ตัวอักษรจากบล็อคที่เธอเล่า... นำพาให้เรามาพบกัน ตอน 6

ตอนนี้ผมยืนอยู่ท่ามกลางสายตามากมาย บางคนก็ยิ้มยิ้มใหญ่...บางคนก็หัวเราะแบบไม่เกรงใจกันเลยสักนิด  
"ทำไมต้องทำหน้าภาคภูมิใจขนาดนั้นด้วย" คำประชดสวยๆกับรอยยิ้มใสๆ มันทำให้ผมอยากทุ่มอะไรก็ได้ใส่หัวเด็กบ้านี่สักที

ผมก้มลงมารองเท้าแตะขอบฟ้าที่รองรับเท้าขาวๆใหญ่ๆหนาๆของตัวเอง ถัดมาก็เป็นกางเกงขาสั้นและท่อนเอวที่มีผ้าขาวม้าคาดคั่นเอาไว้
และเสื้อยับๆซีดๆ ทันสมัย...สมัยคุณปู่ ซึ่งมันก็พอดูดีใช้ได้ แต่ที่ไม่เข้าใจ...ทำไมมีแต่คนหัวเราะเอาหัวเราะเอา

"นี่ มันตลกมากนักหรือยังไง?" ผมกระซิบหูข้างซ้ายยัยนั่นเบาๆ

"ไม่เลย บ้าเหรอ...หล่อดีจะตาย หล่อกว่าตอนใส่สูทอีก" สมองทั้งสองซีกบอกผมว่า...อย่าไปเชื่อยัยนี่นะ
อย่าไปเชื่อเด็ดขาด โอย อึดอัดโว้ย!

"ตาไท..." น้ำเสียงและแววตาที่แม่หันมามองผม ทำให้ผมต้องก้มมองตัวเองอีกครั้ง...แววตาของแม่ช่างแตกต่างจากคนอื่น เหมือนแม่จะตะลึงชื่นใจอะไรนักหนา...ผมก็แค่แต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดาเนี่ยนะ?

"เป็นยังไงคะป้าเทียน ฝีมือฝ้าย...?" เธอยิ้มและยักคิ้วให้ผมนิดหน่อย ก่อนทรุดตัวนั่งลงอย่างอ่อนช้อยบนเสื่อที่เปลี่ยนมาปูที่ลานหน้าบ้าน ซึ่งทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้าและเหมือนบุคคลก็เพิ่มมาหลายคน จนผมต้องรีบกราบสวัสดี

"เหมือนไม่มีผิดเพี้ยน..." ยายเพียรเอ่ยออกมาเบาๆและเล่าบางอย่างผ่านแววตา เหมือนกับว่า...ชุดที่ผมใส่วันนี้มีตำนานบางอย่างเอาไว้

"แต่เปลี่ยนตรงผ้าขาวม้านะคะ ผืนนั้นมันหาย...หนูก็เลยเอาผืนใหม่ที่ต่ำไปเมื่อวันก่อนมา สวยใช่ไหมคะยาย" ...'ผ้าที่ต่ำไป'? อย่าบอกนะ...ว่าผ้านี้ ยัยนี่เป็นคนทอให้ อยู่ๆความอบอุ่นก็แล่นผ่านหัวใจซะงั้น

"ใครเป็นคนทำผ้าหาย...ยายกะว่าจะไปขอบใจสักหน่อย"
แน่นอนว่า...เราสองคนหันมาสบตาและขมวดคิ้วส่ายหน้าให้กันและกันเร็วไว เหตุอะไรที่ทำให้ยายต้องพูดแบบนั้น

"แหม เหมือนไม่มีผิดเพี้ยนจริงๆ ผิดสถานการณ์แต่ตำนานนี่ใกล้เนอะ" และยิ่งหนักไปใหญ่...เมื่อป้าน้อยสมทบแบบนั้น
ผมก็เอาแต่ยิ้มขันอยู่อย่างเก่า...ผมส่งสายตาให้ยัยนั่นขอให้พวกเขาเล่าให้ฟังหน่อย

"นี่มันอะไรกันเหรอคะ...งงค่ะงงมาก" ปุยฝ้ายขยับเข้าไปใกล้ๆยายเพียรอีกครั้ง แต่ก็โดนศอกกระทุ้งอย่างจังเข้าที่ต้นแขน

"ไท...เป็นไงบ้าง ชุดที่พ่อเคยใส่...อุ่นมั้ยลูก?" ผมเอามือไปสัมผัสที่เสื้อและก้มมองมันอีกครั้ง...ไม่อยากจะเลยว่า
เสื้อผ้าที่ผมสัมผัสตอนนี้...คือการส่งต่อเรื่องราวชั้นดีเลยก็ว่าได้ ถ้าพ่อเคยใส่...มันก็ไม่แปลกอะไรที่ผมจะใส่ด้วย
กี่ปีมาแล้วนะ...ที่เรื่องราวได้ฝากเก็บผ้าเอาไว้ มิน่าล่ะทำไมแม่ถึงมองมันแบบชื่นใจนักหนา

"แม่ครับ..." และผมก็ผวาเข้ากอดแม่...เพื่อที่จะได้แผ่ความรู้สึกจากเสื้อตัวนี้ เสื้อแห่งความรู้สึกดีดีที่พ่อฝากเอาไว้...ยี่สิบกว่าปีก่อนตอนพ่อใส่เสื้อตัวนี้ทำอะไร ผมก็อยากทำได้เหมือนพ่อ...

  ตอนนี้ตะวันเริ่มบ่ายคล้อย คนก็เริ่มทยอยมานั่งรวมตัวกันและเหมือนจะนั่งหั่นอะไรสักอย่างอยู่ เป็นแคร่หลายตัวที่นำมาเรียงติดๆกันไว้ และมีหม้อมีเตาหลายใบ วางเรียงอยู่ข้างๆ ผมก็ตัดสินใจไปนั่งกับพวกป้าๆเหล่านั้น เพราะหลังจากที่ได้คุยกับแม่ไป แม่บอกผมว่า.. พ่อเป็นนักศึกษาที่มาหาข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชาวบ้าน และก็โดนกลั่นแกล้งต่างๆนานาเพื่อให้พ่อทนไม่ได้ คือพ่อต้องมาใช้วิถีชีวิตแบบนี้จริงๆ ...พอมาเป็นผมยัยนั่นคงจะนึกเรื่องนี้ได้เพราะเป็นเรื่องเล่าที่กล่าวขานกันมากมายในสมัยนั้น ตำนานสาวชาวบ้านกับหนุ่มเมืองไกล และผมไอ้ไทก็ได้มารับบทพ่อ...และขอเดาเลยว่ายัยปุยฝ้ายก็ได้รับบทเป็นแม่ไงล่ะ ตลกดีชะมัด นี่ถ้ามีใครสักคนรู้ว่า...ผมได้ไปอ่านบทความของยัยนี่ก่อนมาคงตลกกว่านี้ อะไรกันนะ...ที่ปั้นเรื่องราวขึ้นมา นี่มันชีวิตคนนะไม่ใช่ละครหลังข่าว!

"อะแฮ่ม..." เสียงแหลมใสๆเป็นใครไปไม่ได้นอกจากยัยนั่น ผมค่อยๆหันไป ก็พบว่าเธอก็กลายเป็นสาวยิ่งกว่าชาวบ้าน เพราะเป็นเสื้อผ้าที่เก่าและอาจจะอยู่ในตำนานนี้ด้วยก็ได้

"ทำไม? สวยล่ะสิ...ผ้าพวกนี้ฉันค้นมาจากตู้ยายเลยนะ เราจะให้เสื้อผ้าพวกนี้เป็น time machine ชั้นดีที่พาเราเดินทางไปแบบ VIP" สาวชาวบ้านสวมหมวกสานไม้ไผ่กับเสื้อแขนสั้นเปิดไหล่คอกระเช้า สวมผ้าถุงผูกที่เอวเอาไว้ ผมดำขลับยาวสยายสบายตา... ว่าไปก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ยัยปุยฝ้าย...ดอกไม้...ในสายหมอก

"มาเริ่มกันที่ขนมเกรียบกุ้ง..." เธอเดินนำผมไปในบริเวณที่เขาทำขนมกันอยู่ ซึ่งเราทั้งคู่ดูโดดเด่นในหมู่พวกเขา และชาวบ้านเหล่านี้ก็ใจดีกับผมมาก... ทักไม่หยุดปากและอยากจะลากผมไปทำโน่นนี่แต่ยังดีที่ยัยนี่กันตัวผมเอาไว้ได้

"นี่เรียกว่าหวดนะ เอาไว้นึ่งพวกผัก ข้าว ปลาอาหารได้ทุกอย่าง" ผมมองสิ่งที่เธอพูดไป และสังเกตได้ว่า...เครื่องครัวชิ้นนี้ทำด้วยไม้ไผ่คล้ายๆหมวกแต่ถูกหงายเอาไว้

"การนึ่งเป็นการที่เราใช้ไออุ่นจากน้ำ...ทำให้มันชุ่มฉ่ำและสุกได้ ควันขาวๆก็จะลอดไปตามรอยสานของไม้ไผ่มันจะส่งเสริมให้ขนมเราหอมขึ้น" เธอว่าพร้อมกับหลับตาสูดกลิ่น... กลิ่นไอที่ไหลหลั่งออกมาจากหวดใบนั้น ที่น่าจะบรรจุอะไรสักอย่างอยู่ เหมือนมือผมจะรู้ว่าใจต้องการอะไร มันหยิบกล้องที่คล้องคอไว้ยกขึ้นถ่ายทันที...

"ส่วนนี่เรียกหม้อนึ่ง... ซึ่งจะใส่น้ำเอาไว้เพื่อให้เกิดไอแล้วส่งผ่านไปสู่หวด ส่วนข้างล่างเราใช้เตาไฟธรรมดาซึ่งเชื่อเพลิงก็คือถ่านก้อนสีดำๆนี่จ้ะที่จะผลิตพลังงานต่อไป และจะนิยมทำขนมโดยการใช้ถ่าน ซึ่งปัจจุบันบ้านฉันก็ใช้อยู่..."

ภาพหม้อนึ่งที่เธอว่ามีลักษณะเหมือนหม้อดินทั่วไปแต่มีขนาดใหญ่และอวบกว่า แต่เตาไฟที่เธอว่าผมเห็นแม่ใช้บ่อยๆเป็นเตาถ่านที่ด้านบนมีสามขาและมีตะแกรงกลมๆมีรูเล็กๆหายรูอยู่ตรงกลางและช่องส่วนล่างจะใช้รองรับเศษขาวๆจากไฟ ซึ่งแม่เคยบอกว่า...มันเรียกขี้เถ้า
"ตั้งแต่พูดมานี่สงสัยอะไรไหม? เห็นเอาแต่กดถ่ายๆ กดมันลงบนใจซะบ้าง..."

"ก็ไม่สงสัยอะไรนะ เพลินดีด้วย... ต่อเลย" ผมเร่งอย่างยิ้มๆ และทำเป็นดันแขนนิ่มๆให้อธิบายต่อ นี่ไม่ได้แต๊ะอั๋งนะ...ไม่เลย จริงๆ

"ต่อไปจะอธิบายถึงองค์ประกอบละว่าเป็นยังไง"

"เบรคแปปนึงนะ... คืออยากรู้ว่ามีวัตถุประสงค์อะไร? ที่ทำขนมพวกนี้ขึ้นมา และทำไมเธอถึงอยากจะรักษาวิธีการทำขนมพวกนี้เอาไว้..." ยัยนั่นยิ้มแล้วตอบแบบนางสาวไทยว่า

"เพราะการทำขนมในสมัยก่อนมันต้องใช้ขั้นตอนมาก... จากการที่ฟังยายเล่า มีคนนั้นคนนี้นั่งเมาท์แล้วเราก็ทำไปด้วยกัน สังสรรค์กันแบบง่ายๆ เพราะขนมไม่มีขายเหมือนปัจจุบัน มันน่ารักดีนะ...ดูสิ ทำไปยิ้มไปมันภาคภูมิใจดีมั้ง" เธอขยับเข้าไปนั่งแคร่ถัดไปที่ไม่มีใครนั่งมาก แล้วเธอก็ลากกะละมังหนึ่งใบออกมา และดึงอุปกรณ์องค์ประกอบนานามาวางรอไว้

"ขั้นตอนต่อไปคือการทำจริงจัง... เดี๋ยวคุณนั่งตรงนั้นเลยนะ" ผมทำตามที่เธอว่าโดยง่ายและเหมือนว่าเธอก็ไปหยิบอะไรสักอย่างออกจากหวดมา มันคือฟักทองสีเหลืองที่คงผ่านความร้อนมาอย่างดี...กลิ่นหอมอ่อนๆของมัน ทำให้ลิ้นผมกลั่นน้ำลายและแอบกลืนมันลงไป แบบไม่ให้ใครรู้

"เราจะทำการนวดฟักทองกับแป้งมันสำปะหลัง...ซึ่งเป็นการทำขนมสุขภาพดีไม่มีสีเจือปน สีเหลืองข้นๆมาจากพืชผักไทย เราใช้แป้งมันสำปะหลังสามส่วนบวกแป้งฟักทองหนึ่งส่วนแล้วใช้มือม้วนๆนวดให้มันเข้ากัน" เธอสวมถุงพลาสติกในมือนวดไปมา ก่อนยื่นมาตรงหน้าผม

"ลองทำดูสิ สนุกดีนะ..." ผมพยักหน้าแล้วลองทำดู... แป้งนิ่มๆในมือบอกกับผมว่า นี่มันคือครั้งหนึ่งในชีวิตเลยนะ...ที่จะได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ บรรยากาศที่ทุกคนมาช่วยทำงาน โดยที่...ไม่มีค่าแรง ไม่มีการแข่งกับใคร และตั้งใจให้ทุกๆชิ้นมีคุณภาพ ผมอยากจะทราบรสชาติของมันแล้วแหละ...

"พอนวดเข้ากันแล้ว เราก็จะปั้นให้มันเป็นแนวแบบนี้ เพื่อที่จะนำไปห่อใบตองแล้วนำไปนึ่งใส่หวดเอาไว้" เราค่อยๆนวดแป้งไปพร้อมกันๆ อย่างสมานสามัคคีจนป้าๆรอบข้าง จ้องพวกเราไม่ห่างและแอบแซวไปด้วย แต่เธอก็ไม่ได้สนใจปั้นแป้งเป็นท่อนยาวๆต่อไปและใช้ใบตองห่อ ผมก็ทำตามนะ...แต่อดไม่ได้จนต้องถาม

"เขินหรือไง? ทำไมหน้าแดง" ผมแซวเล่นไปแบบนั้น...คือมีผู้หญิงที่ไหนกันที่จะนิ่งใส่ผมแบบนี้ มีแต่คนวิ่งตรงรี่มาหา นี่เสียความมั่นใจไปเลยนะ...ที่ยัยเด็กบ้าเห็นผมเป็นผู้ชายทั่วไป ที่เฉยๆไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไรเลย

"ตาบอดสีเหรอ? ถึงแยกสีไม่ออกอ่ะ หน้าฉันขาวค่ะไม่ได้แดง!" เธอว่าพร้อมกับนำแป้งที่ปั้นและห่อใบตองแล้ว ใส่ไว้ในหวดนั้น

"ไม่แดงอะไร เห็นๆกันอยู่ เดี๋ยวจับออกมาให้ดูเลยอ่ะ" ผมว่าพร้อมกับจับไปที่แก้มใส แป้งสีเหลืองแปดป้ายจนเธอแทบจะร้องว้ายออกมา... และศึกปาแป้งก็เกิดขึ้น

"ไอ้บ้า!" เธอว่าพร้อมเทแป้งมันสำปะหลังเข้าใส่ ฝุ่นสีขาวฟุ้งกระจายทั่วบริเวณนั้น... บริเวณที่ัมันคือหัวผม และผมก็ก้มคว้าฟักทองสีเหลืองที่เหลือไว้ขึ้นมา ป้ายไปบนหน้าตาเธออีกครั้ง... การละเล่นพื้นๆของพวกเราในวันนี้ คือการเล่นแปดป้ายสีกันไปมา แต่มันก็ยังล้างออกนะเพราะไม่ใช่สารเคมี นี่คงเป็นภาพบรรยากาศโรแมนติกอย่างดีเลยมั้ง โรแมนติคกับความหลังที่แสนจะปลอดภัย นอกจากเราจะได้ย้อนความทรงจำไปด้วยกัน...เรายังได้สร้างความทรงจำมันขึ้นมาใหม่ เป็นความทรงจำที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างภาคภูมิใจด้วยสองมือของตัวเอง

ปุยฝ้ายนั่งหั่นแป้งนึ่งที่สุกแล้วอยู่ตรงหน้าผมอย่างก้มหน้าก้มตา และเหมือนว่าเธอจะยังโกรธๆผมอยู่ ผมทนไม่ได้ไงผมเลยยื่นดอกไม้ไปตรงหน้า...เป็นดอกไม้ที่ผมเก็บจากกระเช้ากล้วยไม้ป่าที่ไม่รู้ใครมาปลูกแขวนเอาไว้ ก็เวลาปกติง้อผู้หญิงทีไรผมก็สั่งช่อดอกไม้ใหญ่ๆให้ตลอด แต่ตอนนี้ที่นี่มีอะไรก็ควรใช้ไปก่อน ...เธอตาโตขึ้นมา... ให้เดานะคงตะลึงล่ะสิ

"กล้วยไม้ฉัน!! ? นายไท! ฉันจะทนกับนายไม่ไหวละนะ!" เท่านั้นล่ะ ผมก็ถูกกล้วยไม้ฟาดลงบนใบหน้า และยัยนั่นก็เดินไปจากลานสายตาของผมทันที และทิ้งผมให้หั่นลำพังอย่างเดียวดาย โดยมีป้าๆที่อยู่ใกล้ๆคอยช่วยบอก แม้ใจผมอยากจะตามเธอไปแค่ไหน...แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น เพราะผมต้องหั่นมันให้เสร็จ

    กระบวนการของมันก็คือนำแป้งที่นึ่งสุกแล้วมาทิ้งไว้ให้เย็นสักพักพออุ่นๆ ก็นำมาหั่นเป็นแผ่นบางๆพอดีคำ และแผ่ใส่ถาดเอาไว้เป็นถาดกลมๆขนาดใหญ่สานด้วยไม้ไผ่ที่เรียกว่ากระด้ง ผมว่ามันคล้ายปีกผีกระหังมากนะ...แต่แค่ใหญ่กว่า จากนั้นก็นำไปตากแดดป้าๆเขาบอกผมว่า มันต้องตากสักสองสามแดดโน่นล่ะถึงจะนำมาทอดได้ อยากชิมไวๆแต่ต้องอดใจนิดนึง...
พอทำหน้าที่อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่องผมก็ทำการไปแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองที่ทำเอาไว้ ยัยดอกไม้ในสายหมอก...เธอนี่มันงอนเก่งใช้ได้เหมือนกันนะ

    ผมเดินไปเรื่อยๆจนพบว่า...เธอนั่งอยู่ในเพิงเชิงกระท่อมที่หลังคาถูกล้อมไว้ด้วยใบไม้ ใบไม้แหลมๆยาวๆที่ถูกนำมาสาวรวบถักกันเอาไว้ แม่เคยสั่งให้ไปส่งที่บ้านบ่อยๆซึ่งผมไม่ก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เหมือนกัน แต่พอวันนี้มันมาอยู่ตรงหน้า...ผมอยากเข้าไปใช้มือสัมผัสแทนการใช้ดวงตาที่เพ่งไป และใต้ชายคาหลังนั้นก็มียัยนั่นนั่งอยู่ พร้อมกับทำอะไรสักอย่าง... มองห่างๆเหมือนจะถักหรือสานอะไรนี่แหละ ผมรีบเดินเข้าไปมองมันใกล้ๆ เธอสะบัดหน้าใส่ทันทีที่ผมไปถึง...และผมก็ดึงดอกไม้ที่เหน็บเอาไว้ตรงผ้าขาวม้าออกมา และยื่นไปตรงหน้าเธอ ยัยนั่นหน้าเหวอนิดหน่อยและผมก็ปล่อยมันออกจากมือตัวเองและให้มันเบ่งบานในมือเธอต่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่