The red artifact part 1 : Prince Suthon The beginning of legend [เจ้าชายสุธนกับห้าอาณาจักร] (แฟนตาซี)

คุณเชื่อว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตแห่งอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ครอบครองวิทยาการล้ำสมัยหรือไม่ ?

          บ้างลือบ้างเล่าอ้างว่าอารยธรรมเหล่านั้นติดต่อกับคนจากนอกโลกหรือแม้กระทั่งเป็นผู้มาเยือนจากอวกาศเสียเอง  

          บ้างก็ว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันของนักแต่งนิยายเพ้อฝันเท่านั้น....


         มนุษย์อย่างพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตแรกและชนิดเดียวที่อุดมปัญญาท่ามกลางสายพันธุ์นับไม่ถ้วนบนโลกนี้ จริงหรือเปล่า...
  

           “  ผมเคยเชื่อว่าไม่จริง แต่ตอนนี้ ...!!  ผมคิดว่า เมื่อก่อนมีมนุษย์หรือบางอย่างรูปร่างคล้ายพวกเราแต่ทรงพลัง ชาญฉลาดกว่า มีวิทยาการอันน่าทึ่งแบบไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงดังยุคปัจจุบัน  ผมคงไม่อาจหาคำอธิบายได้อย่างชัดเจนนอกจากคำว่าเป็นวิทยาการจากเวทมนต์ !!! ”  

       นักโบราณคดีวัยกลางคนในชุดนักสำรวจรูปร่างผอมเกร็งท่าทางแข็งแรงกว่าคนรุ่นเดียวกัน กำลังเสนอการค้นพบอันยิ่งใหญ่ผ่านทางสไลด์สรุป  และหลักฐานโบราณวัตถุต่างอารยธรรมจากทั่วโลกมาสนับสนุนการนำเสนอเรียงรายอยู่บนโต๊ะ


          ท่ามกลางห้องประชุมอันมืดสลัวจนเงามืดบดบังใบหน้าผู้รับชมการนำเสนอหลายคน


          “ ผะ ผม เชื่อว่าที่ตั้ง 5 อารยธรรมโบราณเหล่านั้นอยู่บริเวณ ทวีปอเมริกาใต้บริเวณเปรูในปัจจุบัน บริวเณเส้นนาซคาอันเลื่องชื่อ ,  ใจกลางสามเหลี่ยมเบอมิวด้าแห่งมหาสมุทรแอตแลนติก , อียิปต์ , บริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมมังกรในคาบสมุทรอินเดีย และดินแดนแถบประเทศอินเดีย  ผมคิดว่าการค้นพบครั้งนี้จะพลิกพลันประวัติศาสตร์ของเราเลยทีเดียว !! ”


             “ แปะ แปะ แปะ ” เสียงตบมือจากผู้รับชมทุกคนดังสนั่นทั่วห้อง


            “   ไม่เสียแรงที่พวกเราออกเงินสนับสนุนจริงๆ คุณโจนส์....  คุณทำได้ยอดเยี่ยมมากครับ  ”   ผู้ชมคนนึงกล่าวชื่นชมออกมา ทุกอย่างดูดำเนินไปด้วยดีสำหรับนักโบราณคดีกระทั่ง

             “   ทว่า... การค้นพบครั้งนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปจากห้องนี้   ” น้ำเสียงเย็นชากล่าวตัดขึ้นมา จนโจนส์ผงะ

            ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรโต้แย้ง ผู้ประชุมคนนึงลุกขึ้นมาจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหานักโบราณคดี กระทั่งใกล้พอที่แสงสว่างจากสไลด์จะเผยโฉมสตรีวัยกลางคนในชุดราตรีธรรมดา มือข้างนึงถือเครื่องดื่มสีโลหิตในแก้วไวน์

          ทว่านักโบราณคดีกลับรู้สึกผวาจนตัวสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้นสตรีในสายตาจะดูเหมือนหญิงวัยกลางคนธรรมดา

          “  ดิฉันขอถามคุณโจนส์หน่อยคะ  คุณโจนส์คิดว่าในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ทรัพยากรอะไรบริหารยากที่สุดแต่ก็เป็นทรัพยากรอันทรงคุณค่าที่สุด ? ”  หญิงวัยกลางคนกล่าวถามด้วยรอยยิ้มหวาน

          นักโบราณคดีตัวสั่น เหงื่อท่วมกาย แม้นห้องหนาวเหน็บด้วยเครื่องปรับอากาศ  ณ  วินาทีนี้ การส่ายหัวตอบกลับก็เต็มกลืนแล้ว

           “ ทรัพยากรมนุษย์ไงล่ะคะ พวกเราอยากจะให้ลิงเหล่านั้นเชื่อว่า ‘เวทมนต์’   เป็นเพียงแค่ของงมงายเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขายึดถือในยุคสมัยใดๆ จะต้องเป็นไปตามที่พวกเราต้องการเท่านั้น  

           พวกมันจะเชื่อว่าพวกมันมีเสรีภาพแม้นเต้นระบำตามใยที่พวกเราชักไว้  หากเป็นสมัยนี้ใครๆก็คงเรียกใยนั้นว่า ‘ประชาธิปไตย’ กระมังคะ ”   สตรีผู้นั้นยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มอันอำมหิต


          พอฟังจบนักโบราณคดีโจนส์เก็บงำความกลัวไม่ไหวจนสติแตก


          “ ยะ อย่าฆ่าผมเลย  !!!!!!  ผะ ผมสัญญาว่าจะไม่พูดออกไปแน่ๆ  ” ตะโกนออกมาอย่างหวาดผวา


      วินาทีนั้นฝ่ามืออันเย็นเฉียบของหญิงผู้นั้นเข้ามากุมมือนักโบราณคดี


      “ อย่ากลัวไปเลยค่ะ  คุณจะมีชีวิตอยู่แน่นอน ” เธอกล่าวปลอบใจด้วยสีหน้าสงบปิดตาทั้งสองข้าง


       “ แม้นพลังชีวิตนั้นจะไหลเวียนในตัวดิฉันก็ตามเถิด !!  ”  แล้วลืมขึ้นมาด้วยดวงตาอมนุษย์ เบ้าตาดำดุจราตรีอันไร้จันทรา แต่นัยน์ตาดำนั้นเรืองแสง พร้อมทั้งเขี้ยวอันแหลมคม


           ไม่ช้าร่างของนักโบราณคดีนั้นดูแก่ชราขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นซากแห้งผากล้มลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา ผิดกับสตรีวัยกลางคนนางนั้นกลับกลายเป็นเป็นหญิงสาสละสลวย  ผิวพรรณเต่งตึงแทน

          “  จงภูมิใจเสียเถอะ ที่ลิงอย่างเจ้ามีโอกาสเป็นส่วนนึงของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ส่วนครอบครัวของเจ้าจะอยู่กินดีตลอดไปข้าสัญญา  ”
    ระหว่างกล่าวเธอหยิบกระจกขึ้นมาส่องใบหน้าอ่อนวัยของตนครู่หนึ่ง ก่อนที่ผู้เข้าร่วมประชุมชายอีกคนจะพูดขึ้นมา  


      “  ข้าเองก็อยากมีพลังมนตราแห่งโลหิตแบบเจ้านะจะได้คงความหนุ่มสาวไปตลอดกาลได้ แม้นพวกเราจะมีอายุขัยมากกว่าลิงพวกนั้น ... แต่ก็ต้องหนีไม่พ้นความชราภาพ  ” ชายคนนึงในที่ประชุมกล่าวระหว่างเสกดวงไฟดวงเล็กจากนิ้วมือพักนึงแล้วทุบโต๊ะอย่างเดือดดาล


      “ ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งแค้น   หากไม่ใช่เพราะมันล่ะก็  พวกเราที่สมควรมีพลังมนตราดุจพระเจ้ากลับต้องมาตกต่ำเพียงนี้  แถมยังลงคำสาปไม่ให้พวกเราเข้าไปย่างเท้าในที่ที่เคยเป็นของพวกเรา จนต้องให้ลิงพวกนี้เอาเสนียดติดเพื่อค้นหาเบาะแสสิ่งที่เคยเป็นของพวกเรา !!! ”

        “ จงอยู่ในความสงบ !!!  ” น้ำเสียงกังวานทรงพลังสนั่นห้อง บรรยากาศรอบห้องเงียบโดยพลัน ทุกสายตาจ้องมองไปยัง บุคคลลึกลับสวมหมวกอารยธรรมโบราณในเงามืด แลเห็นเพียงดวงตาเปล่งอักขระลึกลับเรืองแสง ท่าทางน่าเกรงขามและลี้ลับที่หัวโต๊ะ
บุคคลลึกลับเริ่มปราศรัยให้ทุกคนฟัง  

        “ ในสมัยอดีตกาล แม้นพวกเราเคยแบ่งแยกด้วยอาณาจักรโบราณเพื่อสนองอุดมการณ์นั่นจนเลยเถิดไปเป็นสงคราม  ทว่าตอนนี้เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะพวกเราเหลือน้อยเต็มทน
   อีกไม่นานหอคอยแห่งพลังมนตราที่ถูกปิดผนึกกำลังจะหวนคืนมาอีกคราและคราวนี้พวกเราจะบรรลุเป้าหมายที่บรรพบุรุษเราตั้งไว้ !!!  

      ครานี้เมื่อลิงทั่วโลกาพร้อมใจเปล่งวาจาเป็นภาษาเดียวกันด้วยถ้อยคำที่เราประสงค์ทุกถ้อยคำ เราจะเอื้อมมือไปถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน!!!   พวกเจ้าทุกคนจงส่งลิงรับจ้างไปสำรวจตามข้อมูลของคุณโจนส์   หากจำเป็นล่ะก็จงปิดปากพวกมันได้เลย ”
จากนั้นผู้เข้าร่วมประชมทุกคนลุกขึ้นมาเอามือทุบอกของตน

         “  เพื่อยูโทเปียบนยอดหอคอยบาเบล !!  ”  เปล่งภาษาลึกลับอันเป็นรากของทุกภาษาบนโลกแต่ละคำดูน่าเกรงขาม น่าเลื่อมใส  แล้วเดินออกจากห้องทิ้งบุคคลลึกลับ ณ หัวโต๊ะไว้เพียงลำพังในท่าทางรำพึงรำพัน

       ................... “  สุธนหนึ่งในพี่น้องร่วมสาบานเอ๋ย  ข้าจำวันนั้นได้ดี ในยุคแห่งเวทมนต์อาคม เมื่อลิงพวกนั้นนับถือพวกเราดุจราชาเทพ หนึ่งแสนสามปีผ่านมาแล้วกระมัง  ”

                                                              วันนั้น

                                          ย้อนไป  130000 ปีก่อนคริสต์ศักราช  

                                              

     ในห้องประชุมลึกลับมืดสลัว  มีเพียงแสงรำไรจากเปลวเทียนมนตราสีฟ้าลุกไหม้โดยปราศจากเชื้อเพลิง ณ ใจกลางห้องปรากฏโต๊ะศิลาโบราณ ห้อมล้อมด้วยเก้าอี้หกตัวแต่ตอนนี้เว้นว่างไว้ตัวนึง
                

                    กระทั่งประตูห้องศิลาสลักลายโบราณอันวิจิตรเลื่อนเปิดออก ภาพหนุ่มฉกรรจ์ หน้าคมสัน จมูกโด่ง ตาขึงขังผิวสีคล้ำดุจชาวอินเดียอารยัน ผมดำยาวและยุ่ง แต่งกายด้วยผ้าโพกไหล่ข้างเดียว กางเกงทรงพอง รองเท้ากษัตริย์ปลายชี้สูง  จุดดำบนหน้าผากเด่นเป็นสง่า
          
      “ ยินดีต้อนรับ เจ้าชายสุธนแห่งอาณาจักรอินดัส (อินเดีย) ผู้เป็นพี่น้องของเรา เจ้าชายแห่งสี่อาณาจักร  ”


          ระหว่างการประชุมดำเนินไปนกตัวหนึ่งได้โบยบินขึ้นฟากฟ้า จนแลเห็นแผ่นดินแห่งห้าอารยธรรมโบราณเบื้องล่าง
ส่วนนอกเขตอาณาจักรเหล่านั้น เต็มไปด้วยสัตว์ยุคน้ำแข็ง มนุษย์ยุคหินไร้อารยธรรมร่อนเร่ไปมา  
จนมันบินไปเกาะต้นแขนสตรีร่างครึ่งบนเป็นหญิงสาวครึ่งล่างเป็นนก สยายปีกขาวเปล่งประกายจากเส้นไหมสีขาวเรืองแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกัน นัยน์ตาอินทรีสีเทา เฝ้ามองความเป็นไปของโลกจากเบื้องบน
                

                    “ ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมได้หมุนขึ้นเมื่อเจ้า!!  สุธนได้พบกับนางผู้นั้น ..... ”

จบบทเกริ่น และ..

ยินดีต้อนรับอยู่มหากาพย์แห่งผลึกสีแดงทุกท่าน

-       ปล.   ตัวอักษรที่ ทำตัวหนาจะแสดงถึงภาษาของชนชั้นสูง ที่มีมนตรา ไว้สื่อสารกับชนชั้นสูงทั่วโลกเพียงภาษาเดียว นอกจากเป็นเพียงแค่ภาษาต่ำที่ชนชั้นสูงประดิษฐ์ไว้ให้ประชากรของตัวเองสื่อสารกันภายในอาณาจักรของตน

  ปล.2 หากไม่ชอบตรงไหน การจัดวางหน้า สำนวน กรุณาช่วยชี้แนะ โพสบอก วิจารณ์ด่าเลยก็ได้ครับ จะเป็นพระคุณอย่างมาก แต่ถ้าชอบโพสชมก็ดีนะครับ แหะๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่