

ธรรมะจากพระผู้รู้ โดย พระ ปราโมทย์ ปา โมชฺโช ค่ะ 

จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 61 ค่ะ
ถาม : คุณสันตินันท์ช่วยอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทด้วยค่ะ (๑)
สมัยที่ผมเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ
ผมมีโอกาสไปบวชที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์
มีหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เป็นพระอุปัชฌายะ
ในวันที่บวชนั้น ท่านเรียกผมไปพบ
แล้วมอบหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุให้มาศึกษาเล่มหนึ่ง
ชื่อ พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์
ผมพบคำว่า ปฏิจจสมุปบาทครั้งแรก จากหนังสือเล่มนั้น
รู้สึกตื่นเต้นตรงที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเขียนว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าดำรัสว่า
"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท"
ผมก็มาคิดว่า ธรรมสำคัญปานนี้ ทำไมเราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย
ก็แล้วปฏิจจสมุปบาท คืออะไร
หลวงพ่อท่านมีกิจนิมนต์มาก ไม่เคยอยู่วัดให้ถามท่านได้เลย
ผมจึงเที่ยวถามถึงความหมายของปฏิจจสมุปบาทกับพระที่บวชก่อนๆ
ท่านก็ร้อง อ๋อ.. ปฏิจจสมุปบาทน่ะหรือ ก็เป็นเรื่องของเหตุผลไงล่ะ
ที่ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
แล้วก็เดินหนีไปหมด
ผมจึงตัดสินใจว่า เราจะต้องศึกษาให้รู้ให้ได้ว่า ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร
เมื่อลาสิกขาแล้ว จึงไปตามร้านหนังสือ
พบหนังสือ ปฏิจจสมุปบาท เล่มเล็กๆ ของท่านอาจารย์พุทธทาส
จึงรู้จักปฏิจจสมุปบาทในภาคปริยัติ ๑๒ ขั้นตอน
เช่นรู้ว่า อวิชชาคือความไม่รู้อริยสัจจ์ ๔
สังขารมี ๓ วิญญาณมี ๗ ขันธ์มี ๕ เวทนามี ๖ ตัณหามี ๓
อุปาทานมี ๔ ภพมี ๓ เป็นต้น
แต่ไม่ว่าจะอ่านทวนกลับไปกลับมาอย่างใด
ก็ไม่สามารถเรียงร้อยธรรมทั้งหมดให้ต่อเนื่องเป็นสายเดียวกันได้
ในสมองมีแต่ความจำที่สลับซับซ้อนขึ้นมาชุดหนึ่ง
เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท เท่านั้นเอง
จึงมาคิดว่า การอ่านและการคิดตาม
ไม่สามารถทำให้รู้แจ้งปฏิจจสมุปบาทได้เลย
ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด
ต่อมาเมื่อได้ปฏิบัติธรรม เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างเข้มงวด
จึงค่อยๆ เข้าใจปฏิจจสมุปบาททีละเล็ก ทีละน้อย
เริ่มจากปฏิจจสมุปบาทในช่วงตั้งแต่รูปนามไปจนถึงทุกข์
เพราะเป็นช่วงที่เห็นได้ง่ายกว่าช่วงอวิชชาจนถึงรูปนาม
คือเมื่อเจริญสติสัมปชัญญะอยู่นั้น
จะรู้เห็นถึงการปรากฏอยู่ของรูปนาม
และเห็นได้โดยง่ายว่า เพราะมีรูปนาม จึงมีอายตนะ
ลำพังมีรูปอย่างเดียวยังไม่มีอายตนะ
ต้องมีนามคือความรู้สึกด้วย อายตนะจึงเป็นอายตนะ
เช่นในขณะที่คนนอนหลับลึก จิตตกภวังค์
แม้มีตาก็มองไม่เห็น แม้มีหูก็ไม่ได้ยินเสียง แม้มีกายก็ไม่รู้สึกว่ามี
เห็นอีกว่า เพราะมีอายตนะอันได้แก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จึงมีผัสสะขึ้นมาได้
เพราะอายตนะนั้นเอง เป็นจุดเชื่อมต่อ
ให้จิตรู้โลกภายนอก ที่รู้ได้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น และกาย
และรู้โลกภายในคือความคิดนึกปรุงแต่ง ที่รู้ได้ด้วย ใจ
เห็นอีกว่า เพราะมีผัสสะจึงมีเวทนา
เช่นเมื่อตากระทบรูป ก็เกิดความรับรู้ทางตา
แล้วจิตที่รับรู้อารมณ์ทางตา ก็เกิดความรู้สึกเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง
เช่นเห็นภาพที่สวยงาม ก็รู้สึกเป็นสุข เห็นภาพที่ไม่สวยงาม ก็รู้สึกเป็นทุกข์
แต่ก็เห็นอีกว่า ลำพังตาอย่างเดียวนั้น มันสักแต่รับรู้รูป
และเอาเข้าจริง รูปที่ตารับรู้ ก็เป็นเพียงการรับรู้สีที่ตัดกันเท่านั้น
ตามันไม่ตัดสินว่ารูปนี้ดีหรือไม่ดี สวยหรือไม่สวย
แต่จิตต่างหากที่ไปตัดสินสีที่ตาไปเห็นเข้า โดยประเมินค่า
แล้วเกิดความรู้สึกสุขหรือรู้สึกทุกข์ขึ้น โดยมีรูปเป็นตัวกระตุ้นเท่านั้น
เห็นอีกว่า ในสุขเวทนา จะมีราคะแทรกเข้ามาเสมอๆ
และในทุกขเวทนา จะมีโทสะแทรกเข้ามาเสมอเช่นกัน
และในขณะนั้น ถ้าจิตประกอบด้วยกิเลสพื้นฐานคือโมหะ
ซึ่งเป็นตัวปิดกั้น ทำให้จิตมืดมัวไม่สามารถรับรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ว่าสิ่งที่จิตรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางใจนั้น
เป็นเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏแล้วก็ดับไป หาสาระแก่นสารไม่ได้
จิตจะเกิดแรงดันชนิดหนึ่งขึ้นมาจากกลางอก
เพื่อผลักดันให้จิตทะยานออกไปหาอารมณ์ที่กำลังปรากฏนั้น
จึงรู้ชัดว่า เพราะมีเวทนาเป็นเหยื่อล่อ แล้วจิตไม่รู้เท่าทัน
จึงเป็นปัจจัยให้เกิดความทะยานอยากของจิต หรือตัณหา





...ธรรมะจากพระผู้รู้... โดย พระ ปราโมทย์ ปา โมชฺโช ค่ะ ^^ จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 61 - 62 ค่ะ
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 61 ค่ะ
ถาม : คุณสันตินันท์ช่วยอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทด้วยค่ะ (๑)
สมัยที่ผมเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ
ผมมีโอกาสไปบวชที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์
มีหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เป็นพระอุปัชฌายะ
ในวันที่บวชนั้น ท่านเรียกผมไปพบ
แล้วมอบหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุให้มาศึกษาเล่มหนึ่ง
ชื่อ พระพุทธประวัติจากพระโอษฐ์
ผมพบคำว่า ปฏิจจสมุปบาทครั้งแรก จากหนังสือเล่มนั้น
รู้สึกตื่นเต้นตรงที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเขียนว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าดำรัสว่า
"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท"
ผมก็มาคิดว่า ธรรมสำคัญปานนี้ ทำไมเราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย
ก็แล้วปฏิจจสมุปบาท คืออะไร
หลวงพ่อท่านมีกิจนิมนต์มาก ไม่เคยอยู่วัดให้ถามท่านได้เลย
ผมจึงเที่ยวถามถึงความหมายของปฏิจจสมุปบาทกับพระที่บวชก่อนๆ
ท่านก็ร้อง อ๋อ.. ปฏิจจสมุปบาทน่ะหรือ ก็เป็นเรื่องของเหตุผลไงล่ะ
ที่ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
แล้วก็เดินหนีไปหมด
ผมจึงตัดสินใจว่า เราจะต้องศึกษาให้รู้ให้ได้ว่า ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร
เมื่อลาสิกขาแล้ว จึงไปตามร้านหนังสือ
พบหนังสือ ปฏิจจสมุปบาท เล่มเล็กๆ ของท่านอาจารย์พุทธทาส
จึงรู้จักปฏิจจสมุปบาทในภาคปริยัติ ๑๒ ขั้นตอน
เช่นรู้ว่า อวิชชาคือความไม่รู้อริยสัจจ์ ๔
สังขารมี ๓ วิญญาณมี ๗ ขันธ์มี ๕ เวทนามี ๖ ตัณหามี ๓
อุปาทานมี ๔ ภพมี ๓ เป็นต้น
แต่ไม่ว่าจะอ่านทวนกลับไปกลับมาอย่างใด
ก็ไม่สามารถเรียงร้อยธรรมทั้งหมดให้ต่อเนื่องเป็นสายเดียวกันได้
ในสมองมีแต่ความจำที่สลับซับซ้อนขึ้นมาชุดหนึ่ง
เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท เท่านั้นเอง
จึงมาคิดว่า การอ่านและการคิดตาม
ไม่สามารถทำให้รู้แจ้งปฏิจจสมุปบาทได้เลย
ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด
ต่อมาเมื่อได้ปฏิบัติธรรม เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างเข้มงวด
จึงค่อยๆ เข้าใจปฏิจจสมุปบาททีละเล็ก ทีละน้อย
เริ่มจากปฏิจจสมุปบาทในช่วงตั้งแต่รูปนามไปจนถึงทุกข์
เพราะเป็นช่วงที่เห็นได้ง่ายกว่าช่วงอวิชชาจนถึงรูปนาม
คือเมื่อเจริญสติสัมปชัญญะอยู่นั้น
จะรู้เห็นถึงการปรากฏอยู่ของรูปนาม
และเห็นได้โดยง่ายว่า เพราะมีรูปนาม จึงมีอายตนะ
ลำพังมีรูปอย่างเดียวยังไม่มีอายตนะ
ต้องมีนามคือความรู้สึกด้วย อายตนะจึงเป็นอายตนะ
เช่นในขณะที่คนนอนหลับลึก จิตตกภวังค์
แม้มีตาก็มองไม่เห็น แม้มีหูก็ไม่ได้ยินเสียง แม้มีกายก็ไม่รู้สึกว่ามี
เห็นอีกว่า เพราะมีอายตนะอันได้แก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จึงมีผัสสะขึ้นมาได้
เพราะอายตนะนั้นเอง เป็นจุดเชื่อมต่อ
ให้จิตรู้โลกภายนอก ที่รู้ได้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น และกาย
และรู้โลกภายในคือความคิดนึกปรุงแต่ง ที่รู้ได้ด้วย ใจ
เห็นอีกว่า เพราะมีผัสสะจึงมีเวทนา
เช่นเมื่อตากระทบรูป ก็เกิดความรับรู้ทางตา
แล้วจิตที่รับรู้อารมณ์ทางตา ก็เกิดความรู้สึกเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง
เช่นเห็นภาพที่สวยงาม ก็รู้สึกเป็นสุข เห็นภาพที่ไม่สวยงาม ก็รู้สึกเป็นทุกข์
แต่ก็เห็นอีกว่า ลำพังตาอย่างเดียวนั้น มันสักแต่รับรู้รูป
และเอาเข้าจริง รูปที่ตารับรู้ ก็เป็นเพียงการรับรู้สีที่ตัดกันเท่านั้น
ตามันไม่ตัดสินว่ารูปนี้ดีหรือไม่ดี สวยหรือไม่สวย
แต่จิตต่างหากที่ไปตัดสินสีที่ตาไปเห็นเข้า โดยประเมินค่า
แล้วเกิดความรู้สึกสุขหรือรู้สึกทุกข์ขึ้น โดยมีรูปเป็นตัวกระตุ้นเท่านั้น
เห็นอีกว่า ในสุขเวทนา จะมีราคะแทรกเข้ามาเสมอๆ
และในทุกขเวทนา จะมีโทสะแทรกเข้ามาเสมอเช่นกัน
และในขณะนั้น ถ้าจิตประกอบด้วยกิเลสพื้นฐานคือโมหะ
ซึ่งเป็นตัวปิดกั้น ทำให้จิตมืดมัวไม่สามารถรับรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ว่าสิ่งที่จิตรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางใจนั้น
เป็นเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏแล้วก็ดับไป หาสาระแก่นสารไม่ได้
จิตจะเกิดแรงดันชนิดหนึ่งขึ้นมาจากกลางอก
เพื่อผลักดันให้จิตทะยานออกไปหาอารมณ์ที่กำลังปรากฏนั้น
จึงรู้ชัดว่า เพราะมีเวทนาเป็นเหยื่อล่อ แล้วจิตไม่รู้เท่าทัน
จึงเป็นปัจจัยให้เกิดความทะยานอยากของจิต หรือตัณหา