อเมริกา-ไทย : ความขัดแย้งระหว่างพันธมิตร



แม้ว่าประธานาธิบดีจอห์น ดับเบิลยู บุช จะชื่นชมประเทศไทย ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าไทยเป็นชาติพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดในแถบเอเชีย แต่เบื้องหลังทางการทูตมีการเล่นเกมกันอยู่เบื้องหลัง

การที่บุชได้พยายามแก้ไขปัญหาในประเทศแถบเอเชียนั้น ถือว่ามีนัยยะสำคัญต่อประเทศไทยกรณีครบรอบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอเมริกา-ไทย  175 ปีทางการทูต ซึ่งทางคณะรัฐบาลประสบความสำเร็จทางการทูต ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนสิทธิเสรีภาพ กฎหมายและประชาธิปไตย

ฝ่ายซ้ายไม่สามารถพึ่งพาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอเมริกา-ไทย ได้ ซึ่งฝ่ายซ้ายก็ได้ตื่นตัวมากขึ้นในช่วงที่ทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อเดือนกันยายน ปี 2006 ขับไล่นายกทักษิณ ชินวัตรที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และเป็นการจุดชนวนให้เกิดผู้สนับสนุนโดยผู้คนมองว่า กรุงวอชิงตันเลือกข้างฝ่ายทหารและนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง

บนโพเดียมนั้น บุขแสดงความยินดีกับไทยที่รื้อฟื้นระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา แต่ที่เห็นได้ชัดนั้นก็เป็นการหลีกเลี่ยงการแสดงความเห็นทางการเมืองภายใต้การปกครองของทหารมาเป็นเวลา 16 เดือนและเบื้องหลังทางการเมืองก็ยังมีกองทัพคอยสั่งการอยู่ เบื้องหลังนี้ก็เป็นสัญญาณว่า ฝ่ายทักษิณไม่มีการรับเชิญให้ไปงานระดับสูงตามที่ต่างๆและตัวทักษิณเองก็ไม่สามารถร่วมงานหรือเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก

ตัวแทนของบุชก็ไม่ยอมรับในเรื่องนี้ แม้ว่าหลังจากที่มีการพยายามล็อบบี้รัฐบาลไทยอย่างหนักแล้ว ในการตอบคำถามหลังจากที่ได้เข้ามาแก้ปัญหาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องถามมุมมองของอเมริกาที่มีต่อการทำรัฐประหารที่ไทย ทั้งการร่างรัฐธรรมนูญของทหารกับปฎิกิริยาต่อการแทรกแซงทางการทหารของอเมริกาในอนาคต ซึ่งความกลัวนี้อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองไทย

บุคคลภายในรัฐบาลไทยต่างก็ยืนกรานว่า บุชประสบความล้มเหลวจากการล็อบบี้รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศในการพบปะกับพระเจ้าอยู่หัวซึ่งอาศัยอยู่ในตำหนักที่หัวหิน อยู่ห่างจากกรุงเทพประมาณ 200 กิโลเมตร แหล่งข้อมูลของรัฐบาลได้กล่าวว่า เป็นเพราะสนามบินหัวหินไม่สามารถรองรับลานวิ่งเครื่องบินของบุชได้ โดยพระเจ้าอยู่หัวเองก็ไม่สามารถเดินทางมายังกรุงเทพเพื่อพบปะกับบุชได้

ความวุ่นวายในการเจรจาทางการทูตก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ของผู้สนับสนุนฝ่ายทักษิณที่มองว่า บุชมีสายลับแทรกซึมที่ประเทศไทย แม้จะมีแถลงการณ์ของอเมริกาออกมาล่วงหน้าในการประฌามการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยจากการทำรัฐประหารของฝ่ายทหาร ซึ่งส่วนใหญ่นายทหารก็มีความใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกา

แม้ว่าอเมริกาจะมีการระงับการช่วยเหลือกองทัพไทยจากการฝึกฝนร่วมคอบร้าโกลด์ ในขณะที่กองทัพไทยมีอำนาจ ฝ่ายสนับสนุนทักษิณก็รู้สึกไม่พอใจต่อการแสดงความคิดเห็นของบุชต่อ APEC ที่มีการประชุมกันในกรุงฮานอยหลังจากที่มีการทำรัฐประหารปี 2006 เป็นที่น่าสังเกตที่เขาได้กล่าวว่า ประเทศสิงคโปร์ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ แต่ก็ยังเป็นมิตรที่ดีต่ออเมริกาอยู่


การทูตสองแฉก

นักการทูตอเมริกาประจำประเทศไทยสามารถแยกแยะเรื่องราวระหว่างพลเมืองไทยกับกองทัพไทยได้ดี และบ่อยครั้งก็มีการใช้นโยบายเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของตัวเองหลายๆเรื่อง ตัวอย่างเช่นในช่วงปี 1947-1958 CIA ได้เข้ามาแทรกแซงกิจการการเมืองไทยและบ่อยครั้งอเมริกาก็ให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยในการกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเมื่อมีผลประโยชน์เข้าเกี่ยวข้อง

ในปี 1960 กับ 1970 อเมริกาได้ให้การช่วยเหลือรัฐบาลทหารไทยและช่วงวางผังถนนเพื่อช่วยให้กองทัพไทยต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ ตอนนี้ไม่มีประเทศไหนที่ส่งเสริมนโยบายระบอบประชาธิปไตยและวางยุทธศาสตร์ได้ดีไปกว่าประเทศไทยแล้ว คณะรัฐบาลของบุชก็รณรงค์ให้มีการต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งเขาได้กล่าวสุนทรพจน์อำลา โดยจะให้กองทัพอเมริกาเข้ามาแทรกแซงในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก็รวมไปถึงประเทศไทยด้วย

ตลอดจนในช่วงปี 1970 1980 และจนถึง 1990 ทางด้านกรุงวอชิงตันก็ออกมาแก้ต่างเรื่องต่างๆนาๆ และก็อ้างว่าหลายประเทศให้การต้อนรับเป็นอย่างดี กองทัพอเมริกานั้นมุ่งเน้นในเรื่องการคานอำนาจกับคอมมิวนิสต์จีนและการเผยแพร่อิทธิพลของจีน ต่อมาเมื่อจีนได้แปรสภาพเป็นกึ่งคอมมิวนิสต์กึ่งทุนนิยม และมีการปรับเปลี่ยนท่าทีทางการทูตและเศรษฐกิจ ทำให้อเมริกาตกอยู่ในสภาวะลำบากในการเดินเกมตามยุทธศาสตร์

ความพยายามในการคานอำนาจจากการเผยแพร่อิทธิพลของจีนนั้น หลายฝ่ายก็ได้วิเคราะห์ว่าเป็นเรื่องที่อเมริกาสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ทางด้านคณะรัฐบาลบุชเองก็ได้พูดถึงความเสี่ยงในการก่อการร้ายในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายอย่างกัมพูชานั้น นักวิเคราะห์ก็มองว่าไม่มีสัญญาณใดๆจากการสร้างสถานการณ์การก่อการร้าย

ประเทศไทยเจอกับสถานการณ์เลวร้ายจากนโยบายของอเมริกา และปี 2003 อเมริกาก็ได้ยกระดับกรุงเทพโดยใช้สนธิสัญญา NATO โดยมีการพบปะหารือกับหน่วยรบพิเศษและผลประโยชน์ทางด้านการเงินในประเทศ ทางด้านเจ้าหน้าที่ข่าวกรองอเมริกาก็ได้ปรับสถานะของผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทยให้อยู่ในส่วนของหน่วย JSEC สอดคล้องกับข้อมูลของรัฐบาลที่มีการให้ความร่วมมือเรื่องนี้อย่างลับๆ

เช่นกันในปี 2001 ประเทศไทยยอมรับสนธิสัญญา CTIC ที่กรุงเทพ ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ CIA กับสายลับที่ไทยร่วมมือกันทำงานและแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรก่อการร้าย หน่วยงานได้เคยรายงานการปฎิบัติการในปี 2003 เอาไว้ว่า มีผู้ต้องสงสัยที่เชื่อมโยงกับการก่อการร้ายก็คือ Riduan Isamuddin หรือ Hambalu ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มอัลเคด้าที่เข้ามาเคลื่อนไหวในใจกลางของประเทศไทย


ความมั่งคงที่อยู่เหนือเสรีภาพ

การจับกุมอาชญากรนั้น บุชได้ชื่นชมประเทศไทยเมื่อปี 2003 ซึ่งทำให้เกิดข้อถกเถียงและมีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากต่อการสร้างความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากผู้ต้องสงสัยเป็นคนที่ทางอเมริกาหมายหัวเอาไว้อย่างลับๆในประเทศโลกที่สามก่อนที่จะถูกนำตัวมาสอบสวนที่ประเทศไทย เช่นกันก็มีข้อกล่าวหาว่า CIA มีคุกลับอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก โดยมีผู้ต้องสงสัยชาวปากีสถาน 2 คน ได้ถูกส่งตัวไปและก็เข้าโปรแกรมซ้อมทรมานจนเกิดรายงานที่เป็นข้อถกเถียงมากของบุช

ประเทศไทยไม่เคยยอมรับว่ามีคุกลับอยู่จริง แต่หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่หลายคนของอเมริกาก็ได้ออกมาแฉเกี่ยวกับเรื่องราวนี้ ทางด้านกลุ่มฝ่ายขวาก็ยืนยันว่า อเมริกามีคุกลับอยู่ในไทยเนื่องจากกรุงเทพไม่ได้มีการเห็นชอบสนธิสัญญาการต่อต้านการทรมาน เช่นกันประเทศไทยก็เป็นเบี้ยล่างให้กับอเมริกาในการต่อต้านการก่อการร้ายในปี 2003 ซึ่งทำให้มีการกักตัวผู้ต้องสงสัยโดยที่ไม่ต้องมีการสอบสวนแต่อย่างใด

กลยุทธ์ต่างๆเหล่านี้ทำให้อเมริกาถูกตั้งข้อสงสัย รวมไปถึงการพูดออกมาต่อต้านการทำรัฐประหารต่อกรณีกองทัพไทยได้เข้ามามีอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งฝ่ายข่าวกรองของอเมริกาก็พบว่า ฝ่ายผู้สนับสนุนทักษิณไม่ได้เคลือบแคลงสงสัยต่อการที่อเมริการู้ว่าจะมีการทำรัฐประหารล่วงหน้า ซึ่งมีผู้บงการโดยเจ้าหน้าที่กองทัพและฝ่ายความมั่นคงของไทยที่มีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับกรุงวอชิงตัน

คนของ CIA ก็รวมไปถึงประสงค์ สุ่นสิริกับวินัย ภัททิยะกุล ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการทางด้านข่าวกรองที่ทำงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองกับอเมริกาที่มีการกล่าวหาในช่วงเวลานั้น ทางด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของอเมริกากับอดีตเอกราชทูตอเมริกาประจำประเทศไทย Ralph “Skip” Boyce ก็เป็นที่รู้กันดีว่าให้การสนับสนุนประธานองคมนตรีเปรม ติณสูลานนท์อย่างลับๆ ซึ่งเปรมถูกผู้สนับสนุนทักษิณกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการทำรัฐประหารเมื่อปี 2006 แต่รัฐบุรุษผู้นี้ก็ไม่ได้พูดอะไร

ทักษิณไม่เคยพูดถึงเกมการเมืองของอเมริกาอย่างเปิดเผยก็จริง แต่คนใกล้ชิดของเขาก็เคยกล่าวว่า เขาไม่พอใจต่อการที่กรุงวอชิงตันขานรับการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ โดยเขากล่าวอีกว่า ทักษิณได้เลือกบินไปที่จีนเพื่อส่งข้อความวิจารณ์ไปยังรัฐบาลทหาร โดยความพยายามในการล็อบบี้กับกรุงวอชิงตันประสบความล้มเหลวในการขอความเห็นใจจากผู้นำประชาธิปไตยที่ลี้ภัยทางการเมือง

แม้ว่าทักษิณจะให้การสนับสนุนการต่อต้านการก่อการร้ายของบุช ในเวลาเดียวกันนั้นไทยสร้างความสัมพันธ์ทั้งอเมริกากับจีนไปพร้อมๆกันเพื่อวางรากฐานให้มั่นคง ซึ่งการเดินยุทธศาสตร์ใหม่ไปยังกรุงปักกิ่งก็ทำให้เข้าไปสังเกตการณ์การซ้อมรบกองทัพระหว่างกันได้ และเริ่มมีการวางรากฐานในการซ้อมรบร่วมกันในปี 2005 ซึ่งเป็นการเปิดทางไม่ให้อเมริกาเข้ามาผูกขาดทางกองทัพในการซ้อมรบในประเทศไทย เช่นกันทักษิณเองก็ได้ทำการซื้อขายอาวุธกับจีนระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งอยู่

บุชเคยกล่าวในสุนทรพจน์ของเขาว่า ทูตอเมริกาที่ประจำในประเทศแถบเอเชียจะต้องประเมินผลได้เสียและมุ่งเน้นผลประโยชน์เป็นที่ตั้งและจะต้องสร้างความมั่นคงปลอดภัยระหว่างทั้งสองประเทศ ไม่ว่าทักษิณจะไปซบกับจีนจนทำให้อเมริกาขานรับการทำรัฐประหารในปี 2006 หรือไม่นั้น ก็ยังเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ที่สนับสนุนทักษิณเชื่อว่า รัฐบาลของบุขสนใจแต่ผลประโยชน์มากกว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย นั่นก็หมายความว่า อเมริกาไม่ยอมให้ทักษิณเข้ามามีอำนาจอีก

ผู้แปล : Mr.lawrence10

ที่มา : atimes.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่