ่ีงเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิญาณความจงรักภักดีต่อธงชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นของสิ่งเดียวที่มีความหมายในตัวได้สองความหมายที่สุดขั้ว อย่างต้นลั่นทมที่แอน สโรยาศักการะตอนเริ่มเรื่องก็มีอีกชื่อหนึ่งคือลีลาวดี ลั่นทมที่ชื่อไปคล้ายกับทุกข์ระทม แต่จริงๆ แล้วมีความหมายว่าการละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข เช่นเดียวกับนักศึกษาที่ในยุคนั้นชนชั้นปกครองและชนชั้นกลางบางส่วนถูกปลุกปั่นและไม่เข้าใจของคำว่าคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง บางส่วนก็ไปตีความว่าเป็นเผด็จการ
มีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างหญิงนักศึกษา กับแอน นั่นคือฉากทอดไข่ ฉากนี้เองที่ทำให้เรากลับมานั่งคิดว่าจริงๆแล้ว นักศึกษาสาวคนนี้เป็นตัวแทนของใคร คุณแต้ว แอน หรือเป็นใครคนอื่น เป็นนักศึกษาที่พยายามขับเคลื่อนสังคม และอีกหนึ่งคำถามคือ เหตุการณ์ในยุคของนักศึกษาสาวมันเกิดขึ้นตอนไหน ช่วง 6 ตุลา หรือปัจจุบันนี้ ฉากที่ชวนให้คิดคือ ฉากที่นักศึกษาสาวกลับมาบ้านที่สถาปัตยกรรมและของตกแต่งของชนชั้นกลางซึ่งเหมือนจะอยู่ในยุค 2519 แม่ทิ้งโน้ตแสดงความห่วงใยลูกที่ทำกิจกรรมจนดึกทุกวัน จากนั้นเธอไปกินน้ำในตู้เย็น แล้วก็มาทอดไข่ นี่เองทำให้เรารู้สึกว่า คนในยุคสมัยปัจจุบันไม่น่าทิ้งโน้ตหรือต้องมาประกอบอาหารเองตอนดึกๆ แทนที่เข้าจะใช้เทคโนโลยีสื่อสาร หรือไม่ก็น่าจะไปหาซื้อของร้านสะดวกซื้อที่มีอยู่ทุกหัวมุม แต่ก็อย่างว่างเหตุการณ์ดังกล่าวมันก็เกิดขึ้นได้ในยุคสมัยนี้ มันเลยเป็นภาพที่กำ้กึ่ง และเป็นปริศนา ไม่อาจแยกได้ว่าเธอเป็นตัวแทนของใคร และเวลาใด
หนังฉายภาพเธอตั้งแต่ ล้างจาน กวาดใบไม้ (รอบแรกที่โรงแรม รอบสองในวัด) ยกกระสอบ เช็ดอุปกรณ์ออกกำลังกาย เช็ดกระจก ล้างห้องน้ำ เก็บเศษอาหารบนเรือสำราญ เราจะเห็นว่าเธอเป็นผู้เก็บกวาดความทรงจำต่างๆ ของชนชั้นกลาง มันมีความคับแค้นใจบนใบหน้าเธอที่ไม่อาจระบายออกมาได้ ความทรงจำของคนอื่น ความทรงจำที่พวกเธอไมได้ใช้ ไม่ได้เอามาจดจำ เช่นเดียวกับ เวทีทางการเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจของชนชั้นกลางและชนชั้นปกครอง ที่ชนชั้นล่างไม่มีวันได้มีส่วนร่วม เช่นเดียวคุณครูและชาวนาใน สวรรค์บ้านนา (2009) หลังจากที่ชาวนาเข้าเมือง เห็นภาพการโต้กันระหว่างขั้วการเมือง ฉากจบ ชาวนาเดินหลงเข้าไปในซากของตอหม้อที่เกิดจากการโกงกินงบประมาณที่ไม่ถึงปากท้องของชนชั้นล่าง ผู้กำกับอโนชายั่วล้อภาพนั้นอีกครั้งด้วยการให้สาวแรงงานคนนั้น เดินเตร็ดเตร่ในลานไฟประดับ 39 ล้านบาท ใบไม้ร่วงที่เปื่อยยุ่ยควรจะแทนถึงความทรงจำที่คนในชาติรับรู้และเข้าใจร่วมกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความทรงจำของต้นไม้ กับเห็ดและรา ถึงแม้จะเกิดในเวลาเดียวกัน แต่คนละเส้นทาง คนละจุดกำเนิด คนละอาณาจักร และจะไม่มีวันมาบรรจบกัน