๑๕๐ ที่นั่ง ต่อวัน ที่หน้าพระบรมโกศ ร.๙

กระทู้สนทนา
เราเริ่มต้นที่ท่าเรือข้ามฟากวัดอรุณ เพื่อข้ามไปยังท่าเตียน ขึ้นฝั่งแล้ว เดินเท้าไปอีกนิด จะเห็นมุมกำแพงพระบรมหาราชวัง บ้าน ของพระราชา และครอบครัวของพระองค์ (คนไทยเรียกท่านว่า พ่อ และแม่) ถึงตรงนั้นเราต้องเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร เราจะเจอกับเต้นสีขาว ที่มีเจ้าหน้าที่จาก มหาจุฬาฯ มาคอยอำนวยความสะดวก มีเจ้าหน้าที่สงฆ์ ประมาณ ๓-๔ รูป อยู่ประจำเต้น สิ่งที่เราต้องมี คือใบสุทธิ หรือบัตรประจำตัวพระ สำหรับลงทะเบียน สอบถามชื่อ ฉายา นามสกุล และสังกัด การลงชื่อสามารถลงได้รอบละ ๕๐ รูป วันละ ๓ รอบ (๐๙๓๐ ,๑๒๓๐ และ ๑๕๓๐) ควรบริหารเวลาของท่านให้ดีนะครับ วันที่เราไป อีกประมาณ ๕ นาที จะถึงเวลา ๑๒๓๐ เราไปกัน ๓ รูป ทันรอบนั้นพอดี และเหลือที่ว่าง ๓ รูปสุดท้ายในรอบนั้น
เมื่อเราลงทะเบียนกันเสร็จ จะมีพระพี่เลี้ยงแจ้งข้อควรปฏิบัติ รูปใดไม่โกนเครา หนวด มีมีดโกนถวาย ,ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด เก็บลงย่าม ,ระหว่างเดินเข้า และออก หากไม่จำเป็นไม่ควรพูดคุย หรือส่งเสียง ,ติดบัตรที่ทางเจ้าหน้าที่จัดถวาย ,รูปใดที่มีย่ามมาด้วย จะได้รับบัตร ๒ ใบ สำหรับติดที่ตัว ๑ และสำหรับติดที่ย่าม ๑ ,ฝากย่ามไว้กับเจ้าหน้าที่ ,ถอดรองเท้า และเมื่อถึงเวลา ถ่ายรูปหมู่ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ข้างเต้น และเดินเรียงแถวตอน ๒ เข้าไปในวังด้วยอาการอันสงบ ระหว่างทาง จะมีเจ้าหน้าที่คอยกันถวาย ทั้งรถ และโยม ถ้าเป็นโยมคนไทย ก็ดีไป แต่ถ้าเป็ชาวต่างชาติ พวกเราต้องระวังกันเองครับ เพราะเขาจะเบียดเราเพื่อให้ได้เดินแทรกไปก่อน
เมื่อเข้าไปถึง เราจะได้เดินขึ้นทางบันไดที่อยู่ตรงกลาง ส่วนของโยมจะเป็นบันไดสองด้านระหว่างของเรา เราหยุดพักตรงบันได เพื่อรอให้โยมด้านในได้ออกมา เราก็เหลือไปเห็นทางเดิน ที่เราคุ้นตาในภาพข่าว หลายพระองค์เดินขึ้นทางนั้น ระหว่างที่เดินขึ้น ท่านคงสะเทือนใจไม่น้อย เราเห็นร่องรอยความรัก ความอาทรระหว่างพี่น้อง บนทางเดินนั้น
แล้วเจ้าหน้าที่ ก็นิมนต์ให้เราเข้าไป ขณะที่เท้าก้าวผ่านธรณีประตู เราก้มหน้ามาตลอด ตั้งแต่ขึ้นบันได ใจเราคิดว่า ถ้าเราเงยหน้า เราก็เห็นแล้ว เราจะได้พิสูจน์กับตา ว่านี่มันเป็นเรื่องจริง พระองค์สวรรคตแล้วจริงๆ
เราเป็นสงฆ์สมมติ ที่เป็นปุถุชน เรายังมีความรู้สึกอยู่ แต่เราก็เข้าใจในความเปลี่ยนไปได้มากขึ้น ได้มากกว่าเดิมที่เราเคยเป็น ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราคงร้องไห้
เจ้าหน้าที่เข้าไปยกรั้วกั้นออก เพื่อให้เราได้เข้าไปใกล้ได้มากที่สุด เรายืนนิ่งตรงนั้นสักพักหนึ่ง แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง ... ใช่ นี่คือเรื่องจริง ถ้าคนข้างหลังสังเกตุ จะเห็นว่าเราตัวสั่น เราอยู่ใกล้มาก ชั่วขณะจิต เราก็คิดได้ ว่ามันเป็นอย่างนี้เอง เราจึงเริ่มภาวนา แต่เราไม่หลับตา เราภาวนา พร้อมกับเพ่งเข้าไปตรงนั้น เราเก็บภาพนั้นได้นาน และมันจะอยู่ตลอดไป
เราคิดว่า แค่แรงของเราคนเดียว อาจเหมือนกับไม้ขีดไฟ ที่ไปถึงพระองค์ แต่ถ้าไม้ขีดไฟอย่างเรา ไปรวมกันกับทุกคนในประเทศล่ะ ... แค่นี้เราก็ยิ้มได้แล้ว
เวลาพอประมาณ เจ้าหน้าที่ก็นิมนต์ให้เราลงอีกทาง เราเดินไปเห็นพระพิธีธรรมท่านประจำที่แล้ว เราเดินก้มหน้า เพราะหนัก หนักที่แบกรับว่าตลอด ๒ เดือนกว่า เกือบ ๓ เดือนมานี้ คือเรื่องจริง เราเห็นกับตาแล้ว เห็นแค่นี้ เราก็เชื่อได้แล้ว ... เราเดินก้มหน้าออกมาตลอดทาง เราไม่มองตากับแถวของพสกนิกรของพระองค์ ที่ยืนกันอยู่เต็มบริเวณ เพราะเรายังไม่แน่ใจ ว่าจะเจอกับสายตาแบบไหน ถ้าเราเจอสายตาที่เข็มแข็ง ก็ดีไป แต่ถ้าเราต้องเจอกับสายตาที่เศร้าโศกล่ะ เราคงทรงอาการไว้ไม่อยู่แน่ เรารับพระบรมฉายาลักษณ์ ที่มีคนเอามาถวาย และเดินออกมา

ถ้าเราจะใช้พระราชประวัติของพระองค์มาเทศน์ หรือกล่าวสอนญาติโยม หรือแม้แต่สอนตัวเอง หรือเล่าให้เด็กรุ่นหลังได้ฟัง ชีวิตนี้ อาจจะเล่าได้ไม่หมด ... และหลังจากการสวรรคตของพระองค์ กาลเวลา ก็จะเข้ามาทำหน้าที่ในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เราย้อนกลับไปนึกถึง รัชกาลที่ ๕ ที่เรื่องราวของพระองค์ค่อยๆ จางลง มีเพียงเขาเล่าว่า และประวัติศาสตร์ที่คนเขียนขึ้นด้วยความรู้สึกส่วนตัว จะดีกว่านั้นก็ตรงที่เรามีทั้งภาพนิ่ง และเคลื่อนไหว เป็นเครื่องยืนยันว่า ทำไม รัชกาลที่ ๙ จึงเป็น ปิยชน เป็นที่รักของปวงชน ไม่แพ้ปู่ของพระองค์

เราเดินออกมาจากพระบรมมหาราชวังแล้ว และตั้งใจไว้ว่า เราจะกลับไปอีกครั้ง เราจะเข้าไปยืนใกล้ๆ "มหาบพิตร" ของเรา อีกครั้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่