ใครๆ ก็มักบอกว่าเชียงใหม่เป็นเมืองฮิปสเตอร์ สโลว์ไลฟ์ ผมว่าไม่จริงนะ เห็นได้จากการพัฒนาเมืองมาหลายปีนี้มีความฟาสต์มากๆ ทั้งธุรกิจร้านค้าที่มีผุดขึ้นมามากมาย ไหนจะห้างสรรพสินค้า แล้วก็พวกคอมมูนิตี้มอลล์ย่อยๆ อีก จนกลายเป็นว่าเชียงใหม่ตอนนี้เจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากๆ โดยเฉพาะร้านค้าเก๋ๆ ร้านกาแฟแนวๆ ร้านอาหารสวยๆ อร่อยๆ นี่มาเต็ม มีให้เลือกกินกันทุกชาติทุกราคา
และไม่เพียงอาหารการกินหลากสไตล์เท่านั้น เป็นที่รู้กันอยู่ว่าเชียงใหม่โดดเด่นในเรื่องงานคราฟท์ แต่ไม่คิดว่าจะมีนักออกแบบซุกตัวอยู่ในเชียงใหม่มากมายหลายร้อยแบรนด์!!! จนได้มาเห็นกับตาในงานเชียงใหม่ดีไซน์วีคนี่ล่ะ จากตอนแรกก็ว่าจะไปเดินเล่นเพลินๆ กลายเป็นว่ามีบูธเยอะมาก กิจกรรมเยอะมากกก แถมยังน่าสนใจมากๆ ใช้เวลาวันเดียวคงไม่พอ เลยต้องแบ่งเป็นตอนๆ มาให้ติดตามกัน
ในโอกาสที่ได้ไปเดินเล่นตั้งแต่วันแรก ก็เลยอยากจะมารีวิวให้ดูกันสักหน่อยว่าเชียงใหม่ดีไซน์วีคปีนี้น่าสนใจ ‘มาก’ อย่างที่บอกไปมั้ย เราเริ่มเดินตั้งแต่ประมาณบ่ายสาม แดดร่มลมตกกำลังถ่ายรูปสวย ตอนแรกก็ลังเลคิดว่าจะแว้นมอเตอร์ไซค์ไป เพราะกลัวไม่มีที่จอดรถ แต่ด้วยความที่วันนี้ดูจากตารางกิจกรรมแล้วมีอีเว้นท์เยอะมาก และที่สุดท้ายน่าจะจบดึกด้วย เอารถยนต์ไปละกันขากลับจะได้ไม่หนาว และอีกอย่างเขามีบริการรถซาฟารีรับส่งฟรีระหว่างย่านที่จัดงานด้วย สะดวกไปอีกกก
พอมาขับถึงแถวๆ หลังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ปรากฏว่าที่จอดรถริมถนนยังโล่งมาก เลยโชคดีได้จอดใกล้ๆ กับหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ ดูจากสูจิบัตรที่หยิบมาเห็นว่าตรงนี้มีโชว์เคสแล้วก็งาน Installation ด้วย งั้นก็เริ่มสตาร์ทจากจุดนี้เลยละกันเนอะ
ด้วยความที่เป็นวันธรรมดา ไม่ใช่วันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ คนเดินชมงานจึงไม่ค่อยหนาแน่นเท่าไหร่ เลยมีเวลาเล็งกล้องถ่ายรูปหามุมสวยๆ ได้นานเป็นพิเศษ โซนนี้มีการติดตั้งงานทั้งแบบเอ้าท์ดอร์บนสนามหญ้า และภายในโถงทางเดิน ให้บรรยากาศผ่อนคลาย และคอนทราสกันอย่างลงตัวระหว่างงานดีไซน์กับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า จุดนี้จัดแสดงผลงานของหลายแบรนด์ทั้งจากเชียงใหม่, กรุงเทพฯ แล้วก็ของต่างชาติที่ส่งมาด้วย ถึงบูธจะไม่ใหญ่มาก แต่พรีเซ้นต์สินค้าได้สวย แล้วก็ไม่ข่มกันเอง มีการเลือกแบรนด์มาโชว์แบบไม่ซ้ำไลน์กัน ทำให้เพิ่มความน่าสนใจขึ้นมาอีก นอกจากโชว์เคสแล้ว บนสนามหญ้ายังติดตั้ง Installation ชื่อ ‘ปุปะ’ เป็นโครงสร้างไม้ที่ออกแบบคล้ายอุโมงค์ที่มีความสูงต่ำไม่เท่ากัน แต่ยังกว้างพอให้สามารถเดินลอดได้ ส่วนผนังและเพดานใช้เศษผ้าหลายๆ สีมาเย็บติดกันเป็นผืน แน่นอนว่านอกจากเราจะเก็บภาพมาฝากแล้ว ก็จะต้องลองเดินลอดอุโมงค์กันซะหน่อย ให้สมกับความตั้งใจของศิลปินที่อยากให้ Installation นี้เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นอันเปี่ยมด้วยสีสันของจินตนาการ

แล้วก็เดินเลยมาต่อกันอีกจุดในหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ หรืออีกชื่อที่คนเชียงใหม่คุ้นเคยคือหอศิลป์สามกษัตริย์ ที่นี่ก็มีงานให้ดูเยอะเหมือนกัน เริ่มตั้งแต่บริเวณลานกิจกรรมภายในหอศิลป์ มีโชว์เคสเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ DEESAWAT ตั้งโชว์อยู่กลางลานเลย ด้านข้างจัดแสดงนิทรรศการ “ธ ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนา” เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ส่วนภายในห้องนิทรรศการบริเวณชั้นหนึ่งและชั้นสองของหอศิลป์ฯ ก็มีโชว์เคสจากหลายแบรนด์ให้ชมเช่นเดียวกัน บางบูธก็วางแผ่นพับกับนามบัตรให้คนที่สนใจเกี่ยวกับแบรนด์นั้นๆ ไปติดต่อกันเอง บางแบรนด์ก็มีผู้ดูแลคอยให้คำแนะนำ แต่จริงๆ แล้วถ้าสนใจข้อมูลของแบรนด์ไหนก็สามารถถามเจ้าหน้าที่ของงานที่ดูแลอยู่บริเวณนั้นได้เลยนะ ทุกคนพร้อมให้ข้อมูลมาก


ออกจากหอศิลป์ฯ มา ระหว่างทางเดินไปลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์จะผ่านอีก Installation ชื่อ REALM Pavilion จุดนี้ได้รับความสนใจมากพอสมควร ด้วยรูปร่างเป็นอุโมงค์ทางเดินที่ใช้ไม้ไผ่สานเป็นกล่อง แล้วมาเรียงต่อกันขึ้นไปเป็นซุ้มโดยใช้ไม้ไผ่และตอกเป็นตัวยึด ความน่าสนใจคือระหว่างกล่องไม้ไผ่ก็จะซ่อนงานออกแบบจากดีไซเนอร์หลายๆ คนเอาไว้ด้วย ผมผ่านไปดูทั้งตอนกลางวันและกลางคืน เลยได้เห็นบรรยากาศที่แตกต่างกัน กลางวันจะเห็นเทกเจอร์ของวัสดุ ส่วนกลางคืนจะเหมือนอุโมงค์เรืองแสงที่มีความสวยงามไปอีกแบบ

ออกจากหอศิลป์ฯ มาก็ได้เจอกับวงดนตรีออร์เคสตราจากนักเรียนร่วมร้อยชีวิตบนลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ กำลังจัดวงเตรียมบรรเลงบทเพลงพระราชนิพนธ์ให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่มาชมงานได้ฟังกันในตอนค่ำ ซึ่งการแสดงนี้จะมีแค่วันเปิดวันเดียวเท่านั้น ฉะนั้นไม่พลาดแน่นอน ขอไปเดินเก็บบรรยากาศงานให้ครบๆ ก่อน แล้วค่อยกลับมาชม เล่ามาถึงตอนนี้ต้องบอกเลยว่าตอนแรกคิดว่าจะเดินแป๊บเดียวทั่ว แต่ไม่ใช่เลย แม้งานจะกระจุกตัวอยู่ใกล้ๆ กัน ประมาณออกตึกนี้ข้ามไปตึกโน้น แต่ละจุดอัดแน่นด้วยรายละเอียด ถ้าจะดูให้ครบถ้วนและไม่เหนื่อยแนะนำให้ค่อยๆ เก็บไปทุกวัน พอครบ 9 วันที่จัดงานก็คงจะหมดพอดี ฮ่าๆๆ
เพราะนี่ไม่ใช่แค่นิทรรศการโชว์งานออกแบบอย่างเดียว แต่มีกิจกรรมอย่างอื่นด้วย ไหนจะเวิร์กช็อป, งานสัมมนา วันท้ายๆ ก็มี POP Market งานออกร้านของสินค้าออกแบบอีก คือกิจกรรมเยอะมากจริงๆ แค่วันเปิดนี่ก็ต้องดูตารางงานดีๆ เลย ถ้าไม่อยากพลาด
กว่าจะได้ข้ามมาดูงานฝั่งพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนาก็ห้าโมงเย็นแล้ว เลยไม่ทันเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ แต่ข้างนอกก็มีทั้งโชว์เคส, Installation และนิทรรศการให้ชมอยู่ทั่วบริเวณ ส่วนด้านหลังเป็นหอภาพถ่ายล้านนา และมีโชว์เคสของ tua pen not จัดให้ชมบนลานข้างๆ ด้วย และถ้าใครหิวกระหายบริเวณนี้มีร้านกาแฟน่ารักชื่อ Cafe de Museum ให้นั่งพัก พร้อมบริการขนมและเครื่องดื่มชื่นใจหลายเมนูเลย

ออกจากจุดนี้ก็มีอีก 2 บริเวณจัดงานใหญ่ๆ คือศูนย์สถาปัตยกรรมล้านนา คุ้มเจ้าบุรีรัตน์ และสำนักงานยาสูบ ซึ่งก็มีทั้งโชว์เคส และ Installation ให้ชมเหมือนกัน ข้อดีของการมาตอนเย็นคือกว่าจะเดินจนครบก็ค่ำแล้ว ทำให้ได้เห็นบรรยากาศทั้งกลางวันและกลางคืน บางงานก็เหมาะดูตอนกลางคืนมากกว่า เพราะเล่นกับแสงสีได้มาก อย่าง Installation ในสำนักงานยาสูบ เป็นชิ้นที่เราชอบมากกกก ศิลปินใช้ไม้ไผ่สานเป็นรูปร่างคล้ายก้อนเมฆลอยอยู่ในอากาศ ตอนกลางวันก็ดูธรรมดา แต่พอมืดแล้วเท่านั้นแหละ ก้อนเมฆธรรมดาจะกลายเป็นเมฆหลากสีเต้นระบำประกอบดนตรี นั่งดูเพลินมากๆ จนอดถ่ายวิดีโอมาฝากไม่ได้ คือมันไม่สามารถเล่าด้วยภาพนิ่งได้เลยจริงๆ และในบริเวณสำนักงานยาสูบ จะจัดนิทรรศการโปสเตอร์จากกราฟิกดีไซเนอร์ในเชียงใหม่หลายๆ คนเอาไว้ด้วย และที่เจ๋งคือไม่ได้แค่ให้เดินชมงานดีไซน์อย่างเดียวนะ ใครอยากได้งานชิ้นไหนไว้เป็นที่ระลึก ให้เดินไปบูธ hp ที่ตั้งอยู่ข้างๆ แล้วหยิบมินิโปสเตอร์ไปได้ฟรีๆ เลย คนละ 2 ใบ ไอ้เราก็เลือกอยู่นานว่าจะเอาอันไหนดี ให้แค่ 2 ใบเองอ่ะ เกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง เพราะทุกแบบน่าสะสมมาก ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ว่าถ้าอยากได้แบบอื่นด้วยต้องทำยังไง เขาก็เลยชี้ทางสว่างให้ว่าถ้าอยากได้ครบทุกแบบให้มาหยิบในงานทุกวันสิ รับรองครบแน่นอน


ส่วนตัวคิดว่าการเลือกจัดงานให้บริเวณกลางเวียงเป็นจุดหลัก นับว่าเป็นการตัดสินใจเลือกพื้นที่ได้ดีมาก เพราะบริเวณนี้ปกติก็เป็นเหมือน Public Space ของเชียงใหม่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นลานกิจกรรมหน้าอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ที่กว้างใหญ่รองรับกิจกรรมได้หลากหลาย หรือสถาปัตยกรรมโดยรอบก็สวยงามมีความเป็นล้านนา บริเวณรอบๆ ยังอุดมด้วยร้านอาหารร้านกาแฟขึ้นชื่อของเชียงใหม่ การเดินทางก็สะดวก จอดรถง่าย หรือจะเรียกรถแดงมาเดินเที่ยวก็สบายๆ ดูงานเสร็จหาร้านนั่งต่อได้ชิลล์ๆ แล้วจุดจัดงานก็ไม่ไกลมาก เดินไปถึงกันแบบไม่เหนื่อย ตอนกลางคืนก็มีไฟส่องสว่างตลอดทาง ทำให้ไม่น่ากลัวแม้จะเดินคนเดียว คือเป็นจุดที่ดีและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการจัดงานสเกลนี้
อันที่จริงตั้งใจว่าจะลองนั่งรถซาฟารีไปดูงานต่อที่ย่าน TCDC เชียงใหม่ด้วย แต่ดูจากเวลาคงไม่ทันกาลกับอีกงานที่อยากไปแน่นอน ชีวิตเดินทางมาสู่ทางเลือกแล้วล่ะ เลยตัดสินใจเอางานอีเว้นต์ที่ท่าแพอีสต์มาก่อน เพราะมีแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น ส่วน TCDC ค่อยไปเก็บวันหลังก็ยังได้
มาถึงท่าแพอีสต์งานที่นี่กำลังเริ่มไปได้สักพักใหญ่ๆ จริงๆ ตรงนี้เป็นหนึ่งในโชว์เคสนะ แต่เป็นโชว์เคสที่จัดกันเองโดยมี TCDC ซัพพอร์ตอีกที บริเวณนี้มีกิจกรรมหลักๆ คือ นิทรรศการเก้าอี้นิรนาม Anonymous Chair, Installation รวมทั้ง Talk และเวิร์กช็อปด้วย แต่วันนี้เป็นวันเปิดก็เลยมีดนตรีเข้ามาสร้างสีสันด้วย ซึ่งที่นี่เรียกว่าเป็นจุดจัดงานสุดท้ายของวันเลยก็ว่าได้ เพราะที่อื่นจะจัดถึงแค่สองทุ่ม แต่ที่นี่กำลังคึกคักเลย เรามาทันดู ชา ฮาร์โมนิก้าซันไรส์ กำลังเล่นแจมกับ สายกลาง จินดาสุ พอดี จากนี้ก็จะมี เฟนเดอร์ View From The Bus Tour เล่นต่อ และปิดท้ายด้วย รัสมี เวระนะ นักร้องหญิงขวัญใจใครหลายๆ คน รวมทั้งผมด้วย
คือพอเป็นการจัดงานนอกขอบเขตของงานหลัก การจัดการเลยค่อนข้างสบายๆ เป็นกันเอง มีการตกแต่งพื้นที่ให้น่าสนใจด้วยคอนเซ็ปต์ปาร์ตี้ในสวนหลังบ้าน มีอาหารเครื่องดื่มจำหน่ายหลายชนิด ใครมาถึงตรงนี้ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากกลับ สุดท้ายกว่าจะดูงานครบ กว่าดนตรีจะจบ ก็หมดเครื่องดื่มกันไปคนละหลายขวด ปิดฉากค่ำคืนแรกของเชียงใหม่ดีไซน์วีคไปอย่างงดงาม
ตอนต่อไปจะพาไปเจาะลึกงานย่านอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ มีแบรนด์ไหนน่าสนใจ จุดไหนที่ห้ามพลาดบ้าง
โปรดติดตาม.
Chiang Mai Chill Day Trip (Day 1) : ตะลุยเชียงใหม่ดีไซน์วีค (ตอนแรก)
และไม่เพียงอาหารการกินหลากสไตล์เท่านั้น เป็นที่รู้กันอยู่ว่าเชียงใหม่โดดเด่นในเรื่องงานคราฟท์ แต่ไม่คิดว่าจะมีนักออกแบบซุกตัวอยู่ในเชียงใหม่มากมายหลายร้อยแบรนด์!!! จนได้มาเห็นกับตาในงานเชียงใหม่ดีไซน์วีคนี่ล่ะ จากตอนแรกก็ว่าจะไปเดินเล่นเพลินๆ กลายเป็นว่ามีบูธเยอะมาก กิจกรรมเยอะมากกก แถมยังน่าสนใจมากๆ ใช้เวลาวันเดียวคงไม่พอ เลยต้องแบ่งเป็นตอนๆ มาให้ติดตามกัน
ในโอกาสที่ได้ไปเดินเล่นตั้งแต่วันแรก ก็เลยอยากจะมารีวิวให้ดูกันสักหน่อยว่าเชียงใหม่ดีไซน์วีคปีนี้น่าสนใจ ‘มาก’ อย่างที่บอกไปมั้ย เราเริ่มเดินตั้งแต่ประมาณบ่ายสาม แดดร่มลมตกกำลังถ่ายรูปสวย ตอนแรกก็ลังเลคิดว่าจะแว้นมอเตอร์ไซค์ไป เพราะกลัวไม่มีที่จอดรถ แต่ด้วยความที่วันนี้ดูจากตารางกิจกรรมแล้วมีอีเว้นท์เยอะมาก และที่สุดท้ายน่าจะจบดึกด้วย เอารถยนต์ไปละกันขากลับจะได้ไม่หนาว และอีกอย่างเขามีบริการรถซาฟารีรับส่งฟรีระหว่างย่านที่จัดงานด้วย สะดวกไปอีกกก
พอมาขับถึงแถวๆ หลังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ปรากฏว่าที่จอดรถริมถนนยังโล่งมาก เลยโชคดีได้จอดใกล้ๆ กับหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ ดูจากสูจิบัตรที่หยิบมาเห็นว่าตรงนี้มีโชว์เคสแล้วก็งาน Installation ด้วย งั้นก็เริ่มสตาร์ทจากจุดนี้เลยละกันเนอะ
ด้วยความที่เป็นวันธรรมดา ไม่ใช่วันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ คนเดินชมงานจึงไม่ค่อยหนาแน่นเท่าไหร่ เลยมีเวลาเล็งกล้องถ่ายรูปหามุมสวยๆ ได้นานเป็นพิเศษ โซนนี้มีการติดตั้งงานทั้งแบบเอ้าท์ดอร์บนสนามหญ้า และภายในโถงทางเดิน ให้บรรยากาศผ่อนคลาย และคอนทราสกันอย่างลงตัวระหว่างงานดีไซน์กับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า จุดนี้จัดแสดงผลงานของหลายแบรนด์ทั้งจากเชียงใหม่, กรุงเทพฯ แล้วก็ของต่างชาติที่ส่งมาด้วย ถึงบูธจะไม่ใหญ่มาก แต่พรีเซ้นต์สินค้าได้สวย แล้วก็ไม่ข่มกันเอง มีการเลือกแบรนด์มาโชว์แบบไม่ซ้ำไลน์กัน ทำให้เพิ่มความน่าสนใจขึ้นมาอีก นอกจากโชว์เคสแล้ว บนสนามหญ้ายังติดตั้ง Installation ชื่อ ‘ปุปะ’ เป็นโครงสร้างไม้ที่ออกแบบคล้ายอุโมงค์ที่มีความสูงต่ำไม่เท่ากัน แต่ยังกว้างพอให้สามารถเดินลอดได้ ส่วนผนังและเพดานใช้เศษผ้าหลายๆ สีมาเย็บติดกันเป็นผืน แน่นอนว่านอกจากเราจะเก็บภาพมาฝากแล้ว ก็จะต้องลองเดินลอดอุโมงค์กันซะหน่อย ให้สมกับความตั้งใจของศิลปินที่อยากให้ Installation นี้เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นอันเปี่ยมด้วยสีสันของจินตนาการ
แล้วก็เดินเลยมาต่อกันอีกจุดในหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ หรืออีกชื่อที่คนเชียงใหม่คุ้นเคยคือหอศิลป์สามกษัตริย์ ที่นี่ก็มีงานให้ดูเยอะเหมือนกัน เริ่มตั้งแต่บริเวณลานกิจกรรมภายในหอศิลป์ มีโชว์เคสเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ DEESAWAT ตั้งโชว์อยู่กลางลานเลย ด้านข้างจัดแสดงนิทรรศการ “ธ ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนา” เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ส่วนภายในห้องนิทรรศการบริเวณชั้นหนึ่งและชั้นสองของหอศิลป์ฯ ก็มีโชว์เคสจากหลายแบรนด์ให้ชมเช่นเดียวกัน บางบูธก็วางแผ่นพับกับนามบัตรให้คนที่สนใจเกี่ยวกับแบรนด์นั้นๆ ไปติดต่อกันเอง บางแบรนด์ก็มีผู้ดูแลคอยให้คำแนะนำ แต่จริงๆ แล้วถ้าสนใจข้อมูลของแบรนด์ไหนก็สามารถถามเจ้าหน้าที่ของงานที่ดูแลอยู่บริเวณนั้นได้เลยนะ ทุกคนพร้อมให้ข้อมูลมาก
ออกจากหอศิลป์ฯ มา ระหว่างทางเดินไปลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์จะผ่านอีก Installation ชื่อ REALM Pavilion จุดนี้ได้รับความสนใจมากพอสมควร ด้วยรูปร่างเป็นอุโมงค์ทางเดินที่ใช้ไม้ไผ่สานเป็นกล่อง แล้วมาเรียงต่อกันขึ้นไปเป็นซุ้มโดยใช้ไม้ไผ่และตอกเป็นตัวยึด ความน่าสนใจคือระหว่างกล่องไม้ไผ่ก็จะซ่อนงานออกแบบจากดีไซเนอร์หลายๆ คนเอาไว้ด้วย ผมผ่านไปดูทั้งตอนกลางวันและกลางคืน เลยได้เห็นบรรยากาศที่แตกต่างกัน กลางวันจะเห็นเทกเจอร์ของวัสดุ ส่วนกลางคืนจะเหมือนอุโมงค์เรืองแสงที่มีความสวยงามไปอีกแบบ
ออกจากหอศิลป์ฯ มาก็ได้เจอกับวงดนตรีออร์เคสตราจากนักเรียนร่วมร้อยชีวิตบนลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ กำลังจัดวงเตรียมบรรเลงบทเพลงพระราชนิพนธ์ให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่มาชมงานได้ฟังกันในตอนค่ำ ซึ่งการแสดงนี้จะมีแค่วันเปิดวันเดียวเท่านั้น ฉะนั้นไม่พลาดแน่นอน ขอไปเดินเก็บบรรยากาศงานให้ครบๆ ก่อน แล้วค่อยกลับมาชม เล่ามาถึงตอนนี้ต้องบอกเลยว่าตอนแรกคิดว่าจะเดินแป๊บเดียวทั่ว แต่ไม่ใช่เลย แม้งานจะกระจุกตัวอยู่ใกล้ๆ กัน ประมาณออกตึกนี้ข้ามไปตึกโน้น แต่ละจุดอัดแน่นด้วยรายละเอียด ถ้าจะดูให้ครบถ้วนและไม่เหนื่อยแนะนำให้ค่อยๆ เก็บไปทุกวัน พอครบ 9 วันที่จัดงานก็คงจะหมดพอดี ฮ่าๆๆ
เพราะนี่ไม่ใช่แค่นิทรรศการโชว์งานออกแบบอย่างเดียว แต่มีกิจกรรมอย่างอื่นด้วย ไหนจะเวิร์กช็อป, งานสัมมนา วันท้ายๆ ก็มี POP Market งานออกร้านของสินค้าออกแบบอีก คือกิจกรรมเยอะมากจริงๆ แค่วันเปิดนี่ก็ต้องดูตารางงานดีๆ เลย ถ้าไม่อยากพลาด
กว่าจะได้ข้ามมาดูงานฝั่งพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนาก็ห้าโมงเย็นแล้ว เลยไม่ทันเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ แต่ข้างนอกก็มีทั้งโชว์เคส, Installation และนิทรรศการให้ชมอยู่ทั่วบริเวณ ส่วนด้านหลังเป็นหอภาพถ่ายล้านนา และมีโชว์เคสของ tua pen not จัดให้ชมบนลานข้างๆ ด้วย และถ้าใครหิวกระหายบริเวณนี้มีร้านกาแฟน่ารักชื่อ Cafe de Museum ให้นั่งพัก พร้อมบริการขนมและเครื่องดื่มชื่นใจหลายเมนูเลย
ออกจากจุดนี้ก็มีอีก 2 บริเวณจัดงานใหญ่ๆ คือศูนย์สถาปัตยกรรมล้านนา คุ้มเจ้าบุรีรัตน์ และสำนักงานยาสูบ ซึ่งก็มีทั้งโชว์เคส และ Installation ให้ชมเหมือนกัน ข้อดีของการมาตอนเย็นคือกว่าจะเดินจนครบก็ค่ำแล้ว ทำให้ได้เห็นบรรยากาศทั้งกลางวันและกลางคืน บางงานก็เหมาะดูตอนกลางคืนมากกว่า เพราะเล่นกับแสงสีได้มาก อย่าง Installation ในสำนักงานยาสูบ เป็นชิ้นที่เราชอบมากกกก ศิลปินใช้ไม้ไผ่สานเป็นรูปร่างคล้ายก้อนเมฆลอยอยู่ในอากาศ ตอนกลางวันก็ดูธรรมดา แต่พอมืดแล้วเท่านั้นแหละ ก้อนเมฆธรรมดาจะกลายเป็นเมฆหลากสีเต้นระบำประกอบดนตรี นั่งดูเพลินมากๆ จนอดถ่ายวิดีโอมาฝากไม่ได้ คือมันไม่สามารถเล่าด้วยภาพนิ่งได้เลยจริงๆ และในบริเวณสำนักงานยาสูบ จะจัดนิทรรศการโปสเตอร์จากกราฟิกดีไซเนอร์ในเชียงใหม่หลายๆ คนเอาไว้ด้วย และที่เจ๋งคือไม่ได้แค่ให้เดินชมงานดีไซน์อย่างเดียวนะ ใครอยากได้งานชิ้นไหนไว้เป็นที่ระลึก ให้เดินไปบูธ hp ที่ตั้งอยู่ข้างๆ แล้วหยิบมินิโปสเตอร์ไปได้ฟรีๆ เลย คนละ 2 ใบ ไอ้เราก็เลือกอยู่นานว่าจะเอาอันไหนดี ให้แค่ 2 ใบเองอ่ะ เกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง เพราะทุกแบบน่าสะสมมาก ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ว่าถ้าอยากได้แบบอื่นด้วยต้องทำยังไง เขาก็เลยชี้ทางสว่างให้ว่าถ้าอยากได้ครบทุกแบบให้มาหยิบในงานทุกวันสิ รับรองครบแน่นอน
ส่วนตัวคิดว่าการเลือกจัดงานให้บริเวณกลางเวียงเป็นจุดหลัก นับว่าเป็นการตัดสินใจเลือกพื้นที่ได้ดีมาก เพราะบริเวณนี้ปกติก็เป็นเหมือน Public Space ของเชียงใหม่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นลานกิจกรรมหน้าอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ที่กว้างใหญ่รองรับกิจกรรมได้หลากหลาย หรือสถาปัตยกรรมโดยรอบก็สวยงามมีความเป็นล้านนา บริเวณรอบๆ ยังอุดมด้วยร้านอาหารร้านกาแฟขึ้นชื่อของเชียงใหม่ การเดินทางก็สะดวก จอดรถง่าย หรือจะเรียกรถแดงมาเดินเที่ยวก็สบายๆ ดูงานเสร็จหาร้านนั่งต่อได้ชิลล์ๆ แล้วจุดจัดงานก็ไม่ไกลมาก เดินไปถึงกันแบบไม่เหนื่อย ตอนกลางคืนก็มีไฟส่องสว่างตลอดทาง ทำให้ไม่น่ากลัวแม้จะเดินคนเดียว คือเป็นจุดที่ดีและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการจัดงานสเกลนี้
อันที่จริงตั้งใจว่าจะลองนั่งรถซาฟารีไปดูงานต่อที่ย่าน TCDC เชียงใหม่ด้วย แต่ดูจากเวลาคงไม่ทันกาลกับอีกงานที่อยากไปแน่นอน ชีวิตเดินทางมาสู่ทางเลือกแล้วล่ะ เลยตัดสินใจเอางานอีเว้นต์ที่ท่าแพอีสต์มาก่อน เพราะมีแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น ส่วน TCDC ค่อยไปเก็บวันหลังก็ยังได้
มาถึงท่าแพอีสต์งานที่นี่กำลังเริ่มไปได้สักพักใหญ่ๆ จริงๆ ตรงนี้เป็นหนึ่งในโชว์เคสนะ แต่เป็นโชว์เคสที่จัดกันเองโดยมี TCDC ซัพพอร์ตอีกที บริเวณนี้มีกิจกรรมหลักๆ คือ นิทรรศการเก้าอี้นิรนาม Anonymous Chair, Installation รวมทั้ง Talk และเวิร์กช็อปด้วย แต่วันนี้เป็นวันเปิดก็เลยมีดนตรีเข้ามาสร้างสีสันด้วย ซึ่งที่นี่เรียกว่าเป็นจุดจัดงานสุดท้ายของวันเลยก็ว่าได้ เพราะที่อื่นจะจัดถึงแค่สองทุ่ม แต่ที่นี่กำลังคึกคักเลย เรามาทันดู ชา ฮาร์โมนิก้าซันไรส์ กำลังเล่นแจมกับ สายกลาง จินดาสุ พอดี จากนี้ก็จะมี เฟนเดอร์ View From The Bus Tour เล่นต่อ และปิดท้ายด้วย รัสมี เวระนะ นักร้องหญิงขวัญใจใครหลายๆ คน รวมทั้งผมด้วย
คือพอเป็นการจัดงานนอกขอบเขตของงานหลัก การจัดการเลยค่อนข้างสบายๆ เป็นกันเอง มีการตกแต่งพื้นที่ให้น่าสนใจด้วยคอนเซ็ปต์ปาร์ตี้ในสวนหลังบ้าน มีอาหารเครื่องดื่มจำหน่ายหลายชนิด ใครมาถึงตรงนี้ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากกลับ สุดท้ายกว่าจะดูงานครบ กว่าดนตรีจะจบ ก็หมดเครื่องดื่มกันไปคนละหลายขวด ปิดฉากค่ำคืนแรกของเชียงใหม่ดีไซน์วีคไปอย่างงดงาม
ตอนต่อไปจะพาไปเจาะลึกงานย่านอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ มีแบรนด์ไหนน่าสนใจ จุดไหนที่ห้ามพลาดบ้าง
โปรดติดตาม.