"พี่อ้อนๆ ไปเที่ยวเชียงใหม่กัน อยากไปเจออากาศหนาวๆ ช่วงวันที่ 5-10 ธค หรือ 9-12 ธค ก็ได้ วันหยุดยาวพอดีเลย"
"เมไปเลย พี่ไปไม่ได้ มีสอบไอเอลวันที่ 17 ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือ"
เอาแล้วไง พี่ที่เที่ยวด้วยกันทุกทริปดันไม่ว่าง แต่ความอยากเที่ยวเหนือขึ้นดอย เจออากาศหนาวๆ มันดันมีมากเกินจะต้านทาน ชวนใครไปก็ไม่มีใครว่าง บางคนติดงาน บางคนไม่มีเงิน .... ฮืมมมมม!! และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางขึ้นเหนือคนเดียวครั้งแรกในชีวิต
สวัสดีค่ะทุกคนนนนน
วันนี้มาขอส่วนแบ่งพื้นที่เล็กๆ ในพันทิปแชร์เรื่องราวการเดินทางของเรา (คนเดียว) เมื่อวันที่ 8-12 ธันวาคมที่ผ่านมานะคะ เนื่องจากนี่เป็นกระทู้แรกในพันทิป ถ้ามีบางส่วนตรงไหนที่ผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ล่วงหน้าเลยนะคะ
อย่างที่เกริ่นในตอนต้นว่านี่เป็นการเดินทางเที่ยวครั้งแรกในชีวิต ถามว่ากลัวมั๊ย ฉันตอบเลยว่ามาก!!! แต่เมื่อความอยากมีมากกว่าความกลัว เราเลยตัดสินใจที่จะลองเดินทางคนเดียวดู จริงๆ เคยอ่านรีวิวของหลายๆ คนมาก่อนหน้านี้แล้ว ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเที่ยวคนเดียวสนุกมาก ได้เปิดมุมมองโลกใหม่ๆ ได้พบเจอคนใหม่ๆ ได้ทำอะไรคนเดียวโดยที่ไม่ต้องรอคนอื่น อยากไปไหนก็ไป บลาๆๆ คิดไปคิดมา อ่านไปอ่านมา มารู้ตัวอีกทีมือก็ลั่นกดซื้อตั๋วเครื่องบินของ Thai Smile มาซะงั้น!!! สนนราคาอยู่ที่ 3,500 บาทไทย (ตอนแรกอยากนั่งรถไฟขบวนใหม่ แต่เต็ม! บวกกับเที่ยวคนเดียว ควรเลือกการเดินทางที่ปลอดภัยไว้ก่อน เลยไปเครื่องบินดีกว่า) เท่านั้นไม่พอ เครื่องบินยังไม่สะใจ ดันลั่นกดจอง hostel ไปอีกกกก!!! เอาแล้วไง กลับตัวตอนนี้ก็ไม่ทันซะแล้ว (เสียดายค่าตั๋วว่างั้น?)
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองอ่านรีวิวหน่อย ไปเที่ยวไหนดี กินอะไรดี ... สารภาพตามตรง เวลาไปเที่ยวไม่เคยวางแผนเลย ไปตายเอาดาบหน้าตลอด อย่างเดียวที่เช็คคือเรื่องการเดินทาง ว่าควรไปยังไง แค่นี้จริงๆ แต่ครั้งนี้เที่ยวคนเดียว งั้นลองดูหน่อยละกัน
อ่านไปอ่านมา เฮ้ยยยย อยากไปดอยอินทนนท์ เฮ้ยยยม่อนแจ่มก็แจ่มสมชื่อ แม่กำปองก็น่ารัก ... แต่คิดไปคิดมา นอนดูดาวที่ม่อนแจ่มก็ดีเหมือนกันนะ โรแมนติกดี (ได้ข่าวว่าไปคนเดียว จะโรแมนซ์กับใครฮ้าาา???)
โอเค งั้นนอนกางเต้นท์ดูดาวก็ได้ สุดท้ายเลยมาจบที่ ม่อนอิงดาว ที่ๆ เราจะไปฝากผีฝากไข้เป็นเวลา 2 วัน ... ต้องใช้ความสตรองมากเลยนะ ที่จะตัดสินใจไปนอนกางเต้นท์คนเดียวได้ ถามว่ากลัวมั๊ย ดึกๆ ดื่นๆ อาจจะมีใครแอบเข้ามาในเต้นท์ (หรือเราจะแอบไปตีหัวคนอื่นแล้วแอบลากเข้าเต้นท์?) ตอบเลยว่ากลัวมาก แต่เรามั่นใจว่าวิชามวยที่เราได้ฝึกมาอย่างช่ำชองนั้น จะสามารถพาเราให้เอาตัวรอดได้ (มั้ง?)
สรุปแผนการเที่ยวในครั้งนี้ (หลังจากที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้ง) ได้คร่าวๆ ตามนี้ ...
8 ธค บินถึงเชียงใหม่ตอนดึก เข้าที่พักโดยด่วน
9 ธค ตื่นเช้าไปวัดดอยสุเทพไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต และหลังจากนั้นก็นั่งรถแดงเที่ยวขึ้นไปเรื่อยๆ
10 ธค เดินทางช่วงเช้ามืดขึ้นไปม่อนแจ่ม พอไปถึงแล้ว ค่อยไปถามคนแถวนั้นว่าจะไปไหน (ไปตายเอาดาบหน้าจริงๆ)
11 ธค เดินทางกลับเชียงใหม่ และเที่ยวในตัวเมืองต่อ
12 ธค เดินทางกลับ กทม
วันเดินทาง ....
ไฟลท์ขาไปออกเวลาประมาณ 4ทุ่มกว่าๆ และถึงเชียงใหม่เวลาประมาณ 5ทุ่มห้าสิบ กว่าจะไปถึงที่พักก็เที่ยงคืนกว่า
สำหรับที่พัก เราจัดการจองไว้ที่ Arch39 Art & Craft Hotel ผ่านทาง Agoda สนนราคาอยู่ที่คืนละ 200 กว่าบาท ที่พักที่นี่ถึงว่าดีเลยสำหรับ Hostel ห้องน้ำสะอาด สถานที่ก็สะอาด วันที่มาถึงพนักงานต้อนรับไม่อยู่แล้ว พี่ รปภ เลยโทรตามให้ ไม่ถึง 2 นาทีก็มาถึงเลย แล้วก็จัดแจงเดินขึ้นที่พักไป และนอนสลบเป็นตาย
เช้าวันที่ 9 วันนี้แพลนไม่มีอะไรมาก (อย่างที่บอก ไม่เคยมีแพลนเที่ยว) ตอนเช้ากะจะตื่นตอนตี 5-6 โมงแต่เมื่อคืนดันมาถึงดึก กว่าจะนอน เก็บของอะไรอีก ไปๆ มาๆ ตื่น 7 โมงเลย เสร็จแล้วก็ออกมาหาของกินหน่อย
มื้อเช้าวันนี้ฝากท้องไว้กับร้านข้าวต้มในตลาดทางช้างเผือก เป็นข้าวต้มหมู ไม่มีอะไรพิเศษ รสหวานๆ หน่อยๆ
เสร็จแล้วเดินมาฝั่งตรงข้ามจะมีร้านกาแฟและเป็น Hostel ด้วย ชื่อว่า Box Tel จัดการสั่งมอคคา และขนมปังนมเนยมากิน
อ้อ สำหรับการเดินทางในตอนเช้านั้นใช้การเดินล้วนๆ ระยะทางจากตลาดกับโฮสเทลไม่ห่างกันเท่าไร แต่ช่วงสายๆ หลังจาดเสร็จธุระ พี่เจ้าถิ่นให้ยืมมอร์ไซค์มาขี่ด้วย (ขอบคุณพี่ๆ มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ)
หลังจากเสร็จธุระก็มาต่อกันที่มื้อเที่ยง วันนี้ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าถิ่นพาไปกินส้มตำ (จำชื่อร้านไม่ได้จริงๆ ค่ะ แต่อร่อยมาก) และต่อด้วยขนม และเครื่องดื่มที่ร้านเคลิ้ม
บรรยากาศร้านโดยรวมดีมากค่ะ เครื่องดื่มและขนมขอให้ปานกลางละกันนะคะ
กินอิ่มแล้ว หลังจากนี้ก็ถึงเวลาเดินทางไปขึ้นดอยสุเทพกัน!!!
เนื่องจากว่าทริปนี้มาคนเดียว และไม่ชำนาญเส้นทาง เราเลยเลือกที่จะขึ้นดอยสุเทพโดยนั่งรถแดงแทน วิธีการที่ง่ายและสะดวกคือเอามอไซค์ไปจอดที่เชียงใหม่คอมเพล็กซ์ (อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ มช มันจะมีที่จอดรถมอไซค์อยู่) หลังจากนั้นก็เดินผ่าน มช ไป มันจะมีคิวรถแดงอยู่ ค่ารถคนละ 40 บาท (รถจะออกเมื่อมีคนครบ 10คน แต่เนื่องจากตอนนั้นมีอยู่ 8 คน และทุกคนก็รอรถออกนานแล้ว เราเลยยอมจ่ายคนละ 50 บาท)
ตลอดเส้นทางถ้าเป็นคนขี่มอไซค์เก่งๆ น่าจะได้อยู่นะคะ แต่ทางค่อนข้างคดเคี้ยวมาก นี่แอบเมารถไปหลายรอบเลย
พอมาถึงแล้ว ก็เดินขึ้นไปที่วัดเลย จริงๆ เค้ามีลิฟต์ เนื่องจากเราเป็นผู้หญิงสตรองจะให้ขึ้นลิฟต์ก็จะเสียคอนเซ็ปต์ เลยเลือกเดินขึ้นไปที่วัดแทน
หลังจากสักการะบูชาพระเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตแล้ว หลังจากนั้นก็นั่งรถแดงลงมาจากวัดกลับเข้ามาในเมือง และแวะไปเดินเล่นที่
Think Park เสร็จแล้วก็กลับเข้าที่พักไปนอน
ตอนนั่งในรถแดงมีฝรั่ง Backpacker ขึ้นมาด้วย ทุกคนมาจากต่างที่กันหมดเลยแล้วมาเจอกันที่ Hostel แล้วพากันไปเที่ยวด้วยกัน นี่อาจจะเป็นอีก 1 ข้อดีของการเที่ยวคนเดียว ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้เจอผู้คนใหม่ๆ เปิดประสบการณ์ และโลกทัศน์ ดีเหมือนกันนะ ...
................................
เช้าวันต่อมา วันที่ 10 วันนี้เราจะไปขึ้นดอยกัน!!!
ตื่นมา 7 โมง อาบน้ำแต่งตัวเตรียมขึ้นดอย ... สำหรับการเดินทางไปม่อนแจ่มนั้นง่ายมาก ให้นั่งรถแดงไปลงที่ท่ารถทางช้างเผือก แล้วนั่งจากรถคันสีเหลือง (ที่เขียนว่าไปสะเมิง) นะคะ (แต่บอกเค้าว่าจะไปม่อนแจ่ม เค้าจะไปจอดให้ตรงปากทางขึ้น ห่างจากม่อนแจ่มประมาณ 6 โล) ค่ารถประมาณ 40 บาท พอมาถึงปากทางเราก็โทรหาที่พักทันทีให้เค้าเอารถมารับ จริงๆ คือมอไซค์รับจ้างนั่นแหละค่ะ ค่ารถ 100 บาท (อัตราค่าโดยสารน่าจะขึ้นอยู่กับว่าพักที่ไหน อย่างเราพักที่ม่อนอิงดาว ค่ารถคือ 100 บาทต่อเที่ยว)
มาถึงที่พักเร็วมาก ประมาณ 10 - 11 โมง พี่เจ้าของที่พักเลยให้มาจองเต้นท์ไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะมีคนมาปูที่นอนให้
หลังจากดูที่พักแล้ว ตันสิคะพี่น้อง ไม่รู้จะไปไหน -_- ไม่มีมอไซค์ก็ลำบากเหมือนกันนะ แต่จุดแรกที่สามารถเดินไปได้ คือจุดชมวิว ห่างจากที่พัก 2 นาที
เราชอบตรงนี้มาก ถึงขนาดเดินไป 3 รอบเลย (2 รอบแรกไปชมวิว รอบสามไปซื้อสตรอเบอร์รี่!)
พอหลุดจากตรงนี้ก็เกิดอาการหิวสิคะเลยจัดก๋วยเตี๋ยวต้มยำไป อากาศหนาวๆ ได้กินอะไรร้อนๆ ก็ทำให้สบายขึ้นมาหน่อย
หลังจากของคาว ก็ต่อด้วยของหวาน แต่ที่นี่นอกจากผลไม้แล้ว ก็ไม่เห็นมีอย่างอื่น เลยมาหาร้านนั่งดื่มกาแฟแทน ร้านที่ได้อยู่ใกล้ๆ ที่พักเลยค่ะ อยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง เข้ามาในร้าน บรรยากาศดีมากกกก เห็นวิวสวยมากกกก ตอนที่ไปนั่งดื่มกาแฟโชคดีที่คนยังน้อย อาจจะเป็นเพราะยังเช้าๆ สายๆ อยู่ คนส่วนใหญ่ยังเดินทางมาไม่ถึง เราเลยมีโอกาสถ่ายรูปสวยๆ (มั๊ย?) อยู่หลายใบเลย
หลังจากเติมพลังให้ท้องแล้ว ต่อมาก็มาเติมพลังให้หัวใจกัน!!! ในเมื่อไม่มีมอไซค์ขี่เที่ยวเองก็ต้องจ้างพี่วินต่อสิคะ จุดหมายปลายทางที่เราจะไปคือ สวนอีเดน!! นั่งรถไม่ไกลจากที่พักมาก ประมาณ 5 นาทีถึงค่ะ
สวนอีเดนคือไร่องุ่นเล็กๆ มีต้นกาแฟ และสตรอเบอร์รี่ปลูกด้วย สวนไม่ใหญ่มากค่ะ จริงๆ เดิน 10 นาทีก็เกินพอแล้ว อ้อ! ที่นี่เค้าห้ามเด็ดองุ่นมาชิมนะคะ ถ้าอยากชิมทางสวนมีให้ซื้อกลับบ้านค่ะ หรือถ้าอยากชิมน้ำองุ่น ทางสวนก้มีให้ค่ะ สนนราคาอยู่ที่ขวดละ 20 บาท ชื่นใจ!!!
ถ้าใครมีเวลาอีกสักหน่อย อยากจะแนะนำให้เดินไปฝั่งตรงข้ามกับสวนอีเดนนะคะ จะมีโรงเพาะชำต้นกล้าของโครงการหลวงค่ะ แปลกมากที่ไม่มีคนเดินไปชม จริงๆ ข้างในก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ มีแต่ต้นกล้า และต้นกล้า
รูปนี้ถ่ายจากด้านนอกเข้าไปนะคะ ที่เห็นเป็นเต้นท์ๆ นั่นคือเรือนเพาะชำ ข้างในจะมีต้นกล้าเล็กๆ เต็มไปหมด แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา ไม่แน่ใจว่าเค้าอนุญาตให้เข้ามั๊ย เพราะไม่มคนเข้าไปเลยค่ะ -_-
ใจจริงอยากไปชมโครงการหลวงหนองหอยต่อ แต่เนื่องจากอากาศหนาว เลยทำให้ร่างกายงอแง เลยขอกลับที่พักดีกว่า
กลับมาถึงที่พักก็ประมาณ บ่าย2 โมงเกือบ 3 โมง คนเริ่มทยอยมาถึงกันเยอะแล้ว บรรยากาศตอนนี้แตกต่างจากช่วงสายๆ แดดรำไรๆ เลยตัดสินใจเดินไปที่จุดชมวิวอีกรอบ
หลังจากนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อแล้ว กลับมานอนพักเอาแรงนิดนึงที่เต้นท์ ตกเย็นๆ ก็ออกมากินข้าวของทางที่พัก อาหารอร่อยดีค่ะ ราคาแพงกว่าปกตินิดนึง เนื่องจากต้องขนส่งมาไกล ให้อภัยค่ะ
อ้อ จะบอกว่า ถ้านอนเต้นท์ที่ม่อนอิงดาว ไม่มีปลั๊กไฟให้ใช้นะคะ ถ้าอยากใช้ไฟ ต้องเสียค่าชาร์จครั้งละ 20 บาท ตัวปลั๊กจะอยู่ในส่วนของครัว มีหลายหัวอยู่ค่ะ (จริงๆ ตรงที่นั่งกินข้าวก็มีให้ชาร์จ ถ้าทานอาหารที่นี่ก็ชาร์จเลยค่ะ)
บรรยากาศช่วงเย็นดีมากกกก อากาศเริ่มหนาวแล้ว แต่มีไอแดดอุ่นๆ พอให้ร่างกายได้หายหนาวนิดนึง ช่วงที่ท้องฟ้าผลัดเปลี่ยนจากบ่ายๆ เป็นกลางคืนสีท้องฟ้าสวยมาก มองแล้วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ทำให้ลืมความวุ่นวายในเมืองหลวงไปได้เยอะเลย
เราใช้เวลานั่งมองท้องฟ้าอยู่นานเลย ก่อนจะเดินไปๆ มาๆ อยู่ตรงโซนที่พักและที่ชาร์จแบต อาบน้ำและเข้านอนค่ะ ... เตรียมเก็บแรงไว้ใช้วันพรุ่งนี้ต่อไป
สำหรับวันที่ 3 นั้นขอเก็บไว้ในคอมเม้นท์นะคะ เนื่องจากในนี้โพสต์จะเกินลิมิตคำแล้ว ><
มีความ Strong ที่เลเวล 99+ ... กางเต้นท์เหงาๆ ดูดาว ณ ม่อนแจ่ม
"เมไปเลย พี่ไปไม่ได้ มีสอบไอเอลวันที่ 17 ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือ"
เอาแล้วไง พี่ที่เที่ยวด้วยกันทุกทริปดันไม่ว่าง แต่ความอยากเที่ยวเหนือขึ้นดอย เจออากาศหนาวๆ มันดันมีมากเกินจะต้านทาน ชวนใครไปก็ไม่มีใครว่าง บางคนติดงาน บางคนไม่มีเงิน .... ฮืมมมมม!! และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางขึ้นเหนือคนเดียวครั้งแรกในชีวิต
สวัสดีค่ะทุกคนนนนน
วันนี้มาขอส่วนแบ่งพื้นที่เล็กๆ ในพันทิปแชร์เรื่องราวการเดินทางของเรา (คนเดียว) เมื่อวันที่ 8-12 ธันวาคมที่ผ่านมานะคะ เนื่องจากนี่เป็นกระทู้แรกในพันทิป ถ้ามีบางส่วนตรงไหนที่ผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ล่วงหน้าเลยนะคะ
อย่างที่เกริ่นในตอนต้นว่านี่เป็นการเดินทางเที่ยวครั้งแรกในชีวิต ถามว่ากลัวมั๊ย ฉันตอบเลยว่ามาก!!! แต่เมื่อความอยากมีมากกว่าความกลัว เราเลยตัดสินใจที่จะลองเดินทางคนเดียวดู จริงๆ เคยอ่านรีวิวของหลายๆ คนมาก่อนหน้านี้แล้ว ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเที่ยวคนเดียวสนุกมาก ได้เปิดมุมมองโลกใหม่ๆ ได้พบเจอคนใหม่ๆ ได้ทำอะไรคนเดียวโดยที่ไม่ต้องรอคนอื่น อยากไปไหนก็ไป บลาๆๆ คิดไปคิดมา อ่านไปอ่านมา มารู้ตัวอีกทีมือก็ลั่นกดซื้อตั๋วเครื่องบินของ Thai Smile มาซะงั้น!!! สนนราคาอยู่ที่ 3,500 บาทไทย (ตอนแรกอยากนั่งรถไฟขบวนใหม่ แต่เต็ม! บวกกับเที่ยวคนเดียว ควรเลือกการเดินทางที่ปลอดภัยไว้ก่อน เลยไปเครื่องบินดีกว่า) เท่านั้นไม่พอ เครื่องบินยังไม่สะใจ ดันลั่นกดจอง hostel ไปอีกกกก!!! เอาแล้วไง กลับตัวตอนนี้ก็ไม่ทันซะแล้ว (เสียดายค่าตั๋วว่างั้น?)
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองอ่านรีวิวหน่อย ไปเที่ยวไหนดี กินอะไรดี ... สารภาพตามตรง เวลาไปเที่ยวไม่เคยวางแผนเลย ไปตายเอาดาบหน้าตลอด อย่างเดียวที่เช็คคือเรื่องการเดินทาง ว่าควรไปยังไง แค่นี้จริงๆ แต่ครั้งนี้เที่ยวคนเดียว งั้นลองดูหน่อยละกัน
อ่านไปอ่านมา เฮ้ยยยย อยากไปดอยอินทนนท์ เฮ้ยยยม่อนแจ่มก็แจ่มสมชื่อ แม่กำปองก็น่ารัก ... แต่คิดไปคิดมา นอนดูดาวที่ม่อนแจ่มก็ดีเหมือนกันนะ โรแมนติกดี (ได้ข่าวว่าไปคนเดียว จะโรแมนซ์กับใครฮ้าาา???)
โอเค งั้นนอนกางเต้นท์ดูดาวก็ได้ สุดท้ายเลยมาจบที่ ม่อนอิงดาว ที่ๆ เราจะไปฝากผีฝากไข้เป็นเวลา 2 วัน ... ต้องใช้ความสตรองมากเลยนะ ที่จะตัดสินใจไปนอนกางเต้นท์คนเดียวได้ ถามว่ากลัวมั๊ย ดึกๆ ดื่นๆ อาจจะมีใครแอบเข้ามาในเต้นท์ (หรือเราจะแอบไปตีหัวคนอื่นแล้วแอบลากเข้าเต้นท์?) ตอบเลยว่ากลัวมาก แต่เรามั่นใจว่าวิชามวยที่เราได้ฝึกมาอย่างช่ำชองนั้น จะสามารถพาเราให้เอาตัวรอดได้ (มั้ง?)
สรุปแผนการเที่ยวในครั้งนี้ (หลังจากที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้ง) ได้คร่าวๆ ตามนี้ ...
8 ธค บินถึงเชียงใหม่ตอนดึก เข้าที่พักโดยด่วน
9 ธค ตื่นเช้าไปวัดดอยสุเทพไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต และหลังจากนั้นก็นั่งรถแดงเที่ยวขึ้นไปเรื่อยๆ
10 ธค เดินทางช่วงเช้ามืดขึ้นไปม่อนแจ่ม พอไปถึงแล้ว ค่อยไปถามคนแถวนั้นว่าจะไปไหน (ไปตายเอาดาบหน้าจริงๆ)
11 ธค เดินทางกลับเชียงใหม่ และเที่ยวในตัวเมืองต่อ
12 ธค เดินทางกลับ กทม
วันเดินทาง ....
ไฟลท์ขาไปออกเวลาประมาณ 4ทุ่มกว่าๆ และถึงเชียงใหม่เวลาประมาณ 5ทุ่มห้าสิบ กว่าจะไปถึงที่พักก็เที่ยงคืนกว่า
สำหรับที่พัก เราจัดการจองไว้ที่ Arch39 Art & Craft Hotel ผ่านทาง Agoda สนนราคาอยู่ที่คืนละ 200 กว่าบาท ที่พักที่นี่ถึงว่าดีเลยสำหรับ Hostel ห้องน้ำสะอาด สถานที่ก็สะอาด วันที่มาถึงพนักงานต้อนรับไม่อยู่แล้ว พี่ รปภ เลยโทรตามให้ ไม่ถึง 2 นาทีก็มาถึงเลย แล้วก็จัดแจงเดินขึ้นที่พักไป และนอนสลบเป็นตาย
เช้าวันที่ 9 วันนี้แพลนไม่มีอะไรมาก (อย่างที่บอก ไม่เคยมีแพลนเที่ยว) ตอนเช้ากะจะตื่นตอนตี 5-6 โมงแต่เมื่อคืนดันมาถึงดึก กว่าจะนอน เก็บของอะไรอีก ไปๆ มาๆ ตื่น 7 โมงเลย เสร็จแล้วก็ออกมาหาของกินหน่อย
มื้อเช้าวันนี้ฝากท้องไว้กับร้านข้าวต้มในตลาดทางช้างเผือก เป็นข้าวต้มหมู ไม่มีอะไรพิเศษ รสหวานๆ หน่อยๆ
เสร็จแล้วเดินมาฝั่งตรงข้ามจะมีร้านกาแฟและเป็น Hostel ด้วย ชื่อว่า Box Tel จัดการสั่งมอคคา และขนมปังนมเนยมากิน
อ้อ สำหรับการเดินทางในตอนเช้านั้นใช้การเดินล้วนๆ ระยะทางจากตลาดกับโฮสเทลไม่ห่างกันเท่าไร แต่ช่วงสายๆ หลังจาดเสร็จธุระ พี่เจ้าถิ่นให้ยืมมอร์ไซค์มาขี่ด้วย (ขอบคุณพี่ๆ มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ)
หลังจากเสร็จธุระก็มาต่อกันที่มื้อเที่ยง วันนี้ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าถิ่นพาไปกินส้มตำ (จำชื่อร้านไม่ได้จริงๆ ค่ะ แต่อร่อยมาก) และต่อด้วยขนม และเครื่องดื่มที่ร้านเคลิ้ม
บรรยากาศร้านโดยรวมดีมากค่ะ เครื่องดื่มและขนมขอให้ปานกลางละกันนะคะ
กินอิ่มแล้ว หลังจากนี้ก็ถึงเวลาเดินทางไปขึ้นดอยสุเทพกัน!!!
เนื่องจากว่าทริปนี้มาคนเดียว และไม่ชำนาญเส้นทาง เราเลยเลือกที่จะขึ้นดอยสุเทพโดยนั่งรถแดงแทน วิธีการที่ง่ายและสะดวกคือเอามอไซค์ไปจอดที่เชียงใหม่คอมเพล็กซ์ (อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ มช มันจะมีที่จอดรถมอไซค์อยู่) หลังจากนั้นก็เดินผ่าน มช ไป มันจะมีคิวรถแดงอยู่ ค่ารถคนละ 40 บาท (รถจะออกเมื่อมีคนครบ 10คน แต่เนื่องจากตอนนั้นมีอยู่ 8 คน และทุกคนก็รอรถออกนานแล้ว เราเลยยอมจ่ายคนละ 50 บาท)
ตลอดเส้นทางถ้าเป็นคนขี่มอไซค์เก่งๆ น่าจะได้อยู่นะคะ แต่ทางค่อนข้างคดเคี้ยวมาก นี่แอบเมารถไปหลายรอบเลย
พอมาถึงแล้ว ก็เดินขึ้นไปที่วัดเลย จริงๆ เค้ามีลิฟต์ เนื่องจากเราเป็นผู้หญิงสตรองจะให้ขึ้นลิฟต์ก็จะเสียคอนเซ็ปต์ เลยเลือกเดินขึ้นไปที่วัดแทน
หลังจากสักการะบูชาพระเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตแล้ว หลังจากนั้นก็นั่งรถแดงลงมาจากวัดกลับเข้ามาในเมือง และแวะไปเดินเล่นที่ Think Park เสร็จแล้วก็กลับเข้าที่พักไปนอน
ตอนนั่งในรถแดงมีฝรั่ง Backpacker ขึ้นมาด้วย ทุกคนมาจากต่างที่กันหมดเลยแล้วมาเจอกันที่ Hostel แล้วพากันไปเที่ยวด้วยกัน นี่อาจจะเป็นอีก 1 ข้อดีของการเที่ยวคนเดียว ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้เจอผู้คนใหม่ๆ เปิดประสบการณ์ และโลกทัศน์ ดีเหมือนกันนะ ...
................................
เช้าวันต่อมา วันที่ 10 วันนี้เราจะไปขึ้นดอยกัน!!!
ตื่นมา 7 โมง อาบน้ำแต่งตัวเตรียมขึ้นดอย ... สำหรับการเดินทางไปม่อนแจ่มนั้นง่ายมาก ให้นั่งรถแดงไปลงที่ท่ารถทางช้างเผือก แล้วนั่งจากรถคันสีเหลือง (ที่เขียนว่าไปสะเมิง) นะคะ (แต่บอกเค้าว่าจะไปม่อนแจ่ม เค้าจะไปจอดให้ตรงปากทางขึ้น ห่างจากม่อนแจ่มประมาณ 6 โล) ค่ารถประมาณ 40 บาท พอมาถึงปากทางเราก็โทรหาที่พักทันทีให้เค้าเอารถมารับ จริงๆ คือมอไซค์รับจ้างนั่นแหละค่ะ ค่ารถ 100 บาท (อัตราค่าโดยสารน่าจะขึ้นอยู่กับว่าพักที่ไหน อย่างเราพักที่ม่อนอิงดาว ค่ารถคือ 100 บาทต่อเที่ยว)
มาถึงที่พักเร็วมาก ประมาณ 10 - 11 โมง พี่เจ้าของที่พักเลยให้มาจองเต้นท์ไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะมีคนมาปูที่นอนให้
หลังจากดูที่พักแล้ว ตันสิคะพี่น้อง ไม่รู้จะไปไหน -_- ไม่มีมอไซค์ก็ลำบากเหมือนกันนะ แต่จุดแรกที่สามารถเดินไปได้ คือจุดชมวิว ห่างจากที่พัก 2 นาที
เราชอบตรงนี้มาก ถึงขนาดเดินไป 3 รอบเลย (2 รอบแรกไปชมวิว รอบสามไปซื้อสตรอเบอร์รี่!)
พอหลุดจากตรงนี้ก็เกิดอาการหิวสิคะเลยจัดก๋วยเตี๋ยวต้มยำไป อากาศหนาวๆ ได้กินอะไรร้อนๆ ก็ทำให้สบายขึ้นมาหน่อย
หลังจากของคาว ก็ต่อด้วยของหวาน แต่ที่นี่นอกจากผลไม้แล้ว ก็ไม่เห็นมีอย่างอื่น เลยมาหาร้านนั่งดื่มกาแฟแทน ร้านที่ได้อยู่ใกล้ๆ ที่พักเลยค่ะ อยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง เข้ามาในร้าน บรรยากาศดีมากกกก เห็นวิวสวยมากกกก ตอนที่ไปนั่งดื่มกาแฟโชคดีที่คนยังน้อย อาจจะเป็นเพราะยังเช้าๆ สายๆ อยู่ คนส่วนใหญ่ยังเดินทางมาไม่ถึง เราเลยมีโอกาสถ่ายรูปสวยๆ (มั๊ย?) อยู่หลายใบเลย
หลังจากเติมพลังให้ท้องแล้ว ต่อมาก็มาเติมพลังให้หัวใจกัน!!! ในเมื่อไม่มีมอไซค์ขี่เที่ยวเองก็ต้องจ้างพี่วินต่อสิคะ จุดหมายปลายทางที่เราจะไปคือ สวนอีเดน!! นั่งรถไม่ไกลจากที่พักมาก ประมาณ 5 นาทีถึงค่ะ
สวนอีเดนคือไร่องุ่นเล็กๆ มีต้นกาแฟ และสตรอเบอร์รี่ปลูกด้วย สวนไม่ใหญ่มากค่ะ จริงๆ เดิน 10 นาทีก็เกินพอแล้ว อ้อ! ที่นี่เค้าห้ามเด็ดองุ่นมาชิมนะคะ ถ้าอยากชิมทางสวนมีให้ซื้อกลับบ้านค่ะ หรือถ้าอยากชิมน้ำองุ่น ทางสวนก้มีให้ค่ะ สนนราคาอยู่ที่ขวดละ 20 บาท ชื่นใจ!!!
ถ้าใครมีเวลาอีกสักหน่อย อยากจะแนะนำให้เดินไปฝั่งตรงข้ามกับสวนอีเดนนะคะ จะมีโรงเพาะชำต้นกล้าของโครงการหลวงค่ะ แปลกมากที่ไม่มีคนเดินไปชม จริงๆ ข้างในก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ มีแต่ต้นกล้า และต้นกล้า
รูปนี้ถ่ายจากด้านนอกเข้าไปนะคะ ที่เห็นเป็นเต้นท์ๆ นั่นคือเรือนเพาะชำ ข้างในจะมีต้นกล้าเล็กๆ เต็มไปหมด แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา ไม่แน่ใจว่าเค้าอนุญาตให้เข้ามั๊ย เพราะไม่มคนเข้าไปเลยค่ะ -_-
ใจจริงอยากไปชมโครงการหลวงหนองหอยต่อ แต่เนื่องจากอากาศหนาว เลยทำให้ร่างกายงอแง เลยขอกลับที่พักดีกว่า
กลับมาถึงที่พักก็ประมาณ บ่าย2 โมงเกือบ 3 โมง คนเริ่มทยอยมาถึงกันเยอะแล้ว บรรยากาศตอนนี้แตกต่างจากช่วงสายๆ แดดรำไรๆ เลยตัดสินใจเดินไปที่จุดชมวิวอีกรอบ
หลังจากนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อแล้ว กลับมานอนพักเอาแรงนิดนึงที่เต้นท์ ตกเย็นๆ ก็ออกมากินข้าวของทางที่พัก อาหารอร่อยดีค่ะ ราคาแพงกว่าปกตินิดนึง เนื่องจากต้องขนส่งมาไกล ให้อภัยค่ะ
อ้อ จะบอกว่า ถ้านอนเต้นท์ที่ม่อนอิงดาว ไม่มีปลั๊กไฟให้ใช้นะคะ ถ้าอยากใช้ไฟ ต้องเสียค่าชาร์จครั้งละ 20 บาท ตัวปลั๊กจะอยู่ในส่วนของครัว มีหลายหัวอยู่ค่ะ (จริงๆ ตรงที่นั่งกินข้าวก็มีให้ชาร์จ ถ้าทานอาหารที่นี่ก็ชาร์จเลยค่ะ)
บรรยากาศช่วงเย็นดีมากกกก อากาศเริ่มหนาวแล้ว แต่มีไอแดดอุ่นๆ พอให้ร่างกายได้หายหนาวนิดนึง ช่วงที่ท้องฟ้าผลัดเปลี่ยนจากบ่ายๆ เป็นกลางคืนสีท้องฟ้าสวยมาก มองแล้วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ทำให้ลืมความวุ่นวายในเมืองหลวงไปได้เยอะเลย
เราใช้เวลานั่งมองท้องฟ้าอยู่นานเลย ก่อนจะเดินไปๆ มาๆ อยู่ตรงโซนที่พักและที่ชาร์จแบต อาบน้ำและเข้านอนค่ะ ... เตรียมเก็บแรงไว้ใช้วันพรุ่งนี้ต่อไป
สำหรับวันที่ 3 นั้นขอเก็บไว้ในคอมเม้นท์นะคะ เนื่องจากในนี้โพสต์จะเกินลิมิตคำแล้ว ><