สมมุติว่าเราเอาเงิน 50 บาทซื้อปากกาด้ามหนึ่ง
คำถามคือ ปากกาด้ามนี้มีราคาเท่าไร
ง่ายมากที่จะตอบใช่ไหมครับ ก็ 50 บาทไงล่ะ
งั้นถามอีกคำถามหนึ่งคือ แล้วปากกาด้ามนี้มีมูลค่าเท่าไร
ผมว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังตอบ 50 บาทอยู่ดี
เพราะอะไร ก็เพราะเขาเอาเงิน 50 บาทมาแลกปากกาด้ามนี้ มูลค่าของปากกาก็น่าจะมีมูลค่า 50 บาทจริงไหมครับ
ไม่ใช่เลยครับ มันคนละเรื่องกันเลย!!!
ราคากับมูลค่ามันอาจจะเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ครับ
อย่างปากกาถ้าเราซื้อมันมา แล้วปากกาด้ามนี้มันสามารถสร้างประโยชน์ให้เราได้มหาศาล เช่น
เอาไปวาดรูป และรูปนี้เป็นที่ต้องการของคนจำนวนมาก
เราขายรูปได้ 1,000 บาท อย่างนี้ก็เท่ากับว่ามูลค่าของปากกาด้ามนี้ก็มาก
แต่ในขณะเดียวกัน หากเราซื้อปากกาด้ามนี้มาแล้ว
แต่เราเอามันมาวางไว้เฉย ๆ จนกระทั่งหมึกมันระเหยหมด
แบบนี้มูลค่าของปากกาด้ามนี้ก็น้อยมาก หรืออาจจะไม่มีเลย
เห็นไหมครับว่า 50 บาทที่ซื้อมา มันเป็นเพียงแค่ราคาแต่มันอาจจะไม่ใช่มูลค่าของปากกาด้ามนี้เลย
ในปี 1928 Irving Fisher นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันได้เขียนหนังสือชื่อ The Money Illusion
โดยอธิบายให้เห็นว่า Money illusion นั้นคือความรู้สึกของคนทั่วไปว่าเงินที่เรามีอยู่มันมีมูลค่าเท่ากับสิ่งที่เขียนไว้ในหน้าธนบัตรหรือในเหรียญ
เช่นสมมุติว่าเราถือแบงก์พันอยู่ เราก็มักจะคิดว่าแบงก์พันนั้นมีมูลค่าหนึ่งพันบาท
ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว อาจจะไม่ใช่ !!!
อะไรนะ แบงก์พัน มีมูลค่าไม่เท่ากับหนึ่งพัน เป็นไปได้ยังไง ? แบงก์ปลอมเหรอ ?
ไม่ใช่แบงก์ปลอมครับ แต่ 1,000 บาทที่เขียนบนแบงก์นั้น มูลค่าของมันควรจะถูกวัดจาก “ความสามารถในการซื้อสินค้าหรือบริการ” มากกว่า
อย่างนี้ครับ สมมุติว่าตอนนี้อัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 0% เงิน 1,000 บาท อาจจะนำไปซื้อสินค้าได้ 1,000 ชิ้น (คือชิ้นละบาท) แต่ถ้าอัตราเงินเฟ้อมันเพิ่มขึ้น 100% (ราคาเพิ่มขึ้นเป็นชิ้นละ 2 บาท) เงิน 1,000 บาทนั้น มันซื้อสินค้าได้แค่ 500 ชิ้นเท่านั้น
เห็นไหมครับ แบงก์หนึ่งพัน ทั้งสองกรณี นำไปแลกสินค้าได้ไม่เท่ากัน ก็แปลว่ามูลค่าของมันต่างกันไงครับ!!!
ในปี 1995 ทีมวิจัยที่นำโดย Professor Benartzi แห่ง UCLA ได้ทำงานวิจัยพบว่าถ้าเราถูกลดรายได้ลง 2% เราจะรู้สึกไม่พอใจ ไม่ยุติธรรม
แต่ถ้าเราได้รับเงินเดือนขึ้น 2% ในขณะที่เงินเฟ้อขณะนั้น อยู่ที่ 4% เรากลับรู้สึกพอใจ ทั้ง ๆ ที่สองสถานการณ์นี้ มันเหมือนหรือใกล้เคียงกันมาก!!!
เห็นไหมครับว่า บางทีสิ่งที่เราเห็นชัด ๆ มันไม่ได้วัดมูลค่านะครับ
ราคาหุ้นที่เราซื้อมา มันเป็นแค่ “ราคา” แต่มันไม่ใช่ “มูลค่า” ของหุ้นตัวนั้น
นักลงทุนสาย VI คงเข้าใจความหมายนี้ดีเพราะหลักการของการลงทุนที่เน้นมูลค่าก็คือ
ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ามาก ๆ เรียกว่าได้กำไรตั้งแต่ซื้อนั่นแหละครับ
อย่างที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปรมาจารย์ในสาย VI กล่าวไว้แหละครับว่า
“Price is what you pay. Value is what you get”
“ราคาคือสิ่งที่เราจ่ายไป ส่วนมูลค่าคือสิ่งที่เราได้มา”
ชัดเจนมาก ๆ เลยครับ
ติดตามอ่านบทความอื่น ๆ เกี่ยวกับความลำเอียงในการตัดสินใจได้ที่
https://www.facebook.com/DataAnalysisforDecisionMaking/
ความลำเอียงในการตัดสินใจลงทุน: ราคากับมูลค่าไม่ใช่สิ่งเดียวกัน (Money illusion)
คำถามคือ ปากกาด้ามนี้มีราคาเท่าไร
ง่ายมากที่จะตอบใช่ไหมครับ ก็ 50 บาทไงล่ะ
งั้นถามอีกคำถามหนึ่งคือ แล้วปากกาด้ามนี้มีมูลค่าเท่าไร
ผมว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังตอบ 50 บาทอยู่ดี
เพราะอะไร ก็เพราะเขาเอาเงิน 50 บาทมาแลกปากกาด้ามนี้ มูลค่าของปากกาก็น่าจะมีมูลค่า 50 บาทจริงไหมครับ
ไม่ใช่เลยครับ มันคนละเรื่องกันเลย!!!
ราคากับมูลค่ามันอาจจะเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ครับ
อย่างปากกาถ้าเราซื้อมันมา แล้วปากกาด้ามนี้มันสามารถสร้างประโยชน์ให้เราได้มหาศาล เช่น
เอาไปวาดรูป และรูปนี้เป็นที่ต้องการของคนจำนวนมาก
เราขายรูปได้ 1,000 บาท อย่างนี้ก็เท่ากับว่ามูลค่าของปากกาด้ามนี้ก็มาก
แต่ในขณะเดียวกัน หากเราซื้อปากกาด้ามนี้มาแล้ว
แต่เราเอามันมาวางไว้เฉย ๆ จนกระทั่งหมึกมันระเหยหมด
แบบนี้มูลค่าของปากกาด้ามนี้ก็น้อยมาก หรืออาจจะไม่มีเลย
เห็นไหมครับว่า 50 บาทที่ซื้อมา มันเป็นเพียงแค่ราคาแต่มันอาจจะไม่ใช่มูลค่าของปากกาด้ามนี้เลย
ในปี 1928 Irving Fisher นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันได้เขียนหนังสือชื่อ The Money Illusion
โดยอธิบายให้เห็นว่า Money illusion นั้นคือความรู้สึกของคนทั่วไปว่าเงินที่เรามีอยู่มันมีมูลค่าเท่ากับสิ่งที่เขียนไว้ในหน้าธนบัตรหรือในเหรียญ
เช่นสมมุติว่าเราถือแบงก์พันอยู่ เราก็มักจะคิดว่าแบงก์พันนั้นมีมูลค่าหนึ่งพันบาท
ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว อาจจะไม่ใช่ !!!
อะไรนะ แบงก์พัน มีมูลค่าไม่เท่ากับหนึ่งพัน เป็นไปได้ยังไง ? แบงก์ปลอมเหรอ ?
ไม่ใช่แบงก์ปลอมครับ แต่ 1,000 บาทที่เขียนบนแบงก์นั้น มูลค่าของมันควรจะถูกวัดจาก “ความสามารถในการซื้อสินค้าหรือบริการ” มากกว่า
อย่างนี้ครับ สมมุติว่าตอนนี้อัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 0% เงิน 1,000 บาท อาจจะนำไปซื้อสินค้าได้ 1,000 ชิ้น (คือชิ้นละบาท) แต่ถ้าอัตราเงินเฟ้อมันเพิ่มขึ้น 100% (ราคาเพิ่มขึ้นเป็นชิ้นละ 2 บาท) เงิน 1,000 บาทนั้น มันซื้อสินค้าได้แค่ 500 ชิ้นเท่านั้น
เห็นไหมครับ แบงก์หนึ่งพัน ทั้งสองกรณี นำไปแลกสินค้าได้ไม่เท่ากัน ก็แปลว่ามูลค่าของมันต่างกันไงครับ!!!
ในปี 1995 ทีมวิจัยที่นำโดย Professor Benartzi แห่ง UCLA ได้ทำงานวิจัยพบว่าถ้าเราถูกลดรายได้ลง 2% เราจะรู้สึกไม่พอใจ ไม่ยุติธรรม
แต่ถ้าเราได้รับเงินเดือนขึ้น 2% ในขณะที่เงินเฟ้อขณะนั้น อยู่ที่ 4% เรากลับรู้สึกพอใจ ทั้ง ๆ ที่สองสถานการณ์นี้ มันเหมือนหรือใกล้เคียงกันมาก!!!
เห็นไหมครับว่า บางทีสิ่งที่เราเห็นชัด ๆ มันไม่ได้วัดมูลค่านะครับ
ราคาหุ้นที่เราซื้อมา มันเป็นแค่ “ราคา” แต่มันไม่ใช่ “มูลค่า” ของหุ้นตัวนั้น
นักลงทุนสาย VI คงเข้าใจความหมายนี้ดีเพราะหลักการของการลงทุนที่เน้นมูลค่าก็คือ
ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ามาก ๆ เรียกว่าได้กำไรตั้งแต่ซื้อนั่นแหละครับ
อย่างที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปรมาจารย์ในสาย VI กล่าวไว้แหละครับว่า
“Price is what you pay. Value is what you get”
“ราคาคือสิ่งที่เราจ่ายไป ส่วนมูลค่าคือสิ่งที่เราได้มา”
ชัดเจนมาก ๆ เลยครับ
ติดตามอ่านบทความอื่น ๆ เกี่ยวกับความลำเอียงในการตัดสินใจได้ที่ https://www.facebook.com/DataAnalysisforDecisionMaking/