แตะขอบฟ้าเมืองพะเยา ไต่เขาพิชิต "ดอยหลวง-ดอยหนอก" ในฤดูหมอกหนา



อย่างที่เคยบอกไปในกระทู้ก่อน ( http://pantip.com/topic/35891929 ) ดอยหลวง-ดอยหนอก คือเป้าหมายในการกลับบ้านที่พะเยาเมื่อวันพ่อที่ผ่านมา แต่สำหรับการเดินป่าฝ่าภูเขาครั้งนี้เรากลับแทบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย นอกจากถุงนอนและเต็นท์ (คือแค่ปิดงานให้เสร็จก็บุญแล้ว)

ความที่เพื่อนร่วมภารกิจล้วนเป็นพนักงานประจำที่วันลาไม่เหลือหลอ จำนวนวันหยุดของเราจึงจำกัดอยู่ที่ 3 วันตามปฏิทินเป๊ะ แต่ไหนๆ ขึ้นไปถึงพะเยาแล้ว เราก็อยากจะเที่ยวในเมืองพะเยาด้วย เลยโทรถามเจ้าหน้าที่อุทยานว่าการขึ้นต้องใช้เวลาเท่าไร โทรติดปุ๊บเจ้าหน้าที่ก็ให้เบอร์โทรศัพท์สายตรงมาเพื่อติดต่อสอบถามกับคนนำทางปั๊บ (คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้) พอโทรไปคุยทางนั้นตอบมาว่า "ขึ้น 2 วันก็ได้ แล้วแต่กำลัง" คือถ้าใจไหว ขาไหวก็ไม่มีปัญหา ว่างั้น

แผนการของเราจึงถูกวางไว้ว่าจะนั่งรถทัวร์ออกจากกรุงเทพคืนวันที่ 2 ธันวาแล้วรีบขึ้นดอยตั้งแต่เช้าของวันที่ 3 เสร็จเที่ยงๆ วันที่ 4 ก็เดินลงนอนที่บ้านหนึ่งคืน ส่วนวันที่ 5 ก็ลั้นลาในตัวเมืองก่อนนั่งรถทัวร์กลับ กทม.

ปัญหาใหญ่คือเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะแต่ละคนเบี้ยน้อยหอยน้อยกันเหลือเกิน ทีแรกเราสอบถามกับคนที่ทางอุทยานให้เบอร์มา เบ็ดเสร็จแล้วราคาสูงเอาการ เลยถามเพื่อนที่พะเยา นางแนะนำให้โทรหาพ่อหลวง หรือผู้ใหญ่บ้านบ้านห้วยหม้อ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ตรงทางลงดอยหลวง (แถวน้ำตกผาเกร็ดนาค) คุยกันเข้าใจง่าย ราคาเป็นมิตร  สรุปรวมค่าใช้จ่ายดังนี้

ค่ารถรับส่งจากสถานีขนส่งพะเยาหรือในเมืองเที่ยวละ 800 บาท
(ถ้าไปกลับก็ 1,600 แต่ขากลับเราให้แม่ไปรับ เพราะไม่ไกลจากบ้าน)
ค่ารถอีแต๋นรับจากจุดลงดอยมาส่งในหมู่บ้าน (วัดห้วยหม้อ) 500 บาท
ค่าคนนำทางและลูกหาบ วันละ 500 บาทต่อคน 2 วันก็คนละ 1,000 บาท
รวมแล้วหารกัน 4 คน จ่ายคนละไม่ถึงพัน ดีลสิคะ

ตกลงราคลงตัวเราก็นัดให้เขาไปรับที่บ้านในเช้าวันที่ 3 ธันวา คือกะว่าให้แม่ไปรับที่ บขส. อาบน้ำอาบท่า กินข้าวเสร็จ แล้วค่อยให้รถมารับ

แต่ค่ะแต่ กลุ่มเราเป็นผู้หญิง 4 คน 2 คนเดินทางไปจากกรุงเทพและอีก 2 คนไปจากโคราช อุปสรรคมันอยู่ตรงที่ เรากับเพื่อนจากกรุงเทพไปถึงพะเยาตอนตี 5 ครึ่ง ส่วนเพื่อนจากโคราชไปถึง 7 โมงนิดๆ กว่าจะแวะตลาดซื้อมาม่าและของแห้งไปตุนไว้กินบนดอย แล้วแวบไปกินข้าวเช้าที่บ้านอีก เป็นอันว่าแผนที่จะเดินขึ้นแต่เช้าต้องขยับไปเป็น 9 โมงปลายๆ ซึ่งกว่าจะได้เริ่มเดินจริงๆ ก็ปาเข้าไป 10 โมงโน่น

พอรถกระบะของพ่อหลวงมาถึงบ้านพร้อมกับคนนำทางและลูกหาบ 2 คน ชื่อคุณชาติและคุณนะ (ตอนแรกจะมีเพื่อนไปด้วยกันหลายคนเลยจองลูกหาบ 2 แต่เอาเข้าจริงเหลือไปกันแค่ 4 แล้วแต่ละคนก็ไม่ได้มีของอะไรมากมาย ลูกหาบถึงกับบอกว่า นี่คือทริปที่แบกของเบาที่สุดเท่าที่เคยเดินมา พร้อมกับยิ้มกว้างๆ ถือว่าช่วยให้นางได้พักหลังพักไหล่บ้างแล้วกันเนอะ เหอๆ) แล้วเดอะแก๊งก็กระโดดขึ้นรถพร้อมลุย

"นี่เคยเดินขึ้นดอยมาก่อนหรือเปล่าเนี่ย" เสียงคุณชาติลอยมาเข้าหู คงเห็นสังขารของป้าๆ 4 คนแล้วกลัวจะไม่ไหวสินะ เลยบอกไปว่า "ก็เคยมาบ้างนะคะ" แล้วส่งยิ้มอ่อนให้ ในใจคิดว่าเห็นป้าแบบนี้ ใจสู้นะยะ แต่..."เดินเร็วกันรึเปล่า ผมชอบเดินเร็วนะ" นางยังไม่หยุด...แหมๆ เอาเถอะจ้ะ เอาที่สบายใจ

จุดเริ่มต้นของทางเดินขึ้นอยู่ตรง "จุดชมวิว" ของพะเยา บนถนนเส้นที่มุ่งหน้าสู่ลำปาง วันนั้นอากาศเย็นใช้ได้ทีเดียว ขนาดสิบโมงแล้วหมอกยังหนาอยู่เลย


เดินฝ่าหมอกกันไป

เราเดินขึ้นไปพร้อมกับอีกกลุ่ม ก่อนจะแยกเดินนำออกไปก่อน กรุ๊ปเราแบ่งกันเป็น 2 ทีม ทีมละคู่ สองคนแรกเขาเดินเร็ว ลิ่วๆ มุ่งหน้าไปที่ยอดก่อน ส่วนเรากับเพื่อนอีกคนเดินเรื่อยๆ พักเหนื่อยและถ่ายรูปไปตลอดทาง

ทางเดินที่นี่เห็นเป็นเส้นแนวชัดเจนจึงไม่หลง แต่บางจุดอาจจะมีทางแยก ต้องสังเกตเส้นที่มุ่งขึ้นไปทางสันเขา อย่าเดินลง (คุณชาติบอกมา) ส่วนอากาศข้างบนเย็นสบาย เดินได้แบบชิลๆ (หรา 555)



ทางเดินช่วงแรกเป็นป่าโปร่งสลับกับป่าหญ้าคา เดินง่ายๆ สบายๆ แต่ก็ขึ้นเขาเรื่อยๆ พอให้เมื่อยขา และอาจจะถูกหญ้าคาบาดบ้าง (ฉะนั้นใครจะขึ้นไปควรใส่แขนยาวหรือปลอกแขนดีที่สุด)

ความที่เราเดินขึ้นไปตามสันเขา จึงมีวิวสวยๆ ให้แวะถ่ายรูปเยอะ ฝั่งขวามือเป็นวิวตัวเมืองพะเยา ส่วนฝั่งซ้ายเป็นวิวลำปาง วันที่เราขึ้นไป ฝั่งพะเยาหมอกหนามาก ปลิวมากระทบผิวตลอดๆ สดชื่นสุดๆ ส่วนลำปางนี่แดดแจ๋เลยจ้ะ ยังคุยกับเพื่อนว่า ดีนะที่บนดอยไม่แดดจ้าแบบลำปาง ไม่งั้นคงเหนื่อยคูณสอง


วิวฝั่งลำปาง ส่วนฝั่งพะเยาไม่โผล่ออกมาจากหมอกเลยจ้ะ

เดินได้สักพักเราก็ไปโผล่ที่ "สันหมูแม่ด้อง" เนินชันในตำนาน ของจริงหวาดเสียวทีเดียว แต่ก็ผ่านมาได้แบบไม่ยากเย็น



แอบเล่านิดนึงว่า "หมูแม่ด้อง" ในภาษาเหนือ หมายถึงหมูแม่ลูกอ่อนที่เลี้ยงลูกจนผอมโซ เห็นกระดูกสันหลังปูดงอขึ้นมาชัดเจน เนินนี้โก่งสูงเหมือนกระดูกสันหลังที่ว่า เลยได้ชื่อว่าสันหมูแม่ด้อง นี่ล่ะที่มา

ผ่านความชันมาได้ก็เจอเข้ากับความสวย เป็นทุ่งดอกหญ้าสีเหลืองทอง ไม่แน่ใจว่าใช่หญ้าคาไหม แต่สวยมาก เลยผลัดกันถ่ายรูปรัวๆ





ขึ้นเขามาอีกพักใหญ่ก็ถึง "เด่นสะแกง" คุณชาติบอกว่าตรงนี้เดิมเป็นหนองน้ำ เมื่อก่อนในช่วงหน้านา ต้นข้าวกำลังโต ชาวบ้านมักจะพาวัวมาเลี้ยงและปล่อยไว้ให้หากินเอง สำหรับคนที่เดินขึ้นไป ส่วนใหญ่ก็จะแวะพักกินข้าวกลางวันกันที่นี่ ส่วนเราตุนท้องมาจากบ้านเยอะ ยังไม่หิว เลยถ่ายรูปแล้วไปต่อค่ะ



ครึ่งแรกของการเดินขึ้นดอยหมอกหนา แถมยังถ่ายด้วยมือถือ ฟ้าเลยขาวทุกรูปเลย --'

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่