สวัสดีค่ะสมาชิกพันทิปทุกคน จขกท. มีโอกาสได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดสุดป๊อปปูล่าในช่วงนี้มา นั่นก็คือ เชียงใหม่นั่นเองจ้าว ^^
มีเรื่องราวมากมายที่อยากจะมาเล่าให้ฟังค่ะ แค่อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ที่ประทับใจในหลายๆเรื่องที่ไปเจอมา หรือข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่พอจะแบ่งปันได้ค่ะ
ขอบอกก่อนเลยนะคะ ว่ารูปถ่ายคือ ถ่ายจากมือถือล้วนๆนะคะ อาจจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่า หากไปดูด้วยตาตัวเอง มันสวยมากๆค่ะ
คุ้มค่ากับความเหนื่อย เริ่มเลยยยยยย!
ก่อนออกเดินทางเราเพลนกับเพื่อนไว้แค่ว่า อยากนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ แค่นี้ค่ะ แค่นี้กันจริงๆ 555 ออกจะดูเป็นทริปที่ขี้เกียจมากๆเลยนะคะ
แต่เราเป็นคนที่ชอบเที่ยวแบบไม่มีเพลนค่ะ เลยจะลุยๆหน่อย ก่อนออกเดินทางประมาณ1-2 อาทิตย์เราก็คุยๆกันว่าอยากไปที่ไหนบ้าง
แล้วก็จองห้องพักอย่างรวดเร็ว ข้อมูลการเดินทางไม่มีอะไรสักอย่าง (แลดูขี้เกียจจริงๆ)
เริ่มเลยยยยย!
วันที่ 1
ออกเดินทางด้วยรถไฟแบบตู้นนอนปรับอากาศ 19:35 ถึงเชียงใหม่ โดยประมาณ 9 โมงนิดๆ
อันที่จริงอยากจะลองนั่งรถไฟขบวนใหม่นะคะ แต่โชคร้ายที่จองไม่ทัน เต็มหมดเลย แง้
เรื่องเล่าบนรถไฟ เบาะนุ่ม นอนสบายดีค่ะ อาหารมีให้สั่งกินได้ ตื่นตอนเช้ามีอาหารพร้อม ซึ่งเราสามารถสั่งไว้ตั้งแต่ก่อนนอนได้
มีน้ำส้มขายด้วยนะคะ พี่พนักงานขยันขายมากเลย ขายให้เราตั้งแต่ตื่นนอนจนรถไฟเทียบชานชลาที่เชียงใหม่ 55
90 เปอร์เซ็นจะเป็นชาวต่างชาติค่ะแบคแพคกระเป๋าใบใหญ่ๆทั้งนั้น คนไทยน้อยมาก
ในส่วนของรถไฟให้คะแนนไป 7/10 ค่ะ ขอหักเรื่องห้องน้ำ อันนี้ทุกคนคงจะพอทราบว่าห้องน้ำรถไฟเป็นยังไง แต่สำหรับขบวนนี้ถือว่าพอใช้ได้ค่ะ
แต่จะหวิวๆเวลาเข้าคือ ลมเย็นมาก T__T
เช้าวันแรกที่ถึงเชียงใหม่เราพักโฮสเทลแถวนิมมานฯค่ะ นั่งรถแดงจากสถานีรถไฟเข้าไปข้างใน 50 บาทน้า
อากาศในตัวเมืองเย็นๆไม่ถึงกับหนาวและมีฝนตกเบาๆ ให้ความรู้สึกเหงาๆดี (เอ๊ะไม่เกี่ยวว)
วันแรกๆไม่ค่อยมีอะไรทำ คิดไม่ออก แต่ท้องร้อง เลยอาบน้ำเก็บของออกไปเดินแถวๆห้าง Maya กับเซนทรัลกาด มีตลาดแล้วก็ของกินเยอะมากกกก
กินตั้งแต่ไปถึงจนวินาทีสุดท้ายตอนห้าทุ่ม ไปเดินเล่นแถวประตูท่าแพ กลับมาถึงห้องก่อนนอนก็ปิดท้ายด้วยโรตี T_T (แอบตกใจตัวเองเบาๆ)
วันแรกที่เราไปถึงในตัวเมืองยังไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะฝนตก เลยไม่ค่อยอยากออกไปไหนกัน
แต่ก็เดินไปไหว้พระหลายวัดเลยค่ะ เพราะข้างในมีวัดสวยๆเยอะมากเลยค่ะ
วันที่ 2
ส่วนของวันที่สองไปพักที่แม่แจ่มค่ะ
โดยขึ้นรถบัสคันเล็กสีฟ้า ราคา 34 บาท จากประตูเชียงใหม่ไปลงที่จอมทองเพื่อต่อรถขึ้นไปบนดอยอีกที
และเมื่อถึงจอมทองจะเจอรถสองแถวสีเหลืองเขียนว่า แม่แจ่ม ราคา 70 บาทค่ะ
ระยะทางก็ไกลพอสมควร นั่งเพลินมากๆเลยค่ะเพราะทางที่ไปแม่แจ่มจะต้องผ่านทางขึ้นดอยอินทนนท์ด้วย วันนั้นอากาศเย็นและหมอกลงหนามาก
สองข้างทางเป็นป่าทึบ มีป่าสนบ้างสลับกัน ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเบลล่ารอเอ็ดเวิร์ดกับเจคอปมารับ กิกิ
เราไปถึงแม่แจ่มก็ค่ำพอดีค่ะ เสียดายมากที่ไม่ได้แวะไปดูนาแม่แจ่มแบบที่ตั้งใจไว้ จึงทำได้แค่ปั่นจักรยานเล่นรอบๆที่พัก
แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่เสียใจเลยคือ การที่เราไปพักที่โฮมสเตย์ที่หนึ่ง แล้วเจ้าของดูแลเราดีมากๆ อยู่กันแบบครอบครัว
เอาผักโครงการหลวงมาให้กินเยอะมากเลยค่ะ และช่วยเหลือจนกระทั่งกลับ ให้คำแนะนำเรื่องการเดินทางและไปส่งขึ้นรถตั้งแต่เช้าอีกแหน่ะ
แม่แจ่มดูเหมือนไม่มีอะไรเลย แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้จากการไปแม่แจ่มครั้งนี้คือ ความสงบที่หาจากในเมืองหลวงไม่ได้
ชีวิตที่ไม่ต้องเร่งรีบตื่นเพราะกลัวรถติด ชีวิตที่กลางคืนคือกลางคืนจริงๆ ชีวิตที่คำว่าน้ำใจจากคนแปลกหน้า หาได้ง่ายมากๆ
ขอบคุณแม่แจ่ม ^^
วันที่ 3
ออกจากแม่แจ่มตั้งแต่เช้าเลยค่ะ เพลนไว้ว่าจะไปกิ่วแม่ปานกัน ซึ่งพี่ที่โฮมสเตย์บอกว่า
มีสองทางเลือก คือ 1. นั่งรถกลับไปเริ่มต้นที่จอมทอง และนั่งรถขึ้นดอยอินทนนท์ขึ้นไปอีกรอบรอบ
2. คือนั่งรถจากแม่แจ่มไปลงที่ด่านสอง และโบกรถขึ้นไป ซึ่งข้อสองเนี่ยมันไม่ชัวร์ว่าจะมีรถไหม
เรากับเพื่อนแอบลังเลแล้วก็กลัวเหมือนกันว่าถ้าไม่มีรถขึ้นไปเราจะทำยังไงจะกลับยังไง บลาๆๆๆ
แต่ก็ตัดสินใจลงที่ด่านสองค่ะ ไหนๆก็มาแล้วถ้าไม่มีรถจริงๆ ค่อยว่ากันอีกทีถือซะว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต 55
และความกลัวทั้งหมดก็หายไป เมื่อลงรถที่ด่านสองปุ๊บ พี่เจ้าหน้าที่ก็จัดการโบกรถให้ได้สำเร็จค่ะ คันแรกที่จอดก็ได้เลยด้วย
รถที่ติดขึ้นไปทุกคนน่ารักมากๆเลย เราก็ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ชาวเชียงใหม่ใจดีทุกคนเลยนะคะ
พอขึ้นไปถึงกิ่วแม่ปาน ตอนเช้านักท่องเที่ยวต่อแถวรอขึ้นไปจุดชมวิวยาวมากก เราเลยขอติดรถพี่เขาขึ้นไปดอยอินทนนท์ก่อน
แล้วโบกรถกลับลงมาตอนสายๆ คนเริ่มน้อยจึงไปต่อแถวรอรับหมายเลขและไกด์ขึ้นไปข้างบน
ไกด์จะเป็นคนท้องถิ่นที่ชำนาญทางเดินกว่าเรานะคะ บังคับให้มีไกด์ทุกกลุ่ม ไกด์หนึ่งคนต่อนักท่องเที่ยวไม่เกิน 10 คนค่ะ ค่าไกด์ 200 บาท
เราไปกันแค่สองคนจึงสะกิดถามคนอื่นๆว่ามีใครจะไปไกด์เดียวกันหรือเปล่าจะได้แชร์ถูกลง จึงได้สาวสวยที่มาสองคนเหมือนกันมาร่วมแชร์
และขากลับพี่เขายังให้ติดรถกลับเข้าเมืองด้วยอีกต่างหาก ><
การเดินขึ้นไปกิ่วแม่ปาน จะมีจุดพักทั้งหมด 21 จุด เดินขึ้นๆลงๆ ขาลากไปเลยทีเดียวสำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายแบบเรา
แต่ขอบอกเลยว่าเหนื่อยแต่คุ้มค่ามากกกกกกกกก (กอไก่ล้านตัว)
แต่ส่วนใหญ่ที่ไปมักจะไปถึงแค่จุดชมวิวที่ฮิตๆกันแล้วก็เดินกลับทางเดิม ไม่ค่อยมีใครเดินอ้อมกลับอีกทางเท่าไหร่
แต่ขอแนะนำว่า ไหนๆก็ไปถึงขนาดนั้นแล้วนะคะ ไปให้คุ้มค่ะ เหนื่อยหน่อยแต่สนุกดี
ทางเดินกลับจะเดินอ้อมไหล่เขา จะมองเห็นเจดีย์คู่มหามงคลบนดอยอินทนนท์อีกฝากได้ สวยมากๆค่ะ
ไกด์ที่พาเดินน่ารักมากๆ สอนภาษาม้งด้วย และดูแแลเราดีมากๆเลย
ขากลับเห็นกวางหนึ่งตัวแต่อยู่ข้างล่างซึ่งมองด้วยตาเปล่าคงเป็นแค่จุดเล็กๆ แต่ไปขอดูจากกล้องพี่ๆที่ถ่ายรูปกัน เลนส์ซูมเทพมากก TT (อยากด้ายยย)
มีผาเล็กๆสองอันติดกัน ชาวบ้านจะเรียกว่า ผาคู่รัก โรแมนติกไปอี้กกกกก ดอกไม้ต้นไม้ขึ้นเต็มตลอดทาง ทะเลหมอกก็น่ากระโดดลงไปจริงๆ 55
ไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาเปรียบ แต่รูปถ่ายร้อยใบ สวยแค่ไหนก็ไม่เท่ากับตาเราที่ได้เห็นเองนะคะ
การไปกิ่วแม่ปานเจ้าหน้าที่จะย้ำมากๆว่าให้เดินอยู่ในเส้นทาง ห้ามออกนอกเส้นทาง เพราะเส้นทางที่เดินมันอันตรายค่ะ
แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวหัวรั้นบางคน เดินออกไปตรงเนินที่เป็นทุ่งหญ้าเพื่อถ่ายรูป ซึ่งมีรั้วกั้นนะคะ มีรั้วกั้น เขาห้าม เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจับตีก้น
หลังจากลงจากกิ่วแม่ปานเรากลับเข้าเมืองเพื่อพักและเดินเล่นถนนคนเดินที่ประตูท่าแพเป็นคืนสุดท้าย
ก่อนจะกลับกรุงเทพฯด้วยการนั่งรถไฟฟรี ในตอนเช้า 6:30 ถึงกรุงเทพ 21:10 13 ชั่วโมง เฮื้อกกกกกกก ก้นแทบพัง(เอ้ะ หรือพังไปแล้วนะ) TT
คืนสุดท้าย เราพักที่เกสเฮ้าแถวประตูท่าแพเลยค่ะ เจ้าของเกสเฮ้าน่ารักๆมากๆให้เราเรียกว่าแม่ด้วย พี่ที่ดูแลเรื่องอาหารการกินใส่ใจมากๆ
เราอยู่กันแบบครอบครัว เราชอบคำนี้ที่สุดเลย
คืนสุดท้ายเป็นคืนที่ประทับใจอีกคืนก่อนกลับมากๆค่ะ
เราไปเดินเล่นที่ประตูท่าแพกันและเจอกลุ่ม Vegan กำลังรณรงค์และอธิบายให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมา ให้รู้จักกับวีแกน
( วีแกน คือกลุ่มคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์และไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม )
ซึ่งเพื่อนเราก็เป็นวีแกนเหมือนกัน เรามีโอกาสได้ไปทานอาหารเม็กซิกันแบบวีแกนกับพวกเขาหลังกลับจากประตูท่าแพร
และได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในหลายๆเรื่อง ประทับใจไปอีก
ตอนเช้า เรื่องเล่าบนรถไฟฟรี
ต่อแถวรับตั๋วได้ตั้งแต่ตีห้าเป็นต้นไป รถออก 6:30
13 ชม. ที่นั้งอยู่บนนรถ คือปวดขามากกกก และห้องน้ำ ........ หลังจากเข้าห้องน้ำไปรอบแรก เราไม่กินน้ำอีกเลยจนถึงหัวลำโพง TT
นั่งๆนอนๆ อยู่อย่างนั้น นับเวลาถอยหลังอย่างมุ่งมั่น ขึ้นรถไฟฟรี มีของขายตลอด ไม่ต้องกลัวหิว ค่ะ ^^
สุดท้ายถึงหัวลำโพงอย่างปลอดภัยในเวลาตรงเป๊ะ .. คุณป้าที่นั่งมาด้วยบอกว่า โชคดีมากที่วันนี้รถไฟไม่เลท ได้แต่ยิ้มแล้วมองหน้ากัน ค่ะ !
ในความอยากลอง ในความอยากเอ็ดเวนเจอร์ ปวดตูดหนักมาก ขา เข่า ไปหมด ถึงบ้านหลับปานตาย ฟื้นอีกทีตอนบ่าย ของอีกวันเลยทีเดียว
แต่ ไม่ลองก็ไม่รู้เน้อะว่าลำบากจริงๆ ครั้งหน้าก็ยังอยากนั่งรถไฟอีกค่ะ แต่คงจะนั่งแบบตู้นอน เข็ดไปอีกนาน
มีคนถามว่า ทำไมไม่นั่งเครื่องบินล่ะหนู ไม่รู้สิ มันไม่ใช่สไตล์เรา
มีคนบอกว่า โหย มาสองคนเนี่ยนะ แล้วไปถึงแม่แจ่มเลยหรอ โบกรถ อันตรายนะ บลาๆ
เราก็ได้แต่ยิ้มแล้วบอกกลับไปว่า ไม่รู้สิคะ แค่อยากไป ^^
ตลอดทริปที่ไปได้เห็นได้เจออะไรเยอะแยะมากมายหลายอย่าง ได้เพื่อนใหม่ๆ เจอคนใหม่ๆ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ โตขึ้นไปอีกขั้น
เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ค่ะ แต่เดี๋ยวจะมาอัพทีหลังนะคะ อัพไม่เป็น รอแป้ป
บางทีการไปเที่ยวไม่จำเป็นต้องมีรูปเยอะเสมอไปนะ ใช้ตากับสมองเราจดจำให้ได้มากๆ ก็พอ
และเราหลงทางกันบ่อยมาก หลงทีเดินกลับเป็นกิโลๆ แต่ไม่เปิดจีพีเอสค่ะ (หยิ่งหรอ? ป่าว แบตโทรศัพท์หมด 555)
กางแผนที่ที่ขอมาจากสถานีรถไฟ และเดินถามทางไปเรื่อยๆจนไปถึงจนได้
สุดท้ายขอขอบคุณทุกๆคนที่เราเจอในทริปนี้มากๆเลยนะคะ
ขอบคุณพี่ๆที่ให้เราติดรถไปด้วย
ขอบคุณคำแนะนำ ข้อมูล ดูแลตลอดทริป
สุดท้ายแล้วๆ
มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อว่า ปีแห่งความโดดเดี่ยว
มีคำคมหนึ่งอยู่ปกหลังบอกว่า
"บางทีการได้เดินทางโดยที่ไม่รู้ว่าจะพาตัวเองไปมอดไหม้ที่ดาวดวงไหน ก็อาจจะสุขใจกว่าการย่ำเท้าอย่างปลอดภัยอยู่กับที่ตลอดชีวิต"
มีโอกาสจะกลับไปแน่นอน เชียงใหม่ (คิดถึงนะจ้ะ)
ฝากไว้ด้วยนะคะไปเที่ยวอย่าลืมเคารพกฏของสถานที่ด้วยน้าาา ช่วยกันดูแล ทิ้งขยะให้เป็นที่ เราะจะได้มีที่เที่ยวไปนานๆ

อาหารเช้า กับคุณหลวงและแม่มณี

ผักออแกนิกกับข้าวกล้อง จานนี้ 40 บาทเองนะตัวเธอ

ผาคู่รัก อันที่สูงกว่าคือผู้ชาย อันที่เตี้ยกว่าคือผู้หญิง (ขนาดผายังมีคู่ แล้วเราล่ะมีใคร ร้องไห้แป้ป) TT

ต้นกุหลาบพันปลี ไม่ใช่ปีนะ ปลี เพราะดอกมันคล้ายๆปลีกล้วยจ้ะ (ไกด์บอกมา)

ของจริงสวยมากๆนะคะ แต่แบบ จขกท.สกิลถ่ายรูปกากมาก TT

จากมุมนี้จะมองเห็นเจดีย์คู่ได้ค่ะ

เจดีย์คู่ของพ่อและแม่ ^^

อย่ามัวแต่มองวิวเพลินน้า เดี๋ยวสะดุด 55

กิ่วพ่อปาน เอ้ย กิ่วแม่ปาน เอ้ย ถูกแล้วว 555
ปล.ผิดพลาดประกาารใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ^^
ไป "เชียงใหม่" ครั้งนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง!
มีเรื่องราวมากมายที่อยากจะมาเล่าให้ฟังค่ะ แค่อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ที่ประทับใจในหลายๆเรื่องที่ไปเจอมา หรือข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่พอจะแบ่งปันได้ค่ะ
ขอบอกก่อนเลยนะคะ ว่ารูปถ่ายคือ ถ่ายจากมือถือล้วนๆนะคะ อาจจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่า หากไปดูด้วยตาตัวเอง มันสวยมากๆค่ะ
คุ้มค่ากับความเหนื่อย เริ่มเลยยยยยย!
ก่อนออกเดินทางเราเพลนกับเพื่อนไว้แค่ว่า อยากนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ แค่นี้ค่ะ แค่นี้กันจริงๆ 555 ออกจะดูเป็นทริปที่ขี้เกียจมากๆเลยนะคะ
แต่เราเป็นคนที่ชอบเที่ยวแบบไม่มีเพลนค่ะ เลยจะลุยๆหน่อย ก่อนออกเดินทางประมาณ1-2 อาทิตย์เราก็คุยๆกันว่าอยากไปที่ไหนบ้าง
แล้วก็จองห้องพักอย่างรวดเร็ว ข้อมูลการเดินทางไม่มีอะไรสักอย่าง (แลดูขี้เกียจจริงๆ)
เริ่มเลยยยยย!
วันที่ 1
ออกเดินทางด้วยรถไฟแบบตู้นนอนปรับอากาศ 19:35 ถึงเชียงใหม่ โดยประมาณ 9 โมงนิดๆ
อันที่จริงอยากจะลองนั่งรถไฟขบวนใหม่นะคะ แต่โชคร้ายที่จองไม่ทัน เต็มหมดเลย แง้
เรื่องเล่าบนรถไฟ เบาะนุ่ม นอนสบายดีค่ะ อาหารมีให้สั่งกินได้ ตื่นตอนเช้ามีอาหารพร้อม ซึ่งเราสามารถสั่งไว้ตั้งแต่ก่อนนอนได้
มีน้ำส้มขายด้วยนะคะ พี่พนักงานขยันขายมากเลย ขายให้เราตั้งแต่ตื่นนอนจนรถไฟเทียบชานชลาที่เชียงใหม่ 55
90 เปอร์เซ็นจะเป็นชาวต่างชาติค่ะแบคแพคกระเป๋าใบใหญ่ๆทั้งนั้น คนไทยน้อยมาก
ในส่วนของรถไฟให้คะแนนไป 7/10 ค่ะ ขอหักเรื่องห้องน้ำ อันนี้ทุกคนคงจะพอทราบว่าห้องน้ำรถไฟเป็นยังไง แต่สำหรับขบวนนี้ถือว่าพอใช้ได้ค่ะ
แต่จะหวิวๆเวลาเข้าคือ ลมเย็นมาก T__T
เช้าวันแรกที่ถึงเชียงใหม่เราพักโฮสเทลแถวนิมมานฯค่ะ นั่งรถแดงจากสถานีรถไฟเข้าไปข้างใน 50 บาทน้า
อากาศในตัวเมืองเย็นๆไม่ถึงกับหนาวและมีฝนตกเบาๆ ให้ความรู้สึกเหงาๆดี (เอ๊ะไม่เกี่ยวว)
วันแรกๆไม่ค่อยมีอะไรทำ คิดไม่ออก แต่ท้องร้อง เลยอาบน้ำเก็บของออกไปเดินแถวๆห้าง Maya กับเซนทรัลกาด มีตลาดแล้วก็ของกินเยอะมากกกก
กินตั้งแต่ไปถึงจนวินาทีสุดท้ายตอนห้าทุ่ม ไปเดินเล่นแถวประตูท่าแพ กลับมาถึงห้องก่อนนอนก็ปิดท้ายด้วยโรตี T_T (แอบตกใจตัวเองเบาๆ)
วันแรกที่เราไปถึงในตัวเมืองยังไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะฝนตก เลยไม่ค่อยอยากออกไปไหนกัน
แต่ก็เดินไปไหว้พระหลายวัดเลยค่ะ เพราะข้างในมีวัดสวยๆเยอะมากเลยค่ะ
วันที่ 2
ส่วนของวันที่สองไปพักที่แม่แจ่มค่ะ
โดยขึ้นรถบัสคันเล็กสีฟ้า ราคา 34 บาท จากประตูเชียงใหม่ไปลงที่จอมทองเพื่อต่อรถขึ้นไปบนดอยอีกที
และเมื่อถึงจอมทองจะเจอรถสองแถวสีเหลืองเขียนว่า แม่แจ่ม ราคา 70 บาทค่ะ
ระยะทางก็ไกลพอสมควร นั่งเพลินมากๆเลยค่ะเพราะทางที่ไปแม่แจ่มจะต้องผ่านทางขึ้นดอยอินทนนท์ด้วย วันนั้นอากาศเย็นและหมอกลงหนามาก
สองข้างทางเป็นป่าทึบ มีป่าสนบ้างสลับกัน ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเบลล่ารอเอ็ดเวิร์ดกับเจคอปมารับ กิกิ
เราไปถึงแม่แจ่มก็ค่ำพอดีค่ะ เสียดายมากที่ไม่ได้แวะไปดูนาแม่แจ่มแบบที่ตั้งใจไว้ จึงทำได้แค่ปั่นจักรยานเล่นรอบๆที่พัก
แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่เสียใจเลยคือ การที่เราไปพักที่โฮมสเตย์ที่หนึ่ง แล้วเจ้าของดูแลเราดีมากๆ อยู่กันแบบครอบครัว
เอาผักโครงการหลวงมาให้กินเยอะมากเลยค่ะ และช่วยเหลือจนกระทั่งกลับ ให้คำแนะนำเรื่องการเดินทางและไปส่งขึ้นรถตั้งแต่เช้าอีกแหน่ะ
แม่แจ่มดูเหมือนไม่มีอะไรเลย แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้จากการไปแม่แจ่มครั้งนี้คือ ความสงบที่หาจากในเมืองหลวงไม่ได้
ชีวิตที่ไม่ต้องเร่งรีบตื่นเพราะกลัวรถติด ชีวิตที่กลางคืนคือกลางคืนจริงๆ ชีวิตที่คำว่าน้ำใจจากคนแปลกหน้า หาได้ง่ายมากๆ
ขอบคุณแม่แจ่ม ^^
วันที่ 3
ออกจากแม่แจ่มตั้งแต่เช้าเลยค่ะ เพลนไว้ว่าจะไปกิ่วแม่ปานกัน ซึ่งพี่ที่โฮมสเตย์บอกว่า
มีสองทางเลือก คือ 1. นั่งรถกลับไปเริ่มต้นที่จอมทอง และนั่งรถขึ้นดอยอินทนนท์ขึ้นไปอีกรอบรอบ
2. คือนั่งรถจากแม่แจ่มไปลงที่ด่านสอง และโบกรถขึ้นไป ซึ่งข้อสองเนี่ยมันไม่ชัวร์ว่าจะมีรถไหม
เรากับเพื่อนแอบลังเลแล้วก็กลัวเหมือนกันว่าถ้าไม่มีรถขึ้นไปเราจะทำยังไงจะกลับยังไง บลาๆๆๆ
แต่ก็ตัดสินใจลงที่ด่านสองค่ะ ไหนๆก็มาแล้วถ้าไม่มีรถจริงๆ ค่อยว่ากันอีกทีถือซะว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต 55
และความกลัวทั้งหมดก็หายไป เมื่อลงรถที่ด่านสองปุ๊บ พี่เจ้าหน้าที่ก็จัดการโบกรถให้ได้สำเร็จค่ะ คันแรกที่จอดก็ได้เลยด้วย
รถที่ติดขึ้นไปทุกคนน่ารักมากๆเลย เราก็ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ชาวเชียงใหม่ใจดีทุกคนเลยนะคะ
พอขึ้นไปถึงกิ่วแม่ปาน ตอนเช้านักท่องเที่ยวต่อแถวรอขึ้นไปจุดชมวิวยาวมากก เราเลยขอติดรถพี่เขาขึ้นไปดอยอินทนนท์ก่อน
แล้วโบกรถกลับลงมาตอนสายๆ คนเริ่มน้อยจึงไปต่อแถวรอรับหมายเลขและไกด์ขึ้นไปข้างบน
ไกด์จะเป็นคนท้องถิ่นที่ชำนาญทางเดินกว่าเรานะคะ บังคับให้มีไกด์ทุกกลุ่ม ไกด์หนึ่งคนต่อนักท่องเที่ยวไม่เกิน 10 คนค่ะ ค่าไกด์ 200 บาท
เราไปกันแค่สองคนจึงสะกิดถามคนอื่นๆว่ามีใครจะไปไกด์เดียวกันหรือเปล่าจะได้แชร์ถูกลง จึงได้สาวสวยที่มาสองคนเหมือนกันมาร่วมแชร์
และขากลับพี่เขายังให้ติดรถกลับเข้าเมืองด้วยอีกต่างหาก ><
การเดินขึ้นไปกิ่วแม่ปาน จะมีจุดพักทั้งหมด 21 จุด เดินขึ้นๆลงๆ ขาลากไปเลยทีเดียวสำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายแบบเรา
แต่ขอบอกเลยว่าเหนื่อยแต่คุ้มค่ามากกกกกกกกก (กอไก่ล้านตัว)
แต่ส่วนใหญ่ที่ไปมักจะไปถึงแค่จุดชมวิวที่ฮิตๆกันแล้วก็เดินกลับทางเดิม ไม่ค่อยมีใครเดินอ้อมกลับอีกทางเท่าไหร่
แต่ขอแนะนำว่า ไหนๆก็ไปถึงขนาดนั้นแล้วนะคะ ไปให้คุ้มค่ะ เหนื่อยหน่อยแต่สนุกดี
ทางเดินกลับจะเดินอ้อมไหล่เขา จะมองเห็นเจดีย์คู่มหามงคลบนดอยอินทนนท์อีกฝากได้ สวยมากๆค่ะ
ไกด์ที่พาเดินน่ารักมากๆ สอนภาษาม้งด้วย และดูแแลเราดีมากๆเลย
ขากลับเห็นกวางหนึ่งตัวแต่อยู่ข้างล่างซึ่งมองด้วยตาเปล่าคงเป็นแค่จุดเล็กๆ แต่ไปขอดูจากกล้องพี่ๆที่ถ่ายรูปกัน เลนส์ซูมเทพมากก TT (อยากด้ายยย)
มีผาเล็กๆสองอันติดกัน ชาวบ้านจะเรียกว่า ผาคู่รัก โรแมนติกไปอี้กกกกก ดอกไม้ต้นไม้ขึ้นเต็มตลอดทาง ทะเลหมอกก็น่ากระโดดลงไปจริงๆ 55
ไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาเปรียบ แต่รูปถ่ายร้อยใบ สวยแค่ไหนก็ไม่เท่ากับตาเราที่ได้เห็นเองนะคะ
การไปกิ่วแม่ปานเจ้าหน้าที่จะย้ำมากๆว่าให้เดินอยู่ในเส้นทาง ห้ามออกนอกเส้นทาง เพราะเส้นทางที่เดินมันอันตรายค่ะ
แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวหัวรั้นบางคน เดินออกไปตรงเนินที่เป็นทุ่งหญ้าเพื่อถ่ายรูป ซึ่งมีรั้วกั้นนะคะ มีรั้วกั้น เขาห้าม เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจับตีก้น
หลังจากลงจากกิ่วแม่ปานเรากลับเข้าเมืองเพื่อพักและเดินเล่นถนนคนเดินที่ประตูท่าแพเป็นคืนสุดท้าย
ก่อนจะกลับกรุงเทพฯด้วยการนั่งรถไฟฟรี ในตอนเช้า 6:30 ถึงกรุงเทพ 21:10 13 ชั่วโมง เฮื้อกกกกกกก ก้นแทบพัง(เอ้ะ หรือพังไปแล้วนะ) TT
คืนสุดท้าย เราพักที่เกสเฮ้าแถวประตูท่าแพเลยค่ะ เจ้าของเกสเฮ้าน่ารักๆมากๆให้เราเรียกว่าแม่ด้วย พี่ที่ดูแลเรื่องอาหารการกินใส่ใจมากๆ
เราอยู่กันแบบครอบครัว เราชอบคำนี้ที่สุดเลย
คืนสุดท้ายเป็นคืนที่ประทับใจอีกคืนก่อนกลับมากๆค่ะ
เราไปเดินเล่นที่ประตูท่าแพกันและเจอกลุ่ม Vegan กำลังรณรงค์และอธิบายให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมา ให้รู้จักกับวีแกน
( วีแกน คือกลุ่มคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์และไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม )
ซึ่งเพื่อนเราก็เป็นวีแกนเหมือนกัน เรามีโอกาสได้ไปทานอาหารเม็กซิกันแบบวีแกนกับพวกเขาหลังกลับจากประตูท่าแพร
และได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในหลายๆเรื่อง ประทับใจไปอีก
ตอนเช้า เรื่องเล่าบนรถไฟฟรี
ต่อแถวรับตั๋วได้ตั้งแต่ตีห้าเป็นต้นไป รถออก 6:30
13 ชม. ที่นั้งอยู่บนนรถ คือปวดขามากกกก และห้องน้ำ ........ หลังจากเข้าห้องน้ำไปรอบแรก เราไม่กินน้ำอีกเลยจนถึงหัวลำโพง TT
นั่งๆนอนๆ อยู่อย่างนั้น นับเวลาถอยหลังอย่างมุ่งมั่น ขึ้นรถไฟฟรี มีของขายตลอด ไม่ต้องกลัวหิว ค่ะ ^^
สุดท้ายถึงหัวลำโพงอย่างปลอดภัยในเวลาตรงเป๊ะ .. คุณป้าที่นั่งมาด้วยบอกว่า โชคดีมากที่วันนี้รถไฟไม่เลท ได้แต่ยิ้มแล้วมองหน้ากัน ค่ะ !
ในความอยากลอง ในความอยากเอ็ดเวนเจอร์ ปวดตูดหนักมาก ขา เข่า ไปหมด ถึงบ้านหลับปานตาย ฟื้นอีกทีตอนบ่าย ของอีกวันเลยทีเดียว
แต่ ไม่ลองก็ไม่รู้เน้อะว่าลำบากจริงๆ ครั้งหน้าก็ยังอยากนั่งรถไฟอีกค่ะ แต่คงจะนั่งแบบตู้นอน เข็ดไปอีกนาน
มีคนถามว่า ทำไมไม่นั่งเครื่องบินล่ะหนู ไม่รู้สิ มันไม่ใช่สไตล์เรา
มีคนบอกว่า โหย มาสองคนเนี่ยนะ แล้วไปถึงแม่แจ่มเลยหรอ โบกรถ อันตรายนะ บลาๆ
เราก็ได้แต่ยิ้มแล้วบอกกลับไปว่า ไม่รู้สิคะ แค่อยากไป ^^
ตลอดทริปที่ไปได้เห็นได้เจออะไรเยอะแยะมากมายหลายอย่าง ได้เพื่อนใหม่ๆ เจอคนใหม่ๆ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ โตขึ้นไปอีกขั้น
เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ค่ะ แต่เดี๋ยวจะมาอัพทีหลังนะคะ อัพไม่เป็น รอแป้ป
บางทีการไปเที่ยวไม่จำเป็นต้องมีรูปเยอะเสมอไปนะ ใช้ตากับสมองเราจดจำให้ได้มากๆ ก็พอ
และเราหลงทางกันบ่อยมาก หลงทีเดินกลับเป็นกิโลๆ แต่ไม่เปิดจีพีเอสค่ะ (หยิ่งหรอ? ป่าว แบตโทรศัพท์หมด 555)
กางแผนที่ที่ขอมาจากสถานีรถไฟ และเดินถามทางไปเรื่อยๆจนไปถึงจนได้
สุดท้ายขอขอบคุณทุกๆคนที่เราเจอในทริปนี้มากๆเลยนะคะ
ขอบคุณพี่ๆที่ให้เราติดรถไปด้วย
ขอบคุณคำแนะนำ ข้อมูล ดูแลตลอดทริป
สุดท้ายแล้วๆ
มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อว่า ปีแห่งความโดดเดี่ยว
มีคำคมหนึ่งอยู่ปกหลังบอกว่า
"บางทีการได้เดินทางโดยที่ไม่รู้ว่าจะพาตัวเองไปมอดไหม้ที่ดาวดวงไหน ก็อาจจะสุขใจกว่าการย่ำเท้าอย่างปลอดภัยอยู่กับที่ตลอดชีวิต"
มีโอกาสจะกลับไปแน่นอน เชียงใหม่ (คิดถึงนะจ้ะ)
ฝากไว้ด้วยนะคะไปเที่ยวอย่าลืมเคารพกฏของสถานที่ด้วยน้าาา ช่วยกันดูแล ทิ้งขยะให้เป็นที่ เราะจะได้มีที่เที่ยวไปนานๆ
อาหารเช้า กับคุณหลวงและแม่มณี
ผักออแกนิกกับข้าวกล้อง จานนี้ 40 บาทเองนะตัวเธอ
ผาคู่รัก อันที่สูงกว่าคือผู้ชาย อันที่เตี้ยกว่าคือผู้หญิง (ขนาดผายังมีคู่ แล้วเราล่ะมีใคร ร้องไห้แป้ป) TT
ต้นกุหลาบพันปลี ไม่ใช่ปีนะ ปลี เพราะดอกมันคล้ายๆปลีกล้วยจ้ะ (ไกด์บอกมา)
ของจริงสวยมากๆนะคะ แต่แบบ จขกท.สกิลถ่ายรูปกากมาก TT
จากมุมนี้จะมองเห็นเจดีย์คู่ได้ค่ะ
เจดีย์คู่ของพ่อและแม่ ^^
อย่ามัวแต่มองวิวเพลินน้า เดี๋ยวสะดุด 55
กิ่วพ่อปาน เอ้ย กิ่วแม่ปาน เอ้ย ถูกแล้วว 555
ปล.ผิดพลาดประกาารใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ^^