คือแบบ...ไปต่างประเทศทั้งที ถ้าไม่ได้ดูหนังโรงมันก็ไม่ใช่เราไง แม้ว่าเราจะเคยดูหนังโรงในญี่ปุ่นมาแล้ว แต่ญี่ปุ่นมันย่อมมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งคราวนี้เราเลยไปลองดูกันที่ TOHO Cinema ก็โรงหนังที่มีก็อดซิลล่าตัวเบิ้มโผล่หน้าอยู่บนตึกไง

เข้าทางนี้เลยจย้า

ก็อตจิหน้าสลอน
ที่จริงแล้วความตั้งใจแรกของเราก็คือ จะไปดู Kimi no Nawa หรือว่า Your Name นั่นแหละ อยากจะไปสัมผัสประสบการณ์แบบออริจินัลกันเลย แต่พอไปถึงจริงๆ มันมีอะไรน่าสนใจมากกว่านั้นอ่ะนะ
ตัวโรงหนังหาไม่ยากอ่ะ มาลงที่ JR Shinjuku เดินไปทาง East Exit โผล่มาบนถนน มองไปทาง Kabukicho มีร้านดองกี้อยู่ปากซอย แหงนหน้านึดนึง มองเข้าไปจะเห็นหน้าอีก็อดจิแสลนอยู่เลย เห็นแล้วหมั่นไส้มากๆ
ตัวโรงค่อนข้างมีความทันสมัยมากๆ (แน่ล่ะ) และดูใหม่ด้วย แต่ถ้าพูดกันจริงๆ เราว่าความหรูหรายังสู้ พารากอน ซีเนเพล็กซ์ หรือว่า เมกา ซีเนเพล็กซ์ บ้านเราไม่ได้เลย

โปรแกรมหนัง หลากหลายมั่กๆ
ทีนี้ก็มาดูโปรแกรมหนัง มีประมาณ 11 เรื่อง หนังฝรั่งไม่ดูแน่ๆ ดูที่โปรแกรมหนังญี่ปุ่น อะหือ มีอยู่ 7 เรื่อง ทุกเรื่องไม่มีโปสเตอร์ประกอบ คือไม่รู้อะไรเลย เอ๊ะ! แวบๆ อ่อ นั่น Kimi no Nawa ฮึ้ย ใช่เลยๆ อันนี้แหละ รอบ 21.00 น. จบประมาณ 5 ทุ่ม ทันรถไฟกลับด้วย (พักอยู่อูเอโนะ คนละฟากกะชินจูกุเลย)

ช็อปขายของน่าสนใจ แต่แพงเกิ๊น
อ่ะเคร ก็เดินเล่นก่อนยังไม่ซื้อบัตร โรงหนังที่นี่เค้าดีอย่าง (จริงๆ หลายอย่าง) มีโซนขายของที่รัลึกเกี่ยวกะหนังด้วย ก็เดินจับเดินดูไป (ไม่ซื้ออ่ะ แพงมาก) ช่วงนี้ Fantastic Beast กะลังเข้า ของที่ระลึกเกี่ยวกะแฮรี่ พอตเตอร์ เลยเยอะเป็นพิเศษ เดินๆ อยู่ตาก็ไปเจอกะสมุดภาพหน้าปกเก๋เรื่องนึง แต่อยู่ในห่อพลาสติกเปิดดูไม่ได้ (T_T) แต่เฮ้ย มันเป็นโปสเตอร์หนังที่น่าดูมากๆ คาดคะเนจากประสบการณ์มันต้องเป็นหนังสืบสวนสอบสวน ไล่ล่าแน่ๆ เฮ้ย อยากดูเรื่องนี้อ่ะ แต่ครับแต่ เรื่องอะไรอ่ะ มีแต่ภาษาญี่ปุ่น จะหยิบเล่มเดินไปถามพนักงานที่ช่องขายตั๋วว่าเรื่องอะไรก็ไม่กล้า กลัวเค้าหาว่าขโมย ทำไงดีทีนี้ ก็เดินไปดูที่โปรแกรมหนัง ดีที่หนังญี่ปุ่นแต่ละเรื่องมีชื่อหนังภาษาอังกฤษคู่อยู่ด้วย ก็ลองเอามาค้นกูเกิ้ลดู เรื่องแรก Kimi no Nawa อันนี้ Your Name แน่ๆ ข้ามไป เรื่องที่ 2 Museum กูเกิ้ลประมวลผล... เฮ้ยๆๆๆ ใช่เลย ดูรอบ 21.15 น. ดูได้นี่ ทันรถไฟด้วย ^^

เนี่ยๆ เรื่องเนี้ยแหละ ใบปิดน่าดูมากๆ "Museum"

หน้าตู้ขายตั๋ว เลือกตู้ริมๆ เลยฮะ
ทีนี้ก็มาซื้อตั๋วกันเลยดีกว่า มีเคาน์เตอร์ขาย แต่เราไม่ เราไปที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติกันดีกว่า ก็เลือกตู้ริมๆ ที่ไม่ค่อยมีคนต่อคิวอ่ะ เพราะดูแล้วช้าแน่ๆ ๕๕๕ ก็ลองกดๆ ดู สรุปแล้ว การซื้อตั๋วด้วยตู้ฯ ของญี่ปุ่น ไม่ยาก บางขั้นตอนมีภาษาอังกฤษคู่ภาษาญี่ปุ่น บางขั้นตอนไม่มี แต่ขั้นตอนการซื้อไม่ยุ่งยาก ก็ลองกดๆ เดาๆ ไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ใช่และก็ย้อนกลับ แต่ถ้าไม่ใช่แล้วมากๆ ก็กดไปตั้งต้นใหม่ ๕๕๕ สรุปแล้วใช้เวลาไปประมาณ 5 นาที จะมีที่น่าสังเกตนิดนึงตอนเลือกที่นั่ง จะมีที่นั่งพิเศษที่จะเป็นสีแดงอยู่ 2 แถวกลางๆ โรง ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ลองกดดูแล้วราคาจะแพงกว่าที่นั่งปกติอยู่ 1,000 เยน (ปกติ 1,800 เยน ก็ไม่เอาดีกว่า 300 กว่าแน่ะ ๕๕๕ พอเสร็จขั้นตอนก็ให้เราสอดเงินแล้วก็จบ ง่ายมั่กๆ เอาจริงๆ ก็อารมณ์ประมาณตู้ฯ ของเมเจอร์บ้านเราแหละ (เคยคุยก็ผู้จัดการโรงหนัง เค้าก็ว่าได้ไอเดียมาจากญี่ปุ่นนี่แหละ) แต่บ้านเราจะยุ่งยากกว่านิดนึงตรงที่จะชำระเงินต้องใช้บัตรของเมเจอร์ หรือว่าบัตรเครดิตเท่านั้นไง (ซึ่งบางทีตรงนี้เราว่าน่าจะปรับปรุงให้สามารถใช้เงินสดได้เลยจะดีมากๆ)

ตั๋วหนังจะเป็นแบบนี้ 1,800 เยน

กินไรดี ?
สร็จสิ้นจากการซื้อตั๋ว ก่อนเข้าโรงฯ ก็ต้องซื้อป็อปคอร์นช่ะ ? ก็ไปที่เคาน์เตอร์ขาย ของขายโดยรวมก็คล้ายๆ บ้านเรานี่แหละ มากกว่านิดนึง แต่ที่น่าสังเกตคือ ทำไมไม่มีเซ็ตจากหนังเลยล่ะ ไม่มีอะไรเลยที่ทำมาเป็นที่ระลึกจากหนัง ก็แปลกๆ อยู่ แต่โอเคแหละ เราเลยเลือกเซ็ตน้ำ ป็อปคอร์นปกติ ตอนซื้อ น้องคนขายก็พยายามถามอะไรเราซักอย่าง (นอกจากถามว่าป็อปคอร์นรสไร น้ำไรอ่ะ) แต่เราฟังไม่ออกจริงๆ ย้ำกันอยู่ 4-5 รอบ จนน้องเค้ายิ้มและเก็บเงิน ทอนเงิน ก็สรุปว่าไม่เข้าใจ น้องต้องการอะไร พี่โง่ แต่พี่อยากรู้นะ คาใจมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ๕๕๕ ได้น้ำกะป็อปคอร์นมามาในถาดทรง 3 เหลี่ยม ที่ตอนแรกก็คิดว่าจะใส่มาทำไมวะ ดูแล้วเกะกะ ถือลำบากจริง แต่น้องเค้ายื่นให้มาแล้ว จะคืนก็เดี๋ยวจะเสียน้ำใจ ถือและเดินเข้าโรงฯ ไปแบบนั้น แต่พอไปถึงที่นั่ง อะโห ฉลาดเลย... คืองี้ ปกติตรงที่วางแขนมันจะมีช่องวางแก้วน้ำอยู่ช่ะ ? แต่ได้ถาดทรง 3 เหลี่ยมที่ว่าเนี้ย มันออกแบบมาให้สามารถวางลงไปในช่องวางแก้วน้ำได้พอดี พอวางลงไป เราก็จะมีทั้งน้ำ ทั้งป็อปคอร์นอยู่ตรงหน้า หยิบกิน หยิบดูดได้เลย ไม่ต้องคอยถือถังป็อปคอร์นเอาไว้มือนึง เป็นการแก้ปัญหาที่ simply Japanese มั่กๆ พี่เอาโนเบิ้ลไพรส์ไปเลย อยากให้โรงหนังของไทยไปดูงานแล้วซื้อลิขสิทธิ์มาใช้มั่งจริงๆ ก่อนไปว่ากันที่ตัวหนัง ขอพูดถึงไอ้ที่นั่งเจ้าปัญหาราคาแพง 2 แถวที่พูดถึงไปก่อน มันคือที่นั่งแบบส่วนตัวอ่ะ คือจะเป็นที่นั่งแบบเดี่ยวๆ แล้วมีคอกกั้นไปเลย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเวลาดูหนัง และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบเล่นมือถือเวลาดูหนัง ซึ่งแสงมีนจะไปแยงตาคนข้างหลังไง ที่นั่งแบบนี้จะช่วยแก้ปัญหานั้นได้ คือจริงๆ เท่าที่รู้แบบนี้ก็มีในไทยนะ แต่ไม่ทุกโรง เห็นแล้วอยากให้มีทุกโรงเหมือนกัน แล้วก็บังคับให้ไอ้พวกที่ชอบหยิบมือถือมาเล่นเวลาดูหนังไปซื้อที่นั่งแบบนี้ให้หมด จะได้ไม่รบกวนคนอื่น ฮึ้ย พูดและขึ้น ๕๕๕

ป็อปคอร์นพร้อมถาด ที่วางได้พอดีกะช่องวางแก้วน้ำ เก๋ๆ

ภายในโรงหนังจะเป็นแบบนี้
อ่ะ ทีนี้ก็มาว่ากันที่ตัวหนัง (ซักทีเห้อะ) ที่เราคิดไว้ว่าหนังน่าจะมาในทางสืบสวนสอบสวน ไล่ล่า หนังมาในทางนี้จริงๆ ด้วย หนังเล่าเรื่องของ ตำรวจสืบสวนคนนึงที่ดูรู้สึกผิดกะการที่สูญเสียภรรยาและลูกไปและยังคงจมอยู่กับความเสียบใจนั้น ที่ต้องมาสืบสวนคดีฆ่าต่อเนื่องคดีหนึ่งที่การฆ่าแต่ละครั้งดูมีความเป็นศิลปะ เหมือนกับว่าเป็นเป็นการจัดแสดงงานของตัวเองยังไงยังงั้น (ตรงนี้มั้งที่เป็นที่มาของชื่อเรื่อง Museum) พระเอกของเรายิ่งสืบก็ยิ่งจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ จนเริ่มเสียการเสียงาน ปมต่างๆ ที่หนังทิ้งไว้ก็เริ่มคลาย ก่อนที่หนังจะพาคนดูไปยังบทสรุป
เอาจริงๆ ตัวหนังมันสนุกใช้ได้เลยนะ เปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตามมากๆ ดูไปก็ชวนให้นึกถึงหนังแนวๆ นี้ของเกาหลีที่ถือเป็นสุดยอดสำหรับเรา ก่อนที่หนังจะค่อยๆ ดรอปลงๆ ไปเรื่อยๆ และกลับมาสนุกได้ในตอนท้ายๆ ไปถึงตอนจบของหนังอีกที พระเอกมาในบทตำรวจสืบสวนตามพิมพ์นิยมที่ใช้อารมณ์นำ จนทุกอย่างแย่ลงเรื่อยๆ นี่ถ้ามีสติ คิดอย่างมีตรรกะกว่านี้ น่าจะจับตัวคนร้ายไปได้ตั้งนานแล้ว ตัวร้ายมาในชุดคอสเพลย์กบ ??? เฮ้ย มันดีมาก มันดูน่าหวาดหวั่น บวกกะการกระทำจิตๆ ในช่วงแรกมันยิ่งส่งให้น่ากลัวจนน่าจะเป็นตัวร้ายคลาสสิกได้เลย แต่พอช่วงหลังๆ ที่หนังเริ่มคลายปม ความน่ากลัวมันก็ลดลงไปเรื่อยๆ (อีกแล้ว) ตำรวจอื่นๆ ในเรื่อง ทำไม้ ทำไม มันโง่ได้ทั้ง สน. ขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ตามสืบจากสิ่งที่พระเอกทิ้งไว้ มันจะจับตัวคนร้ายได้มั้ยเนี่ย แล้วยิ่งมาถึงตอนจบ แหม่ แบบนี้นึกว่ามีแต่ในหนังไทยซะอีก
สรุปแล้ว โดยรวมหนังสนุกใช้ได้ น่าเสียดายที่หนังเปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจ แต่กลับมาดรอปลงเมื่อหนังเดินหน้าไปเรื่อยๆ และอีกอย่าง ช่วงที่หนังคลายปมปัญหาต่างๆ มันเป็นภาษาญี่ปุ่นไง ไม่มีซับอิงด้วย เราเลยไม่เข้าใจในหลายๆ การกระทำของตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทำไมตัวร้ายถึงเลือกพระเอกเป็นเหยื่อในครั้งนี้ ?” คิดแล้วก็อยากให้ค่ายหนังในไทยซื้อมาซะจริงๆ ไม่ต้องฉายโรงก็ได้ ออกแผ่นก็ยังดี เรื่องแบบนี้เราว่าน่าจะขายได้อยู่นะ

ก่อนเดินออกจากโรงหนัง จะเป็นภาพนี้ เมืองแห่งสีสันจริงๆ
ป.ล. เราลองกลับมาหาข้อมูลดู Museum เป็นหนังที่ทำเงินพอสมควรในญี่ปุ่นนะ ก็คิดอยู่ว่าตอนดูนี่คนเยอะพอสมควรเลยนะ
สุดท้ายแล้วก็เอาไว้พบกันใหม่ตอนที่ได้ไปต่างประเทศอีก Coming Soon ^^
ป.ล.2 จริงๆ เราได้ไปดูโรงหนังลับเฉพาะมาด้วยนะ ไว้คราวหน้าจะมารีวิวอีกที อิอิ
ทิ้งท้ายกะขั้นตอนการซื้อตั๋วหนังผ่านตู้อัตโนมัติอย่างละเอียด

ขั้นตอนที่ 1 แตะไปที่หน้าจอ จะขึ้นมาแบบนี้ จิ้มไปที่ "Ticket(s) for today"

ขั้นตอนที่ 2 มีหนังมาให้เลือก ดูเรื่องไหนก็จิ้มไป

ขั้นตอนที่ 3 มีรอบบอก เอาที่สบายใจ

ขั้นตอนที่ 4 ยืนยันไปโลด

ขั้นตอนที่ 5 กี่ที่ก็ว่ากันไป

ขั้นตอนที่ 6 เลือกที่นั่ง มีที่นั่งน่าสงสัยอยู่ 2 แถว

ขั้นตอนที่ 7 อะไรไม่รู้ แต่น่าจะประมาณว่าถามหาบัตรสะสม จิ้มอันข้างๆ ไป

ขั้นตอนที่ 8 มีหลายราคา หลายโปรโมชั่น ที่น่าสงสัยคือ "Marriage 50 Discount" หา! แต่งงานแล้วได้ลด 50% ด้วย ใช่เหรอ ? แล้วอีกอย่าง ถ้าเราจิ้มอันอื่นที่ไม่ใช่ General แล้วจะรู้ได้ไงล่ะ ?

ขั้นตอนที่ 9 1 ที่ถ้วน ยังไม่แต่งงานด้วย

ขั้นตอนที่ 10 ที่นั่งพิเศษที่เราบอก 2,800 เยน ไม่เอาๆ ย้อนกลับ

ขั้นตอนที่ 11 เลือกวิธีชำระเงิน เงินสดก็ง่ายๆ สอดแบงค์เลย

ขั้นตอนที่ 12 คอมพลีทแล้วจย้า
โรงหนังต่างแดน เดอะ ซีรีส์: พาไปดูโรงหนังก็อตจิ ที่ญี่ปุ่นกัน
คือแบบ...ไปต่างประเทศทั้งที ถ้าไม่ได้ดูหนังโรงมันก็ไม่ใช่เราไง แม้ว่าเราจะเคยดูหนังโรงในญี่ปุ่นมาแล้ว แต่ญี่ปุ่นมันย่อมมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งคราวนี้เราเลยไปลองดูกันที่ TOHO Cinema ก็โรงหนังที่มีก็อดซิลล่าตัวเบิ้มโผล่หน้าอยู่บนตึกไง
เข้าทางนี้เลยจย้า
ก็อตจิหน้าสลอน
ที่จริงแล้วความตั้งใจแรกของเราก็คือ จะไปดู Kimi no Nawa หรือว่า Your Name นั่นแหละ อยากจะไปสัมผัสประสบการณ์แบบออริจินัลกันเลย แต่พอไปถึงจริงๆ มันมีอะไรน่าสนใจมากกว่านั้นอ่ะนะ
ตัวโรงหนังหาไม่ยากอ่ะ มาลงที่ JR Shinjuku เดินไปทาง East Exit โผล่มาบนถนน มองไปทาง Kabukicho มีร้านดองกี้อยู่ปากซอย แหงนหน้านึดนึง มองเข้าไปจะเห็นหน้าอีก็อดจิแสลนอยู่เลย เห็นแล้วหมั่นไส้มากๆ
ตัวโรงค่อนข้างมีความทันสมัยมากๆ (แน่ล่ะ) และดูใหม่ด้วย แต่ถ้าพูดกันจริงๆ เราว่าความหรูหรายังสู้ พารากอน ซีเนเพล็กซ์ หรือว่า เมกา ซีเนเพล็กซ์ บ้านเราไม่ได้เลย
โปรแกรมหนัง หลากหลายมั่กๆ
ทีนี้ก็มาดูโปรแกรมหนัง มีประมาณ 11 เรื่อง หนังฝรั่งไม่ดูแน่ๆ ดูที่โปรแกรมหนังญี่ปุ่น อะหือ มีอยู่ 7 เรื่อง ทุกเรื่องไม่มีโปสเตอร์ประกอบ คือไม่รู้อะไรเลย เอ๊ะ! แวบๆ อ่อ นั่น Kimi no Nawa ฮึ้ย ใช่เลยๆ อันนี้แหละ รอบ 21.00 น. จบประมาณ 5 ทุ่ม ทันรถไฟกลับด้วย (พักอยู่อูเอโนะ คนละฟากกะชินจูกุเลย)
ช็อปขายของน่าสนใจ แต่แพงเกิ๊น
อ่ะเคร ก็เดินเล่นก่อนยังไม่ซื้อบัตร โรงหนังที่นี่เค้าดีอย่าง (จริงๆ หลายอย่าง) มีโซนขายของที่รัลึกเกี่ยวกะหนังด้วย ก็เดินจับเดินดูไป (ไม่ซื้ออ่ะ แพงมาก) ช่วงนี้ Fantastic Beast กะลังเข้า ของที่ระลึกเกี่ยวกะแฮรี่ พอตเตอร์ เลยเยอะเป็นพิเศษ เดินๆ อยู่ตาก็ไปเจอกะสมุดภาพหน้าปกเก๋เรื่องนึง แต่อยู่ในห่อพลาสติกเปิดดูไม่ได้ (T_T) แต่เฮ้ย มันเป็นโปสเตอร์หนังที่น่าดูมากๆ คาดคะเนจากประสบการณ์มันต้องเป็นหนังสืบสวนสอบสวน ไล่ล่าแน่ๆ เฮ้ย อยากดูเรื่องนี้อ่ะ แต่ครับแต่ เรื่องอะไรอ่ะ มีแต่ภาษาญี่ปุ่น จะหยิบเล่มเดินไปถามพนักงานที่ช่องขายตั๋วว่าเรื่องอะไรก็ไม่กล้า กลัวเค้าหาว่าขโมย ทำไงดีทีนี้ ก็เดินไปดูที่โปรแกรมหนัง ดีที่หนังญี่ปุ่นแต่ละเรื่องมีชื่อหนังภาษาอังกฤษคู่อยู่ด้วย ก็ลองเอามาค้นกูเกิ้ลดู เรื่องแรก Kimi no Nawa อันนี้ Your Name แน่ๆ ข้ามไป เรื่องที่ 2 Museum กูเกิ้ลประมวลผล... เฮ้ยๆๆๆ ใช่เลย ดูรอบ 21.15 น. ดูได้นี่ ทันรถไฟด้วย ^^
เนี่ยๆ เรื่องเนี้ยแหละ ใบปิดน่าดูมากๆ "Museum"
หน้าตู้ขายตั๋ว เลือกตู้ริมๆ เลยฮะ
ทีนี้ก็มาซื้อตั๋วกันเลยดีกว่า มีเคาน์เตอร์ขาย แต่เราไม่ เราไปที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติกันดีกว่า ก็เลือกตู้ริมๆ ที่ไม่ค่อยมีคนต่อคิวอ่ะ เพราะดูแล้วช้าแน่ๆ ๕๕๕ ก็ลองกดๆ ดู สรุปแล้ว การซื้อตั๋วด้วยตู้ฯ ของญี่ปุ่น ไม่ยาก บางขั้นตอนมีภาษาอังกฤษคู่ภาษาญี่ปุ่น บางขั้นตอนไม่มี แต่ขั้นตอนการซื้อไม่ยุ่งยาก ก็ลองกดๆ เดาๆ ไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ใช่และก็ย้อนกลับ แต่ถ้าไม่ใช่แล้วมากๆ ก็กดไปตั้งต้นใหม่ ๕๕๕ สรุปแล้วใช้เวลาไปประมาณ 5 นาที จะมีที่น่าสังเกตนิดนึงตอนเลือกที่นั่ง จะมีที่นั่งพิเศษที่จะเป็นสีแดงอยู่ 2 แถวกลางๆ โรง ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ลองกดดูแล้วราคาจะแพงกว่าที่นั่งปกติอยู่ 1,000 เยน (ปกติ 1,800 เยน ก็ไม่เอาดีกว่า 300 กว่าแน่ะ ๕๕๕ พอเสร็จขั้นตอนก็ให้เราสอดเงินแล้วก็จบ ง่ายมั่กๆ เอาจริงๆ ก็อารมณ์ประมาณตู้ฯ ของเมเจอร์บ้านเราแหละ (เคยคุยก็ผู้จัดการโรงหนัง เค้าก็ว่าได้ไอเดียมาจากญี่ปุ่นนี่แหละ) แต่บ้านเราจะยุ่งยากกว่านิดนึงตรงที่จะชำระเงินต้องใช้บัตรของเมเจอร์ หรือว่าบัตรเครดิตเท่านั้นไง (ซึ่งบางทีตรงนี้เราว่าน่าจะปรับปรุงให้สามารถใช้เงินสดได้เลยจะดีมากๆ)
ตั๋วหนังจะเป็นแบบนี้ 1,800 เยน
กินไรดี ?
สร็จสิ้นจากการซื้อตั๋ว ก่อนเข้าโรงฯ ก็ต้องซื้อป็อปคอร์นช่ะ ? ก็ไปที่เคาน์เตอร์ขาย ของขายโดยรวมก็คล้ายๆ บ้านเรานี่แหละ มากกว่านิดนึง แต่ที่น่าสังเกตคือ ทำไมไม่มีเซ็ตจากหนังเลยล่ะ ไม่มีอะไรเลยที่ทำมาเป็นที่ระลึกจากหนัง ก็แปลกๆ อยู่ แต่โอเคแหละ เราเลยเลือกเซ็ตน้ำ ป็อปคอร์นปกติ ตอนซื้อ น้องคนขายก็พยายามถามอะไรเราซักอย่าง (นอกจากถามว่าป็อปคอร์นรสไร น้ำไรอ่ะ) แต่เราฟังไม่ออกจริงๆ ย้ำกันอยู่ 4-5 รอบ จนน้องเค้ายิ้มและเก็บเงิน ทอนเงิน ก็สรุปว่าไม่เข้าใจ น้องต้องการอะไร พี่โง่ แต่พี่อยากรู้นะ คาใจมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ๕๕๕ ได้น้ำกะป็อปคอร์นมามาในถาดทรง 3 เหลี่ยม ที่ตอนแรกก็คิดว่าจะใส่มาทำไมวะ ดูแล้วเกะกะ ถือลำบากจริง แต่น้องเค้ายื่นให้มาแล้ว จะคืนก็เดี๋ยวจะเสียน้ำใจ ถือและเดินเข้าโรงฯ ไปแบบนั้น แต่พอไปถึงที่นั่ง อะโห ฉลาดเลย... คืองี้ ปกติตรงที่วางแขนมันจะมีช่องวางแก้วน้ำอยู่ช่ะ ? แต่ได้ถาดทรง 3 เหลี่ยมที่ว่าเนี้ย มันออกแบบมาให้สามารถวางลงไปในช่องวางแก้วน้ำได้พอดี พอวางลงไป เราก็จะมีทั้งน้ำ ทั้งป็อปคอร์นอยู่ตรงหน้า หยิบกิน หยิบดูดได้เลย ไม่ต้องคอยถือถังป็อปคอร์นเอาไว้มือนึง เป็นการแก้ปัญหาที่ simply Japanese มั่กๆ พี่เอาโนเบิ้ลไพรส์ไปเลย อยากให้โรงหนังของไทยไปดูงานแล้วซื้อลิขสิทธิ์มาใช้มั่งจริงๆ ก่อนไปว่ากันที่ตัวหนัง ขอพูดถึงไอ้ที่นั่งเจ้าปัญหาราคาแพง 2 แถวที่พูดถึงไปก่อน มันคือที่นั่งแบบส่วนตัวอ่ะ คือจะเป็นที่นั่งแบบเดี่ยวๆ แล้วมีคอกกั้นไปเลย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเวลาดูหนัง และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบเล่นมือถือเวลาดูหนัง ซึ่งแสงมีนจะไปแยงตาคนข้างหลังไง ที่นั่งแบบนี้จะช่วยแก้ปัญหานั้นได้ คือจริงๆ เท่าที่รู้แบบนี้ก็มีในไทยนะ แต่ไม่ทุกโรง เห็นแล้วอยากให้มีทุกโรงเหมือนกัน แล้วก็บังคับให้ไอ้พวกที่ชอบหยิบมือถือมาเล่นเวลาดูหนังไปซื้อที่นั่งแบบนี้ให้หมด จะได้ไม่รบกวนคนอื่น ฮึ้ย พูดและขึ้น ๕๕๕
ป็อปคอร์นพร้อมถาด ที่วางได้พอดีกะช่องวางแก้วน้ำ เก๋ๆ
ภายในโรงหนังจะเป็นแบบนี้
อ่ะ ทีนี้ก็มาว่ากันที่ตัวหนัง (ซักทีเห้อะ) ที่เราคิดไว้ว่าหนังน่าจะมาในทางสืบสวนสอบสวน ไล่ล่า หนังมาในทางนี้จริงๆ ด้วย หนังเล่าเรื่องของ ตำรวจสืบสวนคนนึงที่ดูรู้สึกผิดกะการที่สูญเสียภรรยาและลูกไปและยังคงจมอยู่กับความเสียบใจนั้น ที่ต้องมาสืบสวนคดีฆ่าต่อเนื่องคดีหนึ่งที่การฆ่าแต่ละครั้งดูมีความเป็นศิลปะ เหมือนกับว่าเป็นเป็นการจัดแสดงงานของตัวเองยังไงยังงั้น (ตรงนี้มั้งที่เป็นที่มาของชื่อเรื่อง Museum) พระเอกของเรายิ่งสืบก็ยิ่งจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ จนเริ่มเสียการเสียงาน ปมต่างๆ ที่หนังทิ้งไว้ก็เริ่มคลาย ก่อนที่หนังจะพาคนดูไปยังบทสรุป
เอาจริงๆ ตัวหนังมันสนุกใช้ได้เลยนะ เปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตามมากๆ ดูไปก็ชวนให้นึกถึงหนังแนวๆ นี้ของเกาหลีที่ถือเป็นสุดยอดสำหรับเรา ก่อนที่หนังจะค่อยๆ ดรอปลงๆ ไปเรื่อยๆ และกลับมาสนุกได้ในตอนท้ายๆ ไปถึงตอนจบของหนังอีกที พระเอกมาในบทตำรวจสืบสวนตามพิมพ์นิยมที่ใช้อารมณ์นำ จนทุกอย่างแย่ลงเรื่อยๆ นี่ถ้ามีสติ คิดอย่างมีตรรกะกว่านี้ น่าจะจับตัวคนร้ายไปได้ตั้งนานแล้ว ตัวร้ายมาในชุดคอสเพลย์กบ ??? เฮ้ย มันดีมาก มันดูน่าหวาดหวั่น บวกกะการกระทำจิตๆ ในช่วงแรกมันยิ่งส่งให้น่ากลัวจนน่าจะเป็นตัวร้ายคลาสสิกได้เลย แต่พอช่วงหลังๆ ที่หนังเริ่มคลายปม ความน่ากลัวมันก็ลดลงไปเรื่อยๆ (อีกแล้ว) ตำรวจอื่นๆ ในเรื่อง ทำไม้ ทำไม มันโง่ได้ทั้ง สน. ขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ตามสืบจากสิ่งที่พระเอกทิ้งไว้ มันจะจับตัวคนร้ายได้มั้ยเนี่ย แล้วยิ่งมาถึงตอนจบ แหม่ แบบนี้นึกว่ามีแต่ในหนังไทยซะอีก
สรุปแล้ว โดยรวมหนังสนุกใช้ได้ น่าเสียดายที่หนังเปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจ แต่กลับมาดรอปลงเมื่อหนังเดินหน้าไปเรื่อยๆ และอีกอย่าง ช่วงที่หนังคลายปมปัญหาต่างๆ มันเป็นภาษาญี่ปุ่นไง ไม่มีซับอิงด้วย เราเลยไม่เข้าใจในหลายๆ การกระทำของตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทำไมตัวร้ายถึงเลือกพระเอกเป็นเหยื่อในครั้งนี้ ?” คิดแล้วก็อยากให้ค่ายหนังในไทยซื้อมาซะจริงๆ ไม่ต้องฉายโรงก็ได้ ออกแผ่นก็ยังดี เรื่องแบบนี้เราว่าน่าจะขายได้อยู่นะ
ก่อนเดินออกจากโรงหนัง จะเป็นภาพนี้ เมืองแห่งสีสันจริงๆ
ป.ล. เราลองกลับมาหาข้อมูลดู Museum เป็นหนังที่ทำเงินพอสมควรในญี่ปุ่นนะ ก็คิดอยู่ว่าตอนดูนี่คนเยอะพอสมควรเลยนะ
สุดท้ายแล้วก็เอาไว้พบกันใหม่ตอนที่ได้ไปต่างประเทศอีก Coming Soon ^^
ป.ล.2 จริงๆ เราได้ไปดูโรงหนังลับเฉพาะมาด้วยนะ ไว้คราวหน้าจะมารีวิวอีกที อิอิ
ทิ้งท้ายกะขั้นตอนการซื้อตั๋วหนังผ่านตู้อัตโนมัติอย่างละเอียด
ขั้นตอนที่ 1 แตะไปที่หน้าจอ จะขึ้นมาแบบนี้ จิ้มไปที่ "Ticket(s) for today"
ขั้นตอนที่ 2 มีหนังมาให้เลือก ดูเรื่องไหนก็จิ้มไป
ขั้นตอนที่ 3 มีรอบบอก เอาที่สบายใจ
ขั้นตอนที่ 4 ยืนยันไปโลด
ขั้นตอนที่ 5 กี่ที่ก็ว่ากันไป
ขั้นตอนที่ 6 เลือกที่นั่ง มีที่นั่งน่าสงสัยอยู่ 2 แถว
ขั้นตอนที่ 7 อะไรไม่รู้ แต่น่าจะประมาณว่าถามหาบัตรสะสม จิ้มอันข้างๆ ไป
ขั้นตอนที่ 8 มีหลายราคา หลายโปรโมชั่น ที่น่าสงสัยคือ "Marriage 50 Discount" หา! แต่งงานแล้วได้ลด 50% ด้วย ใช่เหรอ ? แล้วอีกอย่าง ถ้าเราจิ้มอันอื่นที่ไม่ใช่ General แล้วจะรู้ได้ไงล่ะ ?
ขั้นตอนที่ 9 1 ที่ถ้วน ยังไม่แต่งงานด้วย
ขั้นตอนที่ 10 ที่นั่งพิเศษที่เราบอก 2,800 เยน ไม่เอาๆ ย้อนกลับ
ขั้นตอนที่ 11 เลือกวิธีชำระเงิน เงินสดก็ง่ายๆ สอดแบงค์เลย
ขั้นตอนที่ 12 คอมพลีทแล้วจย้า