[CR] รีวิว Rogue One: A Star Wars Story




Rogue One: A Star Wars Story (2016)
กำกับโดย: Gareth Edwards
นักแสดงนำ: Felicity Jones, Diego Luna, Alan Tudyk
ประเภทหนัง: Action, Adventure, Sci-Fi

พอดูจบแล้วรู้สึกว่ามันน้ำเน่ามากเลย คือหนังเรื่องนี้ที่โปรโมทมาว่าเป็นหนังสงคราม ผมก็รู้สึกแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก เหมือนหนังทั่วไปมากกว่า คือมันไม่เจ๋งอย่างที่คิดไว้ เป็นหนังที่ไม่สนุกเลยในทุกๆด้าน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นหนังที่ไม่ควรดู ผมบอกได้เลยคุ้มมากเรื่องนี้ ถ้าแค่ไปดูดาร์ธเวเดอร์อ่ะนะ

เรื่องย่อ โดยเรื่องราวทั้งหมดจะเกิดขึ้นหลังเหล่าเจไดถูกกำจัดใน Star Wars Episode 3: Revenge of the Sith ซึ่งในตัวอย่างเผยให้เห็น เฟลิซิตี้ โจนส์ (Felicity Jones) ที่ถูกจับกุมตัว และตอบรับข้อเสนอเพื่อเป็นผู้นำในภารกิจเสี่ยงตายแลกกับอิสรภาพ กับปฏิบัติการขโมยแบบแปลนของเดธสตาร์ (Death Star) ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาวุธอันทรงพลังที่สุดของจักรวรรดิกาแล็กติก โดยเรื่องราวจะสิ้นสุดลงที่จุดเริ่มต้นของ Star Wars ภาคแรก

ช่วงแรกของหนังจะมีการถ่ายด้วยกล้องแฮนด์เฮล ซึ่งผมว่ามันดูเหมือนเราไปอยู่ในฉากนั้นจริงๆเลย แต่ก็ไม่ใช่ฉากที่น่าจดจำแต่อย่างใด เป็นเพียงการปูตัวละครทั่วไปเท่านั้นและดราม่าเล็กน้อย แล้วผมก็คิดในใจว่าจะใช้กล้องแฮนด์เฮลไปทำซากอะไรวะ ขออภัยที่หยาบนะครับ แต่ก็ไม่เป็นไรถือเป็นแค่จุดด้อยเล็กๆ ผมว่าหนังเรื่องนี้พยายามปั้นตัวละครมากเลย ทั้งบทและโมเม้นต่างๆ แต่ตัวละคร Saw Gerrera ที่แสดงโดย Forest Whitaker ผมว่าเขาแสดงได้ดีมาก เหมือนจะมาเอาออสการ์เลย (ซึ่งเขาก็ได้แล้ว) ผมก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะใช้ฝีมือการแสดงขนาดนี้ไปทำไม ในเมื่อบทมันเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น ผมว่ามันแปลกๆ และฉาก Monologue ของเรื่องก็มีแต่ผมว่ามันก็ไม่เข้าท่าอีก คือแทนที่ถ่ายคนพูดแต่กลับถ่ายคนฟัง และเอาคนพูดที่เป็นโฮโรแกรมมา Monologue คืออะไรผมไม่เข้าใจ และที่ผมไม่ชอบที่สุดเลยคือดราม่า ผมเห็นหลายฉากมากที่หนังพยายามดึงไปดราม่า คือเข้าใจว่าเป็นหนังสงครามพอเวลาสูญเสียเพื่อนหรือสหายก็ต้องมีโมเม้นตรงนี้ แต่ผมว่าผมไม่แคร์กับตัวละครในเรื่องเลย คือหนังปูมาแบบลวกๆ และผมก็ไม่รู้สึกร่วมกับเหตุการณ์ตรงนี้ ทำให้ดราม่ามันเสียไปหมดทั้งเรื่องเลย ขนาดฉากโฮโรแกรมหนังยังพาไปดราม่าดูสิจะไม่ให้ติได้ไง ในสตาร์วอร์ทุกภาคจะมีฮีโร่ประจำในแต่ละภาค ภาค 4 5 6 มี ลุค มีฮันโซโล มีเจ้าหญิงเลอา ภาค 7 ก็ เรย์ ฟิน และก็โพ ดาเมรอน แต่ภาคนี้มีเยอะกว่า แต่กลับสู้ภาคอื่นไม่ได้เลย ส่วนตัว K-2SO ผมว่าแย่งซีนได้ดีมากทางด้านการตัดต่อในเรื่องนี้ ผมว่ามันเป็น Parallel Cut แต่กลับใช้เหตุการณ์ที่เยอะมาก จนเรารู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันจริงๆเหรอ แต่ส่วนที่ดีที่สุดของหนัง สำหรับผมแล้วอยู่ที่ 5 นาทีสุดท้าย ซึ่งจะเป็นอะไรไปชมกันเอาเอง คือมันมีทั้งส่วนอิมแพคและส่วนที่น้ำเน่า ส่วนที่อิมแพคคือมันเชื่อมโยงกับภาค 4 ได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนน้ำเน่าคือหนังพยายามให้มันน่าจดจำและทำให้เป็นตำนาน แต่ก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร


นักแสดงนำของเรื่องผมไม่มีปัญหาคือแสดงดีเยี่ยมโดยเฉพาะ Forest Whitaker ผมว่าเขาทุ่มเทกับการแสดงมากในเรื่องนี้ เขาแสดงออกมาผ่านตัวละคร Saw Gerrera ได้น่าประทับใจมาก ผมว่าเขาแสดงดีที่สุดในเรื่อง ส่วนนางเอกผมชอบเธอนะ แม้ผมจะไม่ชอบปมเรื่องพ่อของเธอ แต่ผมว่าตัวละครนี้ทำได้ไม่เลวเลย เธออาจจะไม่มีความเก่งอะไรมาก แต่เธอสวย แค่นี้แหละ เอาง่ายๆคือผมอวยเพราะเธอน่ารัก บทอะไรต่างๆผมไม่ค่อยชอบ คือบทเหมือนจะดี แต่ก็ไม่ทำให้เธอเป็นตัวละครหญิงแกร่งแต่อย่างใด เธอเป็นเพียงผู้หญิงที่มีปมในใจเรื่องพ่อเท่านั้น และตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องเลยก็คือตัวละคร Chirrut Imwe ที่แสดงโดย Donnie Yen ผมว่าเขาแย่งซีนและเด่นมากๆเลย คือตาบอดแต่เก่งมาก คือไม่ได้เอาตัวละครเอเชียมาย่ำยี แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วส่วนเพื่อนของเขาที่เป็นคนเอเชียเหมือนกันก็เด่นแต่ไม่มากนัก ส่วนไอคนนี้ผมไม่รู้ว่าเป็นพระเอกหรือเปล่าก็คือ Cassian Andor เป็นตัวละครที่เป็นพระเอกก็ไม่ได้ เป็นตัวร้ายก็ไม่เหมาะ คือยังไงกันแน่ แต่พอดูๆไปเราก็เห็นว่าเขาก็มีความกล้าหาญหรือเปล่า แต่ก็ไม่ทำให้ผมชอบตัวละครนี้มากขึ้นเลย ส่วนของตัวร้ายของเรื่อง เรื่องนี้ผมว่าทำตัวร้ายได้ร้ายมาก ร้ายในที่นี้คือเลวร้ายมาก คือทั้งเรื่องแทบไม่ไปไหนเลย(อันนี้สปอยล์นะ) อยู่แต่ในฐาน คือที่พอจะไปได้คือการแสดงที่ทำได้โอเคเลย ในตัวอย่างดูน่ากลัว พอมาดูจริงๆน่าเวทนา มีลูกน้องแบบนี้ไงดาร์ธเวเดอร์ถึงไม่ชนะ สุดท้ายก็คือตัวละครดาร์ธเวเดอร์ที่เปิดตัวด้วยการแก้ผ้า คือทำไมไม่ให้ใส่ชุดแล้วเดินออกมาก็ไม่เข้าใจ แถมเห็นหัวล้านๆของเขาที่มีแผลฉกรรจ์ทำให้ดาร์ธเวเดอร์ที่น่ากลัว ดูน่าเกลียดไปเลย แต่ที่สุดยอดยิ่งกว่าสุดยอดคือฉากแอ็คชั่นของเขาที่มันสะใจผมมาก เป็นฉากแอ็คชั่นที่ทดแทนได้ทั้งเรื่องเลย คือผมลืมฉากแอ็คชั่นในตอนท้ายที่เจ๋งๆไปเลยมาเจอฉากนี้ยอมจริงๆ ทางด้านดนตรีประกอบก็ใช้สกอร์ใหม่หมด ยกเว้นธีมของดาร์ธเวเดอร์ สำหรับผมแล้วไม่มีธีมหรือสกอร์ไหนดีเท่าของดาร์ธเวเดอร์อีกแล้ว

สรุป Rogue One: A Star Wars Story เป็นหนังภาคแยกที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง (กล้าพูดเนอะ) คือผมไม่ชอบไม่ได้แปลว่ามันไม่ดีนะ ผมว่าเราต้องยึดความคิดตนเองเป็นหลัก หนังจะดีหรือไม่สุดท้ายขึ้นอยู่กับฟีดแบคคนดู ว่าคนดูชอบแบบไหน อันนี้ผมไม่ได้พาดพิงใครนะเพราะผมก็เคยเป็น คือเราเห็นเพจหรือคนอื่นรีวิวว่าชอบเราก็ชอบ ไม่ชอบเราก็ไม่ชอบ ผมว่าเอาตามความคิดเราดีกว่า ผมเชื่อว่าหนังที่ดีหรือไม่ดียังไงมันก็อยู่ในความทรงจำเราอยู่ดีคือผมหนังที่ผมไม่ชอบ แต่ดูสนุกก็มี หนังที่ผมชอบ แต่ดูแล้วไม่สนุกก็มี ส่วนตัวผมการดูหนังไม่ใช่แค่เรื่องบันเทิง มันยังพัฒนาความคิดเราได้หลายๆอย่างเราได้ท่องเที่ยวในที่ที่ไม่เคยไปก็เพราะหนัง เรามีความสุข หัวเราะ ร้องไห้ ก็เพราะหนัง สำหรับผมหนังเป็นยิ่งกว่าสื่อบันเทิง มันเหมือนงานศิลปะหรือสิ่งก่อสร้างที่ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากในการสร้าง ซึ่งรีวิวผมแม้จะไม่ชอบหนัง แต่ผมไม่เคยด่าหนังเรื่องไหนที่ผมไม่ชอบ เพราะผมว่าผมเป็นคนที่วิจารณ์ผมไม่ได้ไปลงทุน ไปทำงานกับเขา สิ่งที่ผมสูญเสียก็แค่เงิน ผมว่ามันคุ้มทุกบาททุกสตางค์จริงๆสำหรับหนังเรื่องนึง เราเสียเงินเพื่ออะไรถามใจเราดู ที่ผมนอกเรื่องก็เพราะอยากให้เราไปคิดว่าหนังเราชอบแบบไหน ผมเคยเออ ออ กับนักวิจารณ์มากมาย แต่พอมาคิดแล้วมันไม่ใช่ทางของเรา เราลองสำรวจตัวเองดู และเราลองดูหนังหลายๆแนว โดยเฉพาะแนวที่คนรีวิวไม่ชอบบ้างและเราต้องตั้งคำถามด้วยว่า ทำไมเราชอบแล้วเขาไม่ชอบ คือดูเยอะๆแล้วเราจะเข้าใจเอง ยกเว้นแต่หนังของผู้กำกับคนนึง ซึ่งผมจะไม่เอ่ยละกันคือใคร เป็นหนังที่ผมเอาเงินไปตี...ดีกว่า

ซึ่งผมจะให้หนังเรื่องนี้อยู่ที่ 6.5/10
เขียนโดย Movie Nowhere
   
ติดตามผมได้ที่เพจ https://www.facebook.com/MovieNowhere/
ชื่อสินค้า:   รีวิวหนัง
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่