เมื่อไปเช็งเม้งหน้าหนาว อากาศก็เปลี่ยนแปลงบ่อย

ทุกปีครอบครัวเชื้อสายจีนอย่างเราจะมีประเพณีไปเช็งเม้งช่วงหน้าร้อน แต่ปีนี้รถติดหนักมาก จนต้องยูเทิร์นรถกลับบ้าน สรุปว่าไม่ได้ไปไหว้ตรงวันตามธรรมเนียม บวกกับความไม่อยากไปวุ่นวายให้มากความในช่วงเช็งเม้งที่คนเยอะมหาศาล ทั้งครอบครัวจึงตัดสินใจไปเช็งเม้งอาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งเดือนธันวาฯ เป็นอีกฤดูของการไหว้เช็งเม้ง อะไรๆ ที่คุ้นตาก็เปลี่ยนแปลงไปตามอากาศ เปลี่ยหน้านิ่วในหน้าร้อน เป็นหน้ายิ้มในหน้าหนาว เลยอยากมาแชร์ความสุขส่งท้ายปี ให้เห็นเช็งเม้งในอีกมุมที่ต่างฤดู

อย่างแรกที่เปลี่ยนไปได้ชัดเลยคือ จำนวนคน ลดลงอย่างมหาศาล รถไม่ติด คนน้อย ตามมาด้วยอากาศจากแดดอันร้อนแรงในฤดูร้อนตับแตกของเมืองไทยมองไปทางไหนก็เจอแต่ความแห้งแล้ง เหงื่อไหลไคลย้อยตั้งแต่เก้าโมง แต่วันนี้มาเจอกับลมเย็นโชยตลอดวัน พร้อมวิวภูเขาสีเขียวที่ถูกแซมด้วยใบไม้สีเหลืองที่ร่วงโรย จินตนาการไปถึงวิวภูเขาเมืองนอกกันเลยทีเดียว

ทุกคนอารมณ์ดีกันถ้วนหน้า อี๊ถึงกับวิดีโอคอลไปหาอากู๋ที่อยู่เมืองนอก แรกๆ ก็คุยเลเวลปกติ แต่พออี๊โชว์หน้าญาติๆ กับหลานทุกคน อากู๋แกดีใจทักทายเสียงดัง เห็นหน้าน้องชายคำแรกที่ทักคือ
"ไอ่_า เป็งไงบ้างว่ะ"

ครอบครัวเราคนเยอะ ต่างคนต่างกระจัดกระจายไปสร้างครอบครัว วันเช็งเม้งจึงเป็นอีกวันรวมญาติของตระกูลเรา ภาพที่นานๆ จะเห็น บทสนทนาทีปีนึงจะได้ยิน ก็ได้มาสัมผัส และรู้สึกถึงความสุขอีกแบบก็วันนี้แหละ

ไม่ใช่แค่อากาศที่เปลี่ยน อาหารก็ด้วย

มาถึงของไหว้สำคัญในวันเช็งเม้งที่มีมาให้เห็นทุกปีคือ "ซาแซ" เป็นของคาวสามอย่างในจานเดียว นั่นคือหมู ไก่ เป็ด เป็นต้น และต้องมีเส้นบะหมี่สด ขนมเต่เหลียว (เป็นขนมหลากชนิดทำจากธัญพืช ถั่ว งา มีสีสันสดใส) ข้าวเหนียวกวน ขนมเต่า ขนมถ้วยฟู สับปะรด และน้ำชา สุรา ซึ่งก่อนไหว้บรรพบุรุษเรา ต้องไหว้บอกเจ้าที่เจ้าทางปักธูปลงฟักก่อนด้วย

แต่ตอนนี้ถ้าจะให้อาม่ายืนทำกับข้าวให้ครบถ้วนทั้งหมดก็คงไม่ไหว อีกอย่างปีนี้อาม่าไม่ได้ไปด้วย และแม่ก็เป็นคนทำกับข้าวซะเยอะ จึงหยวนๆ กันไปเรื่องกับข้าวในปีนี้จึงมีซาแซเป็นเป็ดพะโล้ หมูกรอบ กับหมึกแห้ง กับข้าวอย่างอื่นก็ใส่ปิ่นโตทั้งหมี่ซั่ว ปูจ๊อ หมูย่าง ผักต้ม ปลาทอด ซึ่งปกติจะมีกุ้งต้มเกลือกับไก่ต้ม พร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดแซบๆ ของเหล่ากิ๋ม (แอบคิดถึงรสแซบเวลากินกับกุ้งต้มเกลือเลย)

ส่วนขนมเป็นขนมเปี๊ยะไส้เต้าหู้ยี้ ขนมถ้วยฟู ซาลาเปาหมู ซาลาเปาลาวา จะขาดก็แต่ขนมเต่เหลียวที่แข็งจนกัดทีสะเทือนกราม และผลไม้อีก 3-4 อย่าง เมื่อไหว้เสร็จก็เผากระดาษเงินกระดาษทอง จำได้ว่าเมื่อก่อนยังไม่มีไอโฟน แต่ยุคนี้ก็เผาให้อากงไปหลายเครื่องแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าได้ใช้บ้างรึยัง

และพอไหว้ครบทุกหลุมก็จะไปรวมตัวกับที่หลุมเหล่าม่า ล้อมวงปูเสื่อนั่งกินข้าวกัน พกมีดเล่มโตมาสับเป็ด สับไก่ นั่งแกะกุ้ง คีบหมี่ซั่วกินกันท่ามกลางแดดจ้าตอนเที่ยง มู้ดแอนด์โทนช่างต่างจากปีนี้เหลือเกิน

ความสวยงามของสุสาน

อีกหลักปฏิบัติของธรรมเนียมนี้คือการกลับมาทำความสะอาดที่ทางของบรรพบุรุษ แต่ตั้งแต่จำความได้เราไม่เคยเห็นญาติคนไหนมาเช็ดถูกันจริงๆ จังเลย นั่นก็เพราะทุกบ้านจ้างคนดูแลสุสานมาทำความสะอาด ถางหญ้ารก ปลูกหญ้าใหม่ทุกปีอยู่แล้วนั่นเอง บ้านไหนพื้นที่กว้างขวาง ฮวงจุ้ยดี หลังเป็นภูเขา หน้าเป็นน้ำ ก็ขุดบ่อปลูกบัวเลยก็มี

ซึ่งทุกปีที่ไปจะมีอยู่หนึ่งที่ใหญ่ๆ เรียกว่าเป็นภูเขาเล็กๆ เลย ใหญ่โตจนขึ้นไปวิ่งเล่นวนอยู่หลายรอบตอนเด็ก แต่ที่เพิ่งไปมานี้จากหญ้าเขียวสดถูกปลูกอย่างดี กลายมาเป็นหญ้าขึ้นสูงเชียว และภูเขาที่ว่าโตๆ นี่มันก็ดูเล็กลงไปเมื่อเราโตขึ้นเลย

แต่ก็มีภาพในความทรงจำอีกเหมือนกัน เป็นภาพสุสานอันเขียวขจีเป็นหลุมๆ ถูกโปรยด้วยกลีบดอกไม้หลากสีสัน ทั้งเหลือง-ดาวเรือง แดง-กุหลาบ ขาว-ดอกมะลิ และดอกรัก บางบ้านก็โรยด้วยกระดาษสี ยามที่นั่งรถผ่านแสงอาทิตย์จะส่องกระทบเกิดประกายไปทั่วสุสาน ต่างจากตอนนี้ที่มีเพียงสีเขียวเรียบๆ สลับความแห้งของหญ้าเหลืองประปราย ทุกอย่างดูสวยแบบแปลกใหม่ไปหมด

ข้าวต้มฟรีไม่อั้น

เมื่อเชงเม้งหน้าร้อนย้ายมาหน้าหนาว อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป จากที่เคยกินข้าวต้มฟรี (แต่จ่ายค่ากับข้าวนะ) ยามเช้าก็เปลี่ยนมากินยามสายแทน
เมื่อไหว้ครบทุกหลุมก็มากินข้าวต้มกันที่หน้าสุสาน เขาต้มไว้ให้หม้อใหญ่ พร้อมถั่วลิสงทอดกรอบ เป็นถั่วที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา มันกรอบแบบเด้งมาก กลิ่นหอมไหม้ๆ คลุกเกลือนิดๆ กับเกี้ยมฉ่ายกระป๋อง (ช่วงเช็งเม้งปกติจะมีกานาฉ่ายเพิ่มเข้ามา) พร้อมด้วยกับข้าวในปิ่นโต เป็นมื้อเช้าชิลล์ๆ ที่มีเพียงครอบครัวเรานั่งกินนั่งคุยกันเสียงดังอยู่เท่านั้น

และจากที่ไม่เคยสังเกตเห็นเตาใหญ่ๆ ด้านใน วันนี้คนน้อยจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปดู

คุณน้าบอกว่าเป็นเตาโบราณ กับกระทะใบบัวไว้ต้มข้าวต้ม ใต้เตาเป็นที่ใส่ฟืนไม้ ให้อารมณ์แบบทำมือของจริงเลย ด้านในเป็นห้องเก็บฟืนเล็กๆ พร้อมอีกหนึ่งเตาโบราณขนาดใหญ่ไว้ผัดกานาฉ่า
"ถ่ายรูปเลย คนกรุงเทพฯ คงไม่ค่อยได้เห็นอะไรอย่างนี้ ไม่น่าจะมีเตาโบราณแบบนี้หรอก"

ใช่เลย คุณน้าพูดถูก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเตาโบราณใช้ฟืนไม้จริงจังก็วันนี้

พอกินข้าวต้มกันเสร็จต่างบ้านก็แยกย้ายกลับบ้าน กลับไปสับเป็ดทอดเกลือกินกันต่อ เป็นวันที่ของกินมหาศาลแบบที่จะได้กินกับข้าวนี้ไปอีกทั้งอาทิตย์ และนี่ก็เป็นปีแรกที่การไปเช็งเม้งน่าจดจำมากที่สุด ความร้อนแรงของแดดถูกแทนที่ด้วยลมเย็นที่มาพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายของครอบครัวใหญ่และเสียงหัวเราะ หวังว่าปีหน้าอะไรๆ คงไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยนัก

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่