บทนำ “ จุดเริ่ม ”
เย็นวันศุกร์ ของวันที่ 2 ธันวาคม ปีพุทธศักราช 2559 ผมนั่งจ้องมองเข็มนาฬิกาเรือนเก่าที่แขวนอยู่บนผนังห้องทำงาน อย่างใจจดใจจ่อ
จ้องมองจนรู้สึกว่า ทำใมเข็มนาฬิกาวันนี้มันเดินช้าจัง ทั้งที่ปกติมันก็เดินอยู่แบบนี้ของมันทุกวัน แต่ผมเองต่างหาก ที่เดินเร็ว
พลางนั่งบ่นในใจว่าเมื่อไหร่ เมื่อไหร่เข็มสั้นจะหมุนมาอยู่ตรงเลข5 และเข็มยาวจะมาอยู่ที่12 ผมก็ยังจ้องมองอยู่แบบนั้น จนกระทั่ง
เวลานั้น มาถึง ..
17.00 เลิกงานแล้วโว้ยยย ผมร้องออกมาอย่างสุดเสียงในใจ แล้วรีบเอาก้นเน่าๆลุกออกจากเก้าอี้เก่าๆในออฟฟิสแคบๆ
รีบวิ่งไปที่จุดแสกนิ้วแล้ววิ่งแจ้นไปที่สองล้อคู่ใจ แว้นกลับห้องพักเพื่อไปแพ๊คเป้ เก็บกระเป๋า ลาแล้วหนอห้องเก่า เพราะคืนนี้ผมมีนัด
21.00 ผมมีนัดกับสมาชิกคนอื่นอีก 9 คนที่นี่ แล้วที่ไหนล่ะ เออ นั่นสิ บิ๊กซีสะพานควายไง
แต่ความจริงผมมารอก่อนตั้งแต่ 19.30 แล้ว จะว่าตื่นเต้นก็ไม่ใช่ ทั้งที่ใจล่วงหน้าไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
21.10 สมาชิกทุกคนมากันครบ รถตู้สีเงิน ล้อทองโหลดเตี้ยนิดหน่อย จอดรอเราที่ลานจอดรถ
พร้อมกับคนขับสุดหล่อ ของเรา นั่นคือ พี่ต้อม

การเดินทางของพวกเรา กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
หลังจากเช็คจำนวนสมาชิก และ อุปกรณ์ทุกอย่างครบ 21.20 เวลาอันพอเหมาะ ล้อรถตู้ก็เริ่มหมุนอย่างช้าๆ พาเราออกจากเมืองกรุงอันศิวิไล เมืองที่มีคนเหงา มากกว่าเสาไฟฟ้า(อันนี้ไม่เกี่ยวละ ) มุงหน้าสู่จุดหมายปลายทาง
บทเริ่มต้น “ บรรยากาศ ในรถตู้ “
ต่างคนต่างจับจองที่นั่ง จัดแจงข้าวของ ขยับตัวให้ให้อยู่ในมุมสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะมีเสียงแว่วขึ้นมาจาก พี่ผู้หญิงคนนึง ซึ่งตัวผมเองเรียกว่า หัวหน้าทริปนี้เลยละกัน นั่นคือ พี่อุ๊ ของเรานั่นเอง

พี่อุ๊แนะนำตัวเป็นคนแรก และส่งต่อมาเรื่อยๆจนครบทุกคน ซึ่งผมเป็นคนสุดท้าย หลังจากแนะนำตัวเสร็จต่างคนก็ต่างถามข่าว ถามคราว สารทุกข์ ทั้งสุข ทั้งดิบ ต่างๆนาๆ
แลดูสนุก สรวลเสฮาฮาพอสมควร ในขณะพี่ต้อมก็ยังจับพวงมาลัยและเหยียบคันเร่งรถไปเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงเพลงกล่อมเบาๆ ชวนให้หลับ และในที่สุดเสียงเจื้อยแจ้วเจราจาก็ค่อยๆเงียบลง เงียบลงเรื่อยๆ และเสียงเพลงที่คอยกล่อมก็เงียบลงด้วยเช่นกัน ผมแอบหันไปมองพร้อมกับความสงสัยว่าในความเงียบนั้นคืออะไร สรุป คือ หลับ ทุกคนหลับ มีเพียงพี่ต้อม ที่หลับ ไม่ได้
" บรรยากาศในรถตู้ ช่างดูเงียบเหงา "
บทถัดมา “ บนถนนสายหนึ่งในจังหวัด พะเยา ”
6.30 นาฬิกา ของเช้าวันที่ 3 ธันวาคม พี่ต้อมก็พาพวกเรามาถึงอำเภอเล็กๆ อำเภอนึงในจังหวัดพะเยา ที่มาที่นี่เพราะมีนัดรับสมาชิกคนที่ 11 พี่ฝ้าย ของเรานั่นไง

ในขณะที่จอดรอพี่ฝ้าย เสียงท้องร้องของสมาชิกคนนึงดังมาเป็นระยะ นั่นเป็นเพราะว่าไม่ได้กินอะไรมาทั้งคืน คนนั้นก็คือ ผมเอง ผมแอบเดินลัดเลาะตามซอยออกไปหาอะไรกระแทกริมฝีปากซักหน่อย ช่วงเวลาเช้าๆของที่นี่ดูมีเสน่ห์มาก อากาศเย็น บวกกับหมอกจางๆ ผู้นคนสัญจรไปมาอย่างไม่ต้องเร่งรีบ ช้าๆ ไม่รีบร้อนอะไร ตลาดเช้าที่นี่ไม่ใหญ่นัก แต่ก็ไม่เล็กพอที่จะมีของกิน ใช่ ของกิน วินาทีนี้ต้องการแค่ของกิน เท่านั้น ผมเดินไปเดินมาซักพักไม่ค่อยมีร้านขายอาหารเลย แต่โชคยังเข้าข้างเพราะ เหลือบมองไปร้านสะดวกซื้อยอดนินม อย่างเซเว่น อีเลฟเว่น ผมรอดตายแล้วผมเดินผ่านประตูร้านเข้ามา พนักงานขายเอ่ยปากทักทายด้วยสีหน้าและแววตาที่ยิ้มแย้ม ว่า ยินดีต้อนรับจ้าว ผมก็ยิ้มตอบกลับไปแต่ไม่ได้พูดอะไร รีบปรี่เข้าไปบริเวณที่มีของกิน และแล้วสิ่งที่ติดตัวมาเมื่อก้าวขาออกจากประตูร้าน ก็คือ ยำยำ คัพ 1 ถ้วย เวลานั้น แค่นั้นก็อร่อย
ผมว่าเสน่ห์ของที่นี่ก็คงเหมือนกับอำเภอเล็กๆในต่างจังหวัดทั่วๆไป แต่ทำใมรู้สึกพิเศษกว่าที่อื่น รึอาจจะเป็นเพราะว่า ผมใช้ชีวิตในเมืองที่วุ่นวาย นานเกินไป รึอาจจะเป็นเพราะว่ามาอำเภอนี้เป็นครั้งแรก จะอะไรก็ช่างเถอะ ผมชอบที่นี่ไปแล้วสิ

" อำเภอ แม่ใจ จังหวัดพะเยา "
บทถัดมาที่ 2 “ ออกจาก แม่ใจ มุ่งหน้าสู่ เชียงราย
หลังจากที่รับพี่ฝ้ายขึ้นรถแล้ว พี่ต้อมก็ทำหน้าที่พาพวกเรามุ่งหน้าสู่จังหวัดที่เป็นจุดหมายแรกของการเดินทางครั้งนี้
ที่นี่ เชียงราย นั่นเอง แต่กว่าจะไปถึงคงใช้เวลานานพอสมควร

พี่กุ้ง สมาชิกอีกคนนึงของเราเอ่ยขึ้นว่า เราหาที่แวะกินอะไรกันก่อนมั้ย กว่าจะไปถึงเชียงรายเดี๋ยวจะหิวกัน ทุกคนต่างยกมือเห็นด้วยกันถ้วนหน้า พี่ฝ้ายเลยนำเสนอร้านข้าวต้มเล็กๆร้านนึง ข้างทาง จำชื่อไม่ได้ แต่จำได้ว่า อร่อยมาก
หลังจากที่อิ่มเอมกับรถชาติของอารเช้ามื้อนี้ ก็ต้องถึงเวลาที่ล้อรถจะหมุนต่ออีกครั้ง มุ่งหน้าสู้เชียงราย แต่ก่อนจะไปถึงจุดหมายที่เชียราย พี่อุ๊แอบพาพวกเราแวะถ่ายรูป ดูดอกทานตะวันเบ่งบานรับแสงอาทิตย์อุ่นๆ ที่ ไร่แสนคำรัก ชื่อสั่นๆ จำง่ายๆ แต่ความสวยเกินบรรยาย

พี่ต้อมเหยียบเบรกหยุดรถ รถของเรามาจอดที่ไร่แสนคำรักแล้ว ผมเลื่อนประตูรถตู้ออกช้าๆ อากาศเย็นๆ บวกกับแสงแดดอุ่นๆ บรรยากาศดีแบบ สุดๆ ทุกคนลงจากรถพร้อมกล้องถ่ายรูปประจำกาย เดินไปหามุมใครมุมมัน ออกไปถ่ายกันอย่างสนุกสาน หน้าตาสดชื่นเบ่งบานไม่แพ้ดอกทานตะวันกันเลยทีเดียว ตัวผมเองก็เช่นกัน

หลังจากเหนื่อยจากการเดินเตร็ดเตร่ เก็บภาพ ที่นี่ก็มีร้านกาแฟ เก๋ๆ บรรยากาศดีๆ อีกด้วย ก่อนกลับเลยจัด ลาเต้เย็นซักแก้ว เดี๋ยวจะหาว่า มาไม่ถึง
เราอยู่ที่นี่ได้ไม่นานมากเพราะกว่าจะไปถึง จุดหมาย เดี๋ยวจะค่ำมืดเอาซะก่อน พี่ต้อมเป่านกหวีดเรียกทุกคนกลับขึ้นรถ ล้อรถของเราเริ่มหมุนอีกครั้ง จุดหมายยังคงรออยู่
" ลาก่อนทานตะวัน แล้วฉันจะกลับมา "
บทถัดมาที่ 3 “ ฮักนะ ปางค่า ”
ร้านอาหารเล็กๆข้างทาง กับอาหารอร่อยๆ บวกกับบรรยากาศระดับ พรีเมี่ยม อย่างกับภัตตาคารหรูบนตึกสูงเสียดฟ้า
ร้านอาหารร้านเดียวบนจุดเริ่มต้นของถนนเลียบสันเขาเส้นนี้ เพราะต่อจากนี้จะไม่มีแล้ว พวกเราเลยต้องจอดพักกินข้าวกันที่นี่ซะเลย กับข้าวที่นี่ ก็ไม่มีอะไรมาก พวกเราเน้นกินง่าย สะดวกรวดเร็ว เพราะต้องทำเวลา สำหรับเมนูที่ตอบโจทย์ก็คงไม่พ้น
ส้มตำ ข้าวเหนียว แต่ที่นี่ไม่มีไก่ย่าง เลยได้ ไข่เจียวมาแทน พร้อมกับเมนูอื่นเล็กๆน้อยๆอีกจำนวนนึง อร่อย อร่อยสุดๆ
เป็นเพราะหิว รึว่า อร่อยจริง เอาเป็นว่าถ้าคุณบังเอิญ รึว่าตั้งใจผ่านมาแถวนี้ ก็อย่าลืมแวะละกันนะ
เช็คบิล เก็บของ ขึ้นรถ ล้อหมุนอีกครั้ง
“ กับข้าวหลักร้อย กับวิวหลักร้อยเก้าๆ ฮักนะ ปางค่า “
บทถัดมาที่ 4 “ ขับรถกินลม ชมทิวเขา ”
กว่าจะถึงจุดหมายแรกของการเดินทางครั้ง นี้ ใช้เวลานานพอสมควรเหมือนกัน รถตู้ของเราแล่นผ่านขุนเขามานับลูกไม่ถ้วน
ขึ้นละก็ลง ลงละก็ขึ้น วนเวียนอยู่แบบนั้น ชวนให้เวียนหัว แต่ก็ยังดีที่วิวข้างทาง มันช่วยให้หายมึนได้อย่างบอกไม่ถูก
สีเขียวของแนวป่าเขา สีขาวของปุยเมฆ กลมกลืนกับสีฟ้าของท้องฟ้า มันชวนให้เคลิ้มในใจ ได้เป็นอย่างดี จริงๆนะ
แตกต่างกับตึกสูง แสงไฟแยงตา สายไฟฟ้าระโยงระยาง ฝุ่นควันคละคลุ้งในเมืองหลวง แตกต่าง อย่างเห็นได้ชัด
ในใจผมอยากบอกกับพี่ต้อมว่า พยุดรถ ถ่ายรูปซักแป๊ป จะได้ใหม อีกใจก็ไม่กล้าเพราะเหลือบไปมองดูนาฬิกาจะค่ำแล้ว
อีกทั้งสมาชิก ก็คงไม่ปลื้มเป็นแน่ และเดี๋ยวจะถึงจุดหมายไม่ทันเวลา ได้แต่สอดสายตาผ่านกระจกมองดู แล้วบันทึกผ่านสมองลงไปเก็บใว้ที่หัวใจ แค่นั้น พอ
“ ไม่มีรูปถ่าย มีแต่ความทรงจำ “
บทถัดมาที่ 5 “ จุดหมายแรก ของการเดินทาง ”
16. 40 ล้อรถตู้ของเราหยุดลง อีกครั้ง ที่ โรงเรียนบ้านร่มโพธิ์ทอง ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
( ที่นี่ห่างจกภูชี้ฟ้าไม่ไกลมาก ซึ่งเราผ่านมันมาแล้ว ) ซึ่งพี่อุ๊ได้นัดกับครู คนนำทาง รวมทั้งลูกหาบไว้ที่นี่
อีกอย่าง เราสืบทราบมาว่าโรงเรียนที่นี่ยังขาดแคลนอยู่พอสมควร พวกเราจึงมีของติดไม้ติดมือมาฝากน้องๆเด็กๆนักเรียนที่นี่
อย่างสมุดระบายสี ดินสอ หนังสือ ของเล่นเล็กๆน้อยๆ ส่งหมอบให้ครูที่นี่ไว้แจกจ่ายให้กับเด็กๆต่อไป เรียกว่าได้บุญกันไปถ้วนหน้า คนให้มีความสุข คนรับก็สุขตามไปด้วย แอบสังเกตสีหน้าและแววตาหลายๆคน มันทำให้ผมยิ้มตามแบบไม่ทั้นตั้งตัวรอยยิ้มแบบนี้ หายากนะ
จบภารกิจแจกจ่ายของ ถึงเวลาที่ต้องเคลียในส่วนของตัวเอง ต่างคนต่างจัดการเป้ใบใหญ่ ทำยังไงก็ได้ให้เล็กลงเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระในการแบกเดินขึ้นเขา สำหรับ 1 คืน บนนั้น หลังจากเสร็จภารกิจ บางคนก็อาบน้ำ บางคนก็ไม่
เพราะเวลานี้ที่นี่ อากาศเย็นเอามาก พอสมควร เย็น จนรู้สึกได้
และแล้ว ทีมงานคนนำทาง ลูกหาบของเราก็มาถึงพร้อมกับรถกระบะสุดโหดที่จะพาเราไปยังจุดสตาร์ทเริ่มเดิน
ตอนแรกผมหาข้อมูลมา ว่าต้องเดินประมาณ 1.5 กิโลเมตร แต่ทางพี่คนนำทางบอกว่า ตอนนี้รถพาขึ้นไปได้ไกล้อีกนิดหน่อย
สรุปพวกเราเดินแค่ 400 กว่าเมตรเอง แต่ชันตลอดนะ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา สำหรับผมแอบเสียใจด้วยซ้ำ ใจจริงอยากเดินซัก 5-6กิโล แต่ก็ไม่เป็นไร แค่นี้ก็พอ
17.20 รถกระบะ พาเรามาจอดกลางป่า แล้วถีบพวกเราลงให้จัดแจงแบกเป้ใส่หลัง เช็คข้าวของพร้อมกับร่างกายและหัวใจให้พร้อม สมาชิกทุกคนพร้อม พวกเราเริ่มดินขึ้น ผ่านต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ป่า ใช้เวลาไม่นาน เหงื่อยังไม่ออก ลมหายใจยังปกติ เรื่ยวแรงยังสบายๆ ผมนับดูเวลา นี่เราเดินไม่ถึง 20 นาทีเลย ใวมาก ๆ พี่ต้อมแอบบอกว่า เดิน 10 บรรยากาศ 100 ผมก็คิดแบบนั้น ในที่สุด พวกเราก็มาถึง ซะที

“ ภูผาสวรรค์ สวรรค์จริงๆ “
[CR] 11 คน 1 คัน 3 วัน กับอีก 3 คืน
เย็นวันศุกร์ ของวันที่ 2 ธันวาคม ปีพุทธศักราช 2559 ผมนั่งจ้องมองเข็มนาฬิกาเรือนเก่าที่แขวนอยู่บนผนังห้องทำงาน อย่างใจจดใจจ่อ
จ้องมองจนรู้สึกว่า ทำใมเข็มนาฬิกาวันนี้มันเดินช้าจัง ทั้งที่ปกติมันก็เดินอยู่แบบนี้ของมันทุกวัน แต่ผมเองต่างหาก ที่เดินเร็ว
พลางนั่งบ่นในใจว่าเมื่อไหร่ เมื่อไหร่เข็มสั้นจะหมุนมาอยู่ตรงเลข5 และเข็มยาวจะมาอยู่ที่12 ผมก็ยังจ้องมองอยู่แบบนั้น จนกระทั่ง
เวลานั้น มาถึง ..
17.00 เลิกงานแล้วโว้ยยย ผมร้องออกมาอย่างสุดเสียงในใจ แล้วรีบเอาก้นเน่าๆลุกออกจากเก้าอี้เก่าๆในออฟฟิสแคบๆ
รีบวิ่งไปที่จุดแสกนิ้วแล้ววิ่งแจ้นไปที่สองล้อคู่ใจ แว้นกลับห้องพักเพื่อไปแพ๊คเป้ เก็บกระเป๋า ลาแล้วหนอห้องเก่า เพราะคืนนี้ผมมีนัด
21.00 ผมมีนัดกับสมาชิกคนอื่นอีก 9 คนที่นี่ แล้วที่ไหนล่ะ เออ นั่นสิ บิ๊กซีสะพานควายไง
แต่ความจริงผมมารอก่อนตั้งแต่ 19.30 แล้ว จะว่าตื่นเต้นก็ไม่ใช่ ทั้งที่ใจล่วงหน้าไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
21.10 สมาชิกทุกคนมากันครบ รถตู้สีเงิน ล้อทองโหลดเตี้ยนิดหน่อย จอดรอเราที่ลานจอดรถ
พร้อมกับคนขับสุดหล่อ ของเรา นั่นคือ พี่ต้อม
การเดินทางของพวกเรา กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
หลังจากเช็คจำนวนสมาชิก และ อุปกรณ์ทุกอย่างครบ 21.20 เวลาอันพอเหมาะ ล้อรถตู้ก็เริ่มหมุนอย่างช้าๆ พาเราออกจากเมืองกรุงอันศิวิไล เมืองที่มีคนเหงา มากกว่าเสาไฟฟ้า(อันนี้ไม่เกี่ยวละ ) มุงหน้าสู่จุดหมายปลายทาง
บทเริ่มต้น “ บรรยากาศ ในรถตู้ “
ต่างคนต่างจับจองที่นั่ง จัดแจงข้าวของ ขยับตัวให้ให้อยู่ในมุมสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะมีเสียงแว่วขึ้นมาจาก พี่ผู้หญิงคนนึง ซึ่งตัวผมเองเรียกว่า หัวหน้าทริปนี้เลยละกัน นั่นคือ พี่อุ๊ ของเรานั่นเอง
แลดูสนุก สรวลเสฮาฮาพอสมควร ในขณะพี่ต้อมก็ยังจับพวงมาลัยและเหยียบคันเร่งรถไปเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงเพลงกล่อมเบาๆ ชวนให้หลับ และในที่สุดเสียงเจื้อยแจ้วเจราจาก็ค่อยๆเงียบลง เงียบลงเรื่อยๆ และเสียงเพลงที่คอยกล่อมก็เงียบลงด้วยเช่นกัน ผมแอบหันไปมองพร้อมกับความสงสัยว่าในความเงียบนั้นคืออะไร สรุป คือ หลับ ทุกคนหลับ มีเพียงพี่ต้อม ที่หลับ ไม่ได้
" บรรยากาศในรถตู้ ช่างดูเงียบเหงา "
บทถัดมา “ บนถนนสายหนึ่งในจังหวัด พะเยา ”
6.30 นาฬิกา ของเช้าวันที่ 3 ธันวาคม พี่ต้อมก็พาพวกเรามาถึงอำเภอเล็กๆ อำเภอนึงในจังหวัดพะเยา ที่มาที่นี่เพราะมีนัดรับสมาชิกคนที่ 11 พี่ฝ้าย ของเรานั่นไง
ผมว่าเสน่ห์ของที่นี่ก็คงเหมือนกับอำเภอเล็กๆในต่างจังหวัดทั่วๆไป แต่ทำใมรู้สึกพิเศษกว่าที่อื่น รึอาจจะเป็นเพราะว่า ผมใช้ชีวิตในเมืองที่วุ่นวาย นานเกินไป รึอาจจะเป็นเพราะว่ามาอำเภอนี้เป็นครั้งแรก จะอะไรก็ช่างเถอะ ผมชอบที่นี่ไปแล้วสิ
" อำเภอ แม่ใจ จังหวัดพะเยา "
บทถัดมาที่ 2 “ ออกจาก แม่ใจ มุ่งหน้าสู่ เชียงราย
หลังจากที่รับพี่ฝ้ายขึ้นรถแล้ว พี่ต้อมก็ทำหน้าที่พาพวกเรามุ่งหน้าสู่จังหวัดที่เป็นจุดหมายแรกของการเดินทางครั้งนี้
ที่นี่ เชียงราย นั่นเอง แต่กว่าจะไปถึงคงใช้เวลานานพอสมควร
หลังจากที่อิ่มเอมกับรถชาติของอารเช้ามื้อนี้ ก็ต้องถึงเวลาที่ล้อรถจะหมุนต่ออีกครั้ง มุ่งหน้าสู้เชียงราย แต่ก่อนจะไปถึงจุดหมายที่เชียราย พี่อุ๊แอบพาพวกเราแวะถ่ายรูป ดูดอกทานตะวันเบ่งบานรับแสงอาทิตย์อุ่นๆ ที่ ไร่แสนคำรัก ชื่อสั่นๆ จำง่ายๆ แต่ความสวยเกินบรรยาย
เราอยู่ที่นี่ได้ไม่นานมากเพราะกว่าจะไปถึง จุดหมาย เดี๋ยวจะค่ำมืดเอาซะก่อน พี่ต้อมเป่านกหวีดเรียกทุกคนกลับขึ้นรถ ล้อรถของเราเริ่มหมุนอีกครั้ง จุดหมายยังคงรออยู่
" ลาก่อนทานตะวัน แล้วฉันจะกลับมา "
บทถัดมาที่ 3 “ ฮักนะ ปางค่า ”
ร้านอาหารเล็กๆข้างทาง กับอาหารอร่อยๆ บวกกับบรรยากาศระดับ พรีเมี่ยม อย่างกับภัตตาคารหรูบนตึกสูงเสียดฟ้า
ร้านอาหารร้านเดียวบนจุดเริ่มต้นของถนนเลียบสันเขาเส้นนี้ เพราะต่อจากนี้จะไม่มีแล้ว พวกเราเลยต้องจอดพักกินข้าวกันที่นี่ซะเลย กับข้าวที่นี่ ก็ไม่มีอะไรมาก พวกเราเน้นกินง่าย สะดวกรวดเร็ว เพราะต้องทำเวลา สำหรับเมนูที่ตอบโจทย์ก็คงไม่พ้น
ส้มตำ ข้าวเหนียว แต่ที่นี่ไม่มีไก่ย่าง เลยได้ ไข่เจียวมาแทน พร้อมกับเมนูอื่นเล็กๆน้อยๆอีกจำนวนนึง อร่อย อร่อยสุดๆ
เป็นเพราะหิว รึว่า อร่อยจริง เอาเป็นว่าถ้าคุณบังเอิญ รึว่าตั้งใจผ่านมาแถวนี้ ก็อย่าลืมแวะละกันนะ
เช็คบิล เก็บของ ขึ้นรถ ล้อหมุนอีกครั้ง
“ กับข้าวหลักร้อย กับวิวหลักร้อยเก้าๆ ฮักนะ ปางค่า “
บทถัดมาที่ 4 “ ขับรถกินลม ชมทิวเขา ”
กว่าจะถึงจุดหมายแรกของการเดินทางครั้ง นี้ ใช้เวลานานพอสมควรเหมือนกัน รถตู้ของเราแล่นผ่านขุนเขามานับลูกไม่ถ้วน
ขึ้นละก็ลง ลงละก็ขึ้น วนเวียนอยู่แบบนั้น ชวนให้เวียนหัว แต่ก็ยังดีที่วิวข้างทาง มันช่วยให้หายมึนได้อย่างบอกไม่ถูก
สีเขียวของแนวป่าเขา สีขาวของปุยเมฆ กลมกลืนกับสีฟ้าของท้องฟ้า มันชวนให้เคลิ้มในใจ ได้เป็นอย่างดี จริงๆนะ
แตกต่างกับตึกสูง แสงไฟแยงตา สายไฟฟ้าระโยงระยาง ฝุ่นควันคละคลุ้งในเมืองหลวง แตกต่าง อย่างเห็นได้ชัด
ในใจผมอยากบอกกับพี่ต้อมว่า พยุดรถ ถ่ายรูปซักแป๊ป จะได้ใหม อีกใจก็ไม่กล้าเพราะเหลือบไปมองดูนาฬิกาจะค่ำแล้ว
อีกทั้งสมาชิก ก็คงไม่ปลื้มเป็นแน่ และเดี๋ยวจะถึงจุดหมายไม่ทันเวลา ได้แต่สอดสายตาผ่านกระจกมองดู แล้วบันทึกผ่านสมองลงไปเก็บใว้ที่หัวใจ แค่นั้น พอ
“ ไม่มีรูปถ่าย มีแต่ความทรงจำ “
บทถัดมาที่ 5 “ จุดหมายแรก ของการเดินทาง ”
16. 40 ล้อรถตู้ของเราหยุดลง อีกครั้ง ที่ โรงเรียนบ้านร่มโพธิ์ทอง ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
( ที่นี่ห่างจกภูชี้ฟ้าไม่ไกลมาก ซึ่งเราผ่านมันมาแล้ว ) ซึ่งพี่อุ๊ได้นัดกับครู คนนำทาง รวมทั้งลูกหาบไว้ที่นี่
อีกอย่าง เราสืบทราบมาว่าโรงเรียนที่นี่ยังขาดแคลนอยู่พอสมควร พวกเราจึงมีของติดไม้ติดมือมาฝากน้องๆเด็กๆนักเรียนที่นี่
อย่างสมุดระบายสี ดินสอ หนังสือ ของเล่นเล็กๆน้อยๆ ส่งหมอบให้ครูที่นี่ไว้แจกจ่ายให้กับเด็กๆต่อไป เรียกว่าได้บุญกันไปถ้วนหน้า คนให้มีความสุข คนรับก็สุขตามไปด้วย แอบสังเกตสีหน้าและแววตาหลายๆคน มันทำให้ผมยิ้มตามแบบไม่ทั้นตั้งตัวรอยยิ้มแบบนี้ หายากนะ
จบภารกิจแจกจ่ายของ ถึงเวลาที่ต้องเคลียในส่วนของตัวเอง ต่างคนต่างจัดการเป้ใบใหญ่ ทำยังไงก็ได้ให้เล็กลงเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระในการแบกเดินขึ้นเขา สำหรับ 1 คืน บนนั้น หลังจากเสร็จภารกิจ บางคนก็อาบน้ำ บางคนก็ไม่
เพราะเวลานี้ที่นี่ อากาศเย็นเอามาก พอสมควร เย็น จนรู้สึกได้
และแล้ว ทีมงานคนนำทาง ลูกหาบของเราก็มาถึงพร้อมกับรถกระบะสุดโหดที่จะพาเราไปยังจุดสตาร์ทเริ่มเดิน
ตอนแรกผมหาข้อมูลมา ว่าต้องเดินประมาณ 1.5 กิโลเมตร แต่ทางพี่คนนำทางบอกว่า ตอนนี้รถพาขึ้นไปได้ไกล้อีกนิดหน่อย
สรุปพวกเราเดินแค่ 400 กว่าเมตรเอง แต่ชันตลอดนะ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา สำหรับผมแอบเสียใจด้วยซ้ำ ใจจริงอยากเดินซัก 5-6กิโล แต่ก็ไม่เป็นไร แค่นี้ก็พอ
17.20 รถกระบะ พาเรามาจอดกลางป่า แล้วถีบพวกเราลงให้จัดแจงแบกเป้ใส่หลัง เช็คข้าวของพร้อมกับร่างกายและหัวใจให้พร้อม สมาชิกทุกคนพร้อม พวกเราเริ่มดินขึ้น ผ่านต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ป่า ใช้เวลาไม่นาน เหงื่อยังไม่ออก ลมหายใจยังปกติ เรื่ยวแรงยังสบายๆ ผมนับดูเวลา นี่เราเดินไม่ถึง 20 นาทีเลย ใวมาก ๆ พี่ต้อมแอบบอกว่า เดิน 10 บรรยากาศ 100 ผมก็คิดแบบนั้น ในที่สุด พวกเราก็มาถึง ซะที
“ ภูผาสวรรค์ สวรรค์จริงๆ “
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น