สวัสดีครับชาวพันทิปทุกคน
ขอบคุณชาวพันทิปที่หลังไมค์มา โพสตอบ และแชร์จำนวนมากจากบทความต่างๆ ที่ผมเขียนลงไว้ครับ
ช่วงนี้ข่าวของประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนใหม่ และแนวนโยบายหลายเรื่องที่ทำให้หลายๆ คนหวั่นใจกันไปตามๆ กันครับ สำหรับคนที่อยู่อเมริกาอย่างถูกกฏหมาย และมีความรู้เรื่องระบบการเมืองของอเมริกา จะเข้าใจดีว่า สิ่งที่เป็นนโยบายแต่ละด้าน ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง บางเรื่อง ปธน. สามารถดำเนินการได้เลย บางเรื่องก็ต้องผ่านสภา ซึ่งต้องใช้เวลาเจรจาพอสมควร แต่ในส่วนเรื่องต่างประเทศนั้น ปธน. สามารถเปลี่ยนนโยบายได้ จึงมีผลกับต่างประเทศโดยตรงนั่นเองครับ
จากประสบการณ์กว่า 10 ปีที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องวีซ่าอเมริกา เราสามารถแยกประเภทวีซ่าออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มวีซ่าชั่วคราว กับ กลุ่มวีซ่าถาวร ครับ
วีซ่าชั่วคราว คือ วีซ่าที่มีระยะเวลากำหนดชัดเจน ไปแล้วก็ต้องกลับมา อยู่ยาวไม่ได้ เช่น วีซ่าท่องเที่ยว (B-1/B-2), วีซ่านักเรียน (F-1, M-1), วีซ่านักเรียนแลกเปลี่ยน (J-1), วีซ่าลงทุน (E-2), วีซ่าทำงาน (H-1B, H-2B) และอื่นๆ อีกหลายประเภท ส่วนกลุ่มวีซ่าถาวร คือ วีซ่าที่ออกให้เพื่อจุดประสงค์ในการย้ายถิ่นฐานถาวรไปอาศัยอยู่ที่อเมริกา เพื่อใช้เดินทางไปถึงอเมริกา แล้วเปลี่ยนเป็น บัตรกรีนการ์ด ที่ด่าน Immigration นั่นเอง ซึ่งก็มีหลายประเภทตามเส้นทางที่ยื่นขอ เช่น วีซ่า K-1 สำหรับแต่งงาน , กลุ่มวีซ่า IR สำหรับผ่านสายสัมพันธ์ครอบครัว, วีซ่า EB-2/EB-3 สำหรับการจ้างงาน, วีซ่า EB-5 สำหรับลงทุน เป็นต้น
กลุ่มวีซ่าชั่วคราว เป็นกลุ่มที่ขอกันมากที่สุด เมื่อเราเข้าไปสถานทูต จะเจอเพื่อนๆ ที่มายืนรอต่อแถวสัมภาษณ์วีซ่ากลุ่มนี้กันเยอะมาก วันละหลายร้อยคน ส่วนวีซ่าถาวรมีเฉลี่ยประมาณวันละสิบกว่าคน โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทแต่งงาน หรือ สายสัมพันธ์ครอบครัว
รู้ไหมครับว่า วีซ่ากลุ่มไหน มีโอกาสผ่านมากสุด?
กลุ่มวีซ่าถาวรครับ เพราะส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยทนายความที่อเมริกา ยื่นเรื่องผ่าน USCIS มาแล้ว ถ้าเป็นกลุ่มการจ้างงาน ก็ต้องผ่าน DOL มาแล้ว ทำให้ขั้นตอนตรวจสอบอย่างเข้มข้นผ่านมาแล้วครับ ส่วนกลุ่มวีซ่าชั่วคราวนั้น บางประเภทก็ผ่านขั้นตอนต่างๆ มาแล้ว เช่น วีซ่า J-1, วีซ่า H-1B, H-2B บางประเภทก็มาดำเนินการกันที่สถานทูต เช่น วีซาท่องเที่ยว B-1/B-2 เป็นต้น ถ้าเราสังเกตจะพบว่า วีซ่ากลุ่มที่ผ่านขั้นตอนต่างๆ จากอเมริกามาบ้างแล้วจะมีโอกาสผ่านมากกว่า วีซ่ากลุ่มที่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนมาจากอเมริกา แต่ไม่จริงเสมอไปครับ!
เราลองสังเกตดีๆ นะครับ จากเพื่อนๆ หลายคนที่ไปสัมภาษณ์มา ทั้งผ่านและไม่ผ่าน บางคนเตรียมเอกสารไปเยอะมาก ขนไปหมดทั้งบ้าน พอถึงเวลาสัมภาษณ์แทบจะไม่ขอดูเลย ตอบคำถามได้หมด แล้วก็ยื่นใบสีขาวๆ มาให้ พร้อมข้อความที่สรุปได้ว่า ไม่ผ่าน แต่บางคนแทบไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย ดูเหมือนไม่น่าจะผ่าน ถามไม่กี่คำถาม แต่กลับผ่านซะงั้น เราก็จะเริ่มมีข้อสงสัยในใจ ว่า ใช้อะไรในการพิจารณาว่าจะ ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน ?
สิ่งที่น่าจะมีเหตุผล ที่จะตอบคำถามนี้ได้ดี คือ ใช้หลักจิตวิทยา และการสังเกตพฤติกรรม ครับ โดยแนวคิดที่ว่า คนที่เข้ามาสัมภาษณ์วีซ่าชั่วคราวทุกคนน่าจะไปแล้วมีจุดประสงค์แอบแฝง อาจไม่กลับมาตามเงื่อนไขวีซ่า สิ่งที่เราต้องแสดงให้เห็น คือ เราไปด้วยจุดประสงค์ของวีซ่าประเภทนั้นจริงๆ และกลับมาจริงๆ ตามเงื่อนไขวีซ่า และที่สำคัญข้อมูลสถิติวีซ่าแต่ละประเภท ก็จะเป็นตัวชี้วัดว่า จะต้องสังเกตอะไรจากผู้มายื่นขอวีซ่า ยกตัวอย่าง เช่น
-วีซ่า J-1 ส่วนใหญ่จะผ่านง่าย เพราะผู้ยื่นขอมีสถานะนักศึกษาอยู่ เกรดก็ดี พ่อแม่อยู่ไทย ตอนมาสัมภาษณ์ก็ใส่ชุดนักศึกษา น่าจะเชื่อได้ว่าไปตามจุดประสงค์ของวีซ่าและกลับมาตามเวลา ถ้าไม่กลับก็อาจเรียนไม่จบ เป็นต้น
-วีซ่า B-1/B-2 สถิติโดดร่มของคนไทยเยอะพอสมควร รวมตัวกันอยู่ที่ LA จนได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดหนึ่งของไทยเลยทีเดียว บางคนทำงาน บางคนรอหาคนแต่งงานเพื่อเปลี่ยนเป็นกรีนการ์ด (แต่ในยุค ปธน. คนใหม่ มีนโยบายที่หาเสียงไว้ว่า คนที่อยู่ผิดกฏหมาย (วีซ่าเกิน) แต่งงานกับคนอเมริกัน แล้วยื่นเปลี่ยนสถานะเป็นกรีนการ์ด จะไม่สามารถทำได้ ต้องกลับไปยื่นเรื่องที่ประเทศตัวเอง) เมื่อผู้มายื่นวีซ่าท่องเที่ยว แต่งตัวดี ทาลิปสีสวยๆ เอกสารพร้อม ตอบคำถามได้เยอะ สังเกตแล้วไม่น่าจะไปท่องเที่ยว ก็จะได้คำตอบว่า "ไม่ผ่าน" ส่วนอีกคนแต่งตัวดี เรียบร้อย ตอบคำถามได้บ้าง ไม่ได้บ้าง สังเกตแล้วน่าจะไปท่องเที่ยวจริง ก็จะได้คำตอบว่า "ผ่าน"
เราจะสังเกตได้ว่า จริงๆ แล้วการแต่งตัวก็มีผลที่จะบอกถึงแนวคิดของผู้ยื่นขอวีซ่า และที่สำคัญอยู่ที่การตอบคำถาม ท่าทาง คำตอบ และการโต้ตอบตอนสัมภาษณ์มีผลมากที่สุด เพราะจะสังเกตได้เลยว่า มีจุดประสงค์อะไรมากกว่านั้นหรือไม่ เพราะบางคนเตรียมคำตอบมาเพื่อให้ผ่าน ดังนั้นเมื่อถามวกไปวนมา หรือ ถามนอกเหนือจากที่เตรียมไว้ ก็จะแสดงให้เห็นชัดเจนว่า อาจไม่ได้พูดความจริง ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหลักที่ไม่ผ่านกัน เมื่อไม่ผ่านก็จะยื่นซ้ำในอีกไม่กี่วัน แน่นอนว่า โอกาสผ่านจะยากขึ้น แต่ถ้าเราสามารถตอบข้อสงสัยที่ทำให้ไม่ผ่านได้ ก็มีสิทธิ์ผ่านเช่นกัน เราก็ต้องมาดูเองว่า ที่ไม่ผ่านเพราะอะไร ถึงจะไปแก้ไขในจุดนั้นครับ แต่การสัมภาษณ์ติดต่อกัน 3 ครั้งขึ้นไป ไม่ควรทำ เพราะจะกลายเป็นว่า จุดประสงค์ของผู้ยื่น คือ ต้องการไปอเมริกามาก ๆ มีโอกาสไม่กลับมาแล้ว โอกาสผ่านวีซ่าจึงยากมากครับ ส่วนหลายคนที่กังวลเกี่ยวกับเอกสาร จริงๆ แล้วเอกสารเราเตรียมตามที่สถานทูตกำหนดพอดีๆ ไม่ต้องเตรียมไปเกินจากนั้น เพราะไม่ได้ใช้ เสียเวลา แล้วยังดูเหมือนเราวางแผนมาอย่างดี ทำให้คิดไปได้ว่า อาจไปแล้วไม่กลับเช่นกันครับ
แล้วคนที่ไปเรียนด้วยวีซ่า F-1 ช่วงนี้มีแนวโน้มในการสัมภาษณ์อย่างไรบ้าง?
นักเรียน F-1 ส่วนใหญ่มักจะไปแอบทำงานที่อเมริกา และเรียนไปด้วย ซึ่งผิดกฏหมาย ถ้าโดนจับได้ก็ขึ้นศาลที่อเมริกา และส่งตัวกลับไทย ทำให้นักเรียนที่ไป จะต้องไปทำงานที่รับเป็นเงินสดเท่านั้น แต่ถ้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย ป. ตรี ขึ้นไป เราสามารถไปขออนุญาตจากมหาวิทยาลัยในการทำงานได้ตามข้อกำหนด ปกติจะได้ 20hr/wk แต่นักเรียนส่วนใหญ่ก็จะไปแนวลงเรียนภาษากันมากกว่า เพราะค่าเทอมมหาวิทยาลัยสูงพอสมควร ทำให้ตอนยื่นวีซ่านักเรียน F-1 นั้นสิ่งแรกที่ดูคือ สถาบันที่ไปเรียน ถ้าสถาบันมีสถิติ หรือ ประวัติไม่ค่อยดี โอกาสผ่านก็น้อยลงไป โดยเฉพาะสถาบันที่ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับสถาบันทั่วไป โอกาสผ่านวีซ่าก็ยิ่งน้อยลงไปอีก เพราะดูเหมือนจะมีจุดประสงค์แฝงมากกว่า ไปเรียนตามวัตถุประสงค์ของวีซ่า ส่วนเมืองที่ไปเรียนก็มีผลเหมือนกัน ถ้าเมืองนี้มีสถิติคนไทยโดดเยอะ หรือ แอบทำงานเยอะ ก็จะมองว่า น่าจะโดดเหมือนกัน เป็นต้น ทำให้คนที่ตั้งใจไปเรียนจริงๆ ได้รับผลกระทบต่อยื่นวีซ่า เราจึงควรไปตามจุดประสงค์ อยู่ให้ถูกกฏหมายดีกว่า ถ้าจะไปทำงาน ก็ไปให้ถูกประเภทวีซ่าครับ
เห็นไหมครับว่า จริงๆ แล้วเรื่องราวมันต่อเนื่องจากการสังเกต การสัมภาษณ์ ข้อมูลพื้นฐาน สถิติต่างๆ ที่คนไทยเราทำกันไว้ การสัมภาษณ์เพียง 2-3 คำถามแล้ว สามารถบอกได้ว่า ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน ซึ่งสามารถบอกได้จริง ๆ ครับ จากข้อมูลที่มีอยู่ในระบบ อยู่แล้ว โดยเฉพาะข้อมูล DS-160 ที่กรอกในระบบ น่าจะมีระบบตรวจสอบ และ แจ้งเตือนข้อมูลให้ว่า ควรดูอะไรในเคสนี้ที่มายื่นสัมภาษณ์
ดังนั้น การสัมภาษณ์วีซ่า อเมริกา จะผ่าน หรือ ไม่ผ่าน ขึ้นอยู่กับ ตัวเรา และ ความจริง ครับ ถ้าเราตอบตามความเป็นจริง อย่างถูกหลักเกณฑ์ก็ผ่านได้สบายๆ แต่ถ้าเราตอบตามความเป็นจริง แต่ไม่ถูกหลัก โอกาสผ่านก็จะน้อยลง ยิ่งถ้าตั้งใจจะไม่ตอบตามความเป็นจริง โอกาสผ่านมีเหมือนกัน แต่ถ้าตอนสัมภาษณ์ถูกสังเกตและจับได้ ก็ไม่ผ่านแน่นอนครับ
เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ยื่นขอวีซ่าเพื่อจุดประสงค์ตามประเภทวีซ่านั้นจริงๆ ขอให้ผ่านกันทุกคนครับ เมื่อเราเข้าตามตรอก ออกตามประตู ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ครับ
"ยิ้มคนไทย สื่อความเป็นมิตร สำเร็จแน่นอน"
By
Thum Ideas
ทำไมหลายคนถึงขอวีซ่า อเมริกา ไม่ผ่าน?
ขอบคุณชาวพันทิปที่หลังไมค์มา โพสตอบ และแชร์จำนวนมากจากบทความต่างๆ ที่ผมเขียนลงไว้ครับ
ช่วงนี้ข่าวของประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนใหม่ และแนวนโยบายหลายเรื่องที่ทำให้หลายๆ คนหวั่นใจกันไปตามๆ กันครับ สำหรับคนที่อยู่อเมริกาอย่างถูกกฏหมาย และมีความรู้เรื่องระบบการเมืองของอเมริกา จะเข้าใจดีว่า สิ่งที่เป็นนโยบายแต่ละด้าน ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง บางเรื่อง ปธน. สามารถดำเนินการได้เลย บางเรื่องก็ต้องผ่านสภา ซึ่งต้องใช้เวลาเจรจาพอสมควร แต่ในส่วนเรื่องต่างประเทศนั้น ปธน. สามารถเปลี่ยนนโยบายได้ จึงมีผลกับต่างประเทศโดยตรงนั่นเองครับ
จากประสบการณ์กว่า 10 ปีที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องวีซ่าอเมริกา เราสามารถแยกประเภทวีซ่าออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มวีซ่าชั่วคราว กับ กลุ่มวีซ่าถาวร ครับ
วีซ่าชั่วคราว คือ วีซ่าที่มีระยะเวลากำหนดชัดเจน ไปแล้วก็ต้องกลับมา อยู่ยาวไม่ได้ เช่น วีซ่าท่องเที่ยว (B-1/B-2), วีซ่านักเรียน (F-1, M-1), วีซ่านักเรียนแลกเปลี่ยน (J-1), วีซ่าลงทุน (E-2), วีซ่าทำงาน (H-1B, H-2B) และอื่นๆ อีกหลายประเภท ส่วนกลุ่มวีซ่าถาวร คือ วีซ่าที่ออกให้เพื่อจุดประสงค์ในการย้ายถิ่นฐานถาวรไปอาศัยอยู่ที่อเมริกา เพื่อใช้เดินทางไปถึงอเมริกา แล้วเปลี่ยนเป็น บัตรกรีนการ์ด ที่ด่าน Immigration นั่นเอง ซึ่งก็มีหลายประเภทตามเส้นทางที่ยื่นขอ เช่น วีซ่า K-1 สำหรับแต่งงาน , กลุ่มวีซ่า IR สำหรับผ่านสายสัมพันธ์ครอบครัว, วีซ่า EB-2/EB-3 สำหรับการจ้างงาน, วีซ่า EB-5 สำหรับลงทุน เป็นต้น
กลุ่มวีซ่าชั่วคราว เป็นกลุ่มที่ขอกันมากที่สุด เมื่อเราเข้าไปสถานทูต จะเจอเพื่อนๆ ที่มายืนรอต่อแถวสัมภาษณ์วีซ่ากลุ่มนี้กันเยอะมาก วันละหลายร้อยคน ส่วนวีซ่าถาวรมีเฉลี่ยประมาณวันละสิบกว่าคน โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทแต่งงาน หรือ สายสัมพันธ์ครอบครัว
รู้ไหมครับว่า วีซ่ากลุ่มไหน มีโอกาสผ่านมากสุด?
กลุ่มวีซ่าถาวรครับ เพราะส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยทนายความที่อเมริกา ยื่นเรื่องผ่าน USCIS มาแล้ว ถ้าเป็นกลุ่มการจ้างงาน ก็ต้องผ่าน DOL มาแล้ว ทำให้ขั้นตอนตรวจสอบอย่างเข้มข้นผ่านมาแล้วครับ ส่วนกลุ่มวีซ่าชั่วคราวนั้น บางประเภทก็ผ่านขั้นตอนต่างๆ มาแล้ว เช่น วีซ่า J-1, วีซ่า H-1B, H-2B บางประเภทก็มาดำเนินการกันที่สถานทูต เช่น วีซาท่องเที่ยว B-1/B-2 เป็นต้น ถ้าเราสังเกตจะพบว่า วีซ่ากลุ่มที่ผ่านขั้นตอนต่างๆ จากอเมริกามาบ้างแล้วจะมีโอกาสผ่านมากกว่า วีซ่ากลุ่มที่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนมาจากอเมริกา แต่ไม่จริงเสมอไปครับ!
เราลองสังเกตดีๆ นะครับ จากเพื่อนๆ หลายคนที่ไปสัมภาษณ์มา ทั้งผ่านและไม่ผ่าน บางคนเตรียมเอกสารไปเยอะมาก ขนไปหมดทั้งบ้าน พอถึงเวลาสัมภาษณ์แทบจะไม่ขอดูเลย ตอบคำถามได้หมด แล้วก็ยื่นใบสีขาวๆ มาให้ พร้อมข้อความที่สรุปได้ว่า ไม่ผ่าน แต่บางคนแทบไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย ดูเหมือนไม่น่าจะผ่าน ถามไม่กี่คำถาม แต่กลับผ่านซะงั้น เราก็จะเริ่มมีข้อสงสัยในใจ ว่า ใช้อะไรในการพิจารณาว่าจะ ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน ?
สิ่งที่น่าจะมีเหตุผล ที่จะตอบคำถามนี้ได้ดี คือ ใช้หลักจิตวิทยา และการสังเกตพฤติกรรม ครับ โดยแนวคิดที่ว่า คนที่เข้ามาสัมภาษณ์วีซ่าชั่วคราวทุกคนน่าจะไปแล้วมีจุดประสงค์แอบแฝง อาจไม่กลับมาตามเงื่อนไขวีซ่า สิ่งที่เราต้องแสดงให้เห็น คือ เราไปด้วยจุดประสงค์ของวีซ่าประเภทนั้นจริงๆ และกลับมาจริงๆ ตามเงื่อนไขวีซ่า และที่สำคัญข้อมูลสถิติวีซ่าแต่ละประเภท ก็จะเป็นตัวชี้วัดว่า จะต้องสังเกตอะไรจากผู้มายื่นขอวีซ่า ยกตัวอย่าง เช่น
-วีซ่า J-1 ส่วนใหญ่จะผ่านง่าย เพราะผู้ยื่นขอมีสถานะนักศึกษาอยู่ เกรดก็ดี พ่อแม่อยู่ไทย ตอนมาสัมภาษณ์ก็ใส่ชุดนักศึกษา น่าจะเชื่อได้ว่าไปตามจุดประสงค์ของวีซ่าและกลับมาตามเวลา ถ้าไม่กลับก็อาจเรียนไม่จบ เป็นต้น
-วีซ่า B-1/B-2 สถิติโดดร่มของคนไทยเยอะพอสมควร รวมตัวกันอยู่ที่ LA จนได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดหนึ่งของไทยเลยทีเดียว บางคนทำงาน บางคนรอหาคนแต่งงานเพื่อเปลี่ยนเป็นกรีนการ์ด (แต่ในยุค ปธน. คนใหม่ มีนโยบายที่หาเสียงไว้ว่า คนที่อยู่ผิดกฏหมาย (วีซ่าเกิน) แต่งงานกับคนอเมริกัน แล้วยื่นเปลี่ยนสถานะเป็นกรีนการ์ด จะไม่สามารถทำได้ ต้องกลับไปยื่นเรื่องที่ประเทศตัวเอง) เมื่อผู้มายื่นวีซ่าท่องเที่ยว แต่งตัวดี ทาลิปสีสวยๆ เอกสารพร้อม ตอบคำถามได้เยอะ สังเกตแล้วไม่น่าจะไปท่องเที่ยว ก็จะได้คำตอบว่า "ไม่ผ่าน" ส่วนอีกคนแต่งตัวดี เรียบร้อย ตอบคำถามได้บ้าง ไม่ได้บ้าง สังเกตแล้วน่าจะไปท่องเที่ยวจริง ก็จะได้คำตอบว่า "ผ่าน"
เราจะสังเกตได้ว่า จริงๆ แล้วการแต่งตัวก็มีผลที่จะบอกถึงแนวคิดของผู้ยื่นขอวีซ่า และที่สำคัญอยู่ที่การตอบคำถาม ท่าทาง คำตอบ และการโต้ตอบตอนสัมภาษณ์มีผลมากที่สุด เพราะจะสังเกตได้เลยว่า มีจุดประสงค์อะไรมากกว่านั้นหรือไม่ เพราะบางคนเตรียมคำตอบมาเพื่อให้ผ่าน ดังนั้นเมื่อถามวกไปวนมา หรือ ถามนอกเหนือจากที่เตรียมไว้ ก็จะแสดงให้เห็นชัดเจนว่า อาจไม่ได้พูดความจริง ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหลักที่ไม่ผ่านกัน เมื่อไม่ผ่านก็จะยื่นซ้ำในอีกไม่กี่วัน แน่นอนว่า โอกาสผ่านจะยากขึ้น แต่ถ้าเราสามารถตอบข้อสงสัยที่ทำให้ไม่ผ่านได้ ก็มีสิทธิ์ผ่านเช่นกัน เราก็ต้องมาดูเองว่า ที่ไม่ผ่านเพราะอะไร ถึงจะไปแก้ไขในจุดนั้นครับ แต่การสัมภาษณ์ติดต่อกัน 3 ครั้งขึ้นไป ไม่ควรทำ เพราะจะกลายเป็นว่า จุดประสงค์ของผู้ยื่น คือ ต้องการไปอเมริกามาก ๆ มีโอกาสไม่กลับมาแล้ว โอกาสผ่านวีซ่าจึงยากมากครับ ส่วนหลายคนที่กังวลเกี่ยวกับเอกสาร จริงๆ แล้วเอกสารเราเตรียมตามที่สถานทูตกำหนดพอดีๆ ไม่ต้องเตรียมไปเกินจากนั้น เพราะไม่ได้ใช้ เสียเวลา แล้วยังดูเหมือนเราวางแผนมาอย่างดี ทำให้คิดไปได้ว่า อาจไปแล้วไม่กลับเช่นกันครับ
แล้วคนที่ไปเรียนด้วยวีซ่า F-1 ช่วงนี้มีแนวโน้มในการสัมภาษณ์อย่างไรบ้าง?
นักเรียน F-1 ส่วนใหญ่มักจะไปแอบทำงานที่อเมริกา และเรียนไปด้วย ซึ่งผิดกฏหมาย ถ้าโดนจับได้ก็ขึ้นศาลที่อเมริกา และส่งตัวกลับไทย ทำให้นักเรียนที่ไป จะต้องไปทำงานที่รับเป็นเงินสดเท่านั้น แต่ถ้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย ป. ตรี ขึ้นไป เราสามารถไปขออนุญาตจากมหาวิทยาลัยในการทำงานได้ตามข้อกำหนด ปกติจะได้ 20hr/wk แต่นักเรียนส่วนใหญ่ก็จะไปแนวลงเรียนภาษากันมากกว่า เพราะค่าเทอมมหาวิทยาลัยสูงพอสมควร ทำให้ตอนยื่นวีซ่านักเรียน F-1 นั้นสิ่งแรกที่ดูคือ สถาบันที่ไปเรียน ถ้าสถาบันมีสถิติ หรือ ประวัติไม่ค่อยดี โอกาสผ่านก็น้อยลงไป โดยเฉพาะสถาบันที่ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับสถาบันทั่วไป โอกาสผ่านวีซ่าก็ยิ่งน้อยลงไปอีก เพราะดูเหมือนจะมีจุดประสงค์แฝงมากกว่า ไปเรียนตามวัตถุประสงค์ของวีซ่า ส่วนเมืองที่ไปเรียนก็มีผลเหมือนกัน ถ้าเมืองนี้มีสถิติคนไทยโดดเยอะ หรือ แอบทำงานเยอะ ก็จะมองว่า น่าจะโดดเหมือนกัน เป็นต้น ทำให้คนที่ตั้งใจไปเรียนจริงๆ ได้รับผลกระทบต่อยื่นวีซ่า เราจึงควรไปตามจุดประสงค์ อยู่ให้ถูกกฏหมายดีกว่า ถ้าจะไปทำงาน ก็ไปให้ถูกประเภทวีซ่าครับ
เห็นไหมครับว่า จริงๆ แล้วเรื่องราวมันต่อเนื่องจากการสังเกต การสัมภาษณ์ ข้อมูลพื้นฐาน สถิติต่างๆ ที่คนไทยเราทำกันไว้ การสัมภาษณ์เพียง 2-3 คำถามแล้ว สามารถบอกได้ว่า ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน ซึ่งสามารถบอกได้จริง ๆ ครับ จากข้อมูลที่มีอยู่ในระบบ อยู่แล้ว โดยเฉพาะข้อมูล DS-160 ที่กรอกในระบบ น่าจะมีระบบตรวจสอบ และ แจ้งเตือนข้อมูลให้ว่า ควรดูอะไรในเคสนี้ที่มายื่นสัมภาษณ์
ดังนั้น การสัมภาษณ์วีซ่า อเมริกา จะผ่าน หรือ ไม่ผ่าน ขึ้นอยู่กับ ตัวเรา และ ความจริง ครับ ถ้าเราตอบตามความเป็นจริง อย่างถูกหลักเกณฑ์ก็ผ่านได้สบายๆ แต่ถ้าเราตอบตามความเป็นจริง แต่ไม่ถูกหลัก โอกาสผ่านก็จะน้อยลง ยิ่งถ้าตั้งใจจะไม่ตอบตามความเป็นจริง โอกาสผ่านมีเหมือนกัน แต่ถ้าตอนสัมภาษณ์ถูกสังเกตและจับได้ ก็ไม่ผ่านแน่นอนครับ
เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ยื่นขอวีซ่าเพื่อจุดประสงค์ตามประเภทวีซ่านั้นจริงๆ ขอให้ผ่านกันทุกคนครับ เมื่อเราเข้าตามตรอก ออกตามประตู ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ครับ
"ยิ้มคนไทย สื่อความเป็นมิตร สำเร็จแน่นอน"
By
Thum Ideas