ไทยมีจุดแกร่งคาดกระทบไม่มากปีหน้า บลจ.บัวหลวงฯ คาดดอกเบี้ยไทยนิ่ง 1.5% ไม่ขยับตามเฟดที่ขึ้นหลายรอบ ค่าเงินบาทอ่อนถึง 37.50 บาทต่อดอลลาร์
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธันวาคม 2559 – กุมภาพันธ์ 2560) อยู่ที่ 95.69 ลดลง8.47% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 104.55 โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ปรับตัวลงถึง 12.50% แต่ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2
“ คาดปี 2560 จะเริ่มเห็นการทำงานภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และความเป็นไปได้สูงของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม 2559 ที่จะส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่มากยิ่งขึ้น ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ แต่ปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศที่มีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการใช้จ่ายภาครัฐ ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก“ นางวรวรรณกล่าว
สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ พาณิชย์ (COMM) ส่วนหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIA) เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด
บลจ. บัวหลวงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2560 จะเติบโต 3.2% จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 3.2% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.5% ส่วนเงินบาทจะอ่อนค่าไปอยู่ที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากปีนี้ที่คาดว่าจะปิดปีที่ 35.75 บาท โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด คาดว่าเศรษฐกิจ ในปี 2560 จะเติบโต 3.2% ส่วนหุ้นไทย จะแกว่งตัวในกรอบ 1,400-1,600 จุด กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) จะเติบโต 8% และค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 35-36.5 บาท ค าดเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3-5 ครั้ง หลังจากที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้
ปัจจัยที่จะมีผลต่อการลงทุน อันดับแรกคือนโยบายของนายทรัมป์ จะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้ดีมากในปีหน้า รองลงมาจากการเมืองในกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งในปีหน้า ฝรั่งเศส อิตาลี และเยอรมนี จะมีการเลือกตั้ง มีแนวโน้มว่า ฝรั่งเศส และอิตาลี จะแยกตัวออกจากลุ่มยูโร สำหรับในประเทศยังมีปัจจัยที่ช่วยประคองตลาดหุ้นไทย ทั้งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ตามแผน มีมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท จำนวน 20 โครงการ เป็นต้น
“ ปีหน้าดัชนีขึ้นลง 100 จุด เชื่อว่าวอลุ่มซื้อขายคงหายไป เพราะโลกไม่มีข่าวดีใหม่ แต่เชื่อว่าข่าวร้ายจำกัด ขาลงแทบไม่ค่อยมี ในปี 2560 จะเป็นปีของประเทศพัฒนาแล้วทั้งเศรษฐกิจและสินทรัพย์จะปรับเพิ่มขึ้น ประเทศที่น่าสนใจลงทุนคือสหรัฐ และญี่ปุ่นรับค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าและค่าเยนอ่อนค่าตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ จะไม่ค่อยดี ” นายวินกล่าว
นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัยผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นน่าจะผันผวน หลังจากนายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศลาออก ตลาดมีมุมมองว่าแนวโน้มการเลือกตั้งในยุโรปที่จะมีขึ้นในปีหน้าจะนำไปสู่กรณีคล้ายกับเบร็กซิทจะกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงในยุโรป
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,215 วันที่ 8 – 10 ธันวาคม 2559
JJNY : เศรษฐกิจดี๊ดี...ดัชนีเชื่อมั่นลดยาว‘สหรัฐฯ-ยุโรป’กดดันเงินออก
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธันวาคม 2559 – กุมภาพันธ์ 2560) อยู่ที่ 95.69 ลดลง8.47% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 104.55 โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ปรับตัวลงถึง 12.50% แต่ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2
“ คาดปี 2560 จะเริ่มเห็นการทำงานภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และความเป็นไปได้สูงของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม 2559 ที่จะส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่มากยิ่งขึ้น ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ แต่ปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศที่มีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการใช้จ่ายภาครัฐ ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก“ นางวรวรรณกล่าว
สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ พาณิชย์ (COMM) ส่วนหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIA) เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด
บลจ. บัวหลวงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2560 จะเติบโต 3.2% จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 3.2% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.5% ส่วนเงินบาทจะอ่อนค่าไปอยู่ที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากปีนี้ที่คาดว่าจะปิดปีที่ 35.75 บาท โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด คาดว่าเศรษฐกิจ ในปี 2560 จะเติบโต 3.2% ส่วนหุ้นไทย จะแกว่งตัวในกรอบ 1,400-1,600 จุด กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) จะเติบโต 8% และค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 35-36.5 บาท ค าดเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3-5 ครั้ง หลังจากที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้
ปัจจัยที่จะมีผลต่อการลงทุน อันดับแรกคือนโยบายของนายทรัมป์ จะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้ดีมากในปีหน้า รองลงมาจากการเมืองในกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งในปีหน้า ฝรั่งเศส อิตาลี และเยอรมนี จะมีการเลือกตั้ง มีแนวโน้มว่า ฝรั่งเศส และอิตาลี จะแยกตัวออกจากลุ่มยูโร สำหรับในประเทศยังมีปัจจัยที่ช่วยประคองตลาดหุ้นไทย ทั้งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ตามแผน มีมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท จำนวน 20 โครงการ เป็นต้น
“ ปีหน้าดัชนีขึ้นลง 100 จุด เชื่อว่าวอลุ่มซื้อขายคงหายไป เพราะโลกไม่มีข่าวดีใหม่ แต่เชื่อว่าข่าวร้ายจำกัด ขาลงแทบไม่ค่อยมี ในปี 2560 จะเป็นปีของประเทศพัฒนาแล้วทั้งเศรษฐกิจและสินทรัพย์จะปรับเพิ่มขึ้น ประเทศที่น่าสนใจลงทุนคือสหรัฐ และญี่ปุ่นรับค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าและค่าเยนอ่อนค่าตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ จะไม่ค่อยดี ” นายวินกล่าว
นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัยผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นน่าจะผันผวน หลังจากนายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศลาออก ตลาดมีมุมมองว่าแนวโน้มการเลือกตั้งในยุโรปที่จะมีขึ้นในปีหน้าจะนำไปสู่กรณีคล้ายกับเบร็กซิทจะกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงในยุโรป
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,215 วันที่ 8 – 10 ธันวาคม 2559