2557
2559
สองตัวอย่าง การจับได้ไล่ทัน "เจ้าหน้าที่รัฐ" ที่กระทำการทุจริต
แล้วที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หรือที่ไม่ยอมตรวจสอบกัน หรือเกี๊ยะเซียะกันจะมีอีกแค่ไหน ?
ประเด็นคือ การปราบปรามการทุจริต ควรเริ่มที่การป้องกันเป็นหลัก ไม่ใช่การไล่จับหลังเกิดการทุจริตแล้ว
วิธีการง่าย ๆ ที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาวางระบบป้องกันก็คือ
การออกกฎหมายให้ "เจ้าหน้าที่รัฐ" ทุกคน ทุกระดับ ต้องชี้แจงที่มาของทรัพย์สินเมื่อรับตำแหน่ง และเมื่อถูกสอบถาม
ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ มีอำนาจ ที่จะสอบถามเกี่ยวกับทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐทุกคน
และเมื่อสอบถาม ประชาชนต้องได้รับคำตอบภายในไม่เกิน 60 วัน
ต้องชี้แจงให้ชัด มีที่มาที่ไปชัดเจน มีรายละเอียดทางระบบภาษี
หากชี้แจงไม่ชัด ที่มาที่ไปไม่ชัด เรื่องภาษีไม่เคลียร์
โดนทั้งทางแพ่ง และทางอาญาทันที
ระบบอย่างนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีโอกาสน้อยมากครับ ที่จะทำการทุจริต
ยกเว้นทุจริตแล้วเอาเงินใส่ตุ่มฝังดินไว้ ซื้อรถก็ไม่ได้ ซื้อบ้านก็ไม่ได้ ใช้จ่ายเกินตัวก็ไม่ได้เพราะจะโดนประชาชนสอย
ต้องยุ่งยากในการหาทางซุกซ่อน หาทางฟอก
แต่ถึงจะฟอกแค่ไหน ก็เอามาใช้ไม่ได้ ต่อให้พ้นความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ก็โดนประชาชนตรวจสอบขอคำชึ้แจงได้
เช่น เจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่ง มีบ้านราคาสิบล้าน รถยนต์ราคาแพงคันละ 3-5 ล้าน
อย่างนี้ เจ้าหน้าที่รัฐคนนี้ ต้องชี้แจงได้ ว่าทรัพย์สินทั้งบ้านทั้งรถได้มาอย่างไร
ไม่ใช่อย่างทุกวันนี้ ที่เห็นเจ้าหน้าที่รัฐร่ำรวยกันเต็มตา แต่ไม่มีการตรวจสอบกัน
รอจนขัดแย้งกัน รอจนมีเหตุ รอจนมีเรื่อง รอจนทำลายกันทางการเมือง นั่นแหละจึงหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบ
และหากเป็นฝ่ายเดียวกัน พวกเดียวกัน ก็ไม่ตรวจสอบกัน
เมื่อวาน มีการเปิดบัญชีทรัพย์สินของ สนช. 33 คน
http://www.matichon.co.th/news/387895
เห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้มครับ
ไม่ขอพูดรายละเอียด เด๋วทู้หาย
ประเทศไทยนั้น ดาษดื่นไปด้วยเจ้าหน้าที่รัฐที่ร่ำรวย ซึ่งแมวที่ไหนก็รู้ว่ารวยแบบไม่ปกติ
แต่ไม่ตรวจสอบกัน ไม่ป้องกันการทุจริตกัน แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ช่วยกันโกง
แค่ตรากฎหมายให้ต้องชี้แจงทรัพย์สิน ทุกอย่างก็ป้องกันได้แล้วครับ
ข้าราชการผู้น้อยบางหน่วยงาน เงินเดือนหลักสองหมื่นนิด ๆ
แต่ขับบีเอ็มซีรีส์ 3 คันละสามล้าน บ้านหลังห้าล้าน
ข้าราชการระดับหัวหน้ากอง อธิบดี ปลัดกระทรวง นายพลตำรวจ นายพลทหาร เงินเดือนหลักหกหมื่นถึงแสน
บวกเงินจากการเป็นกรรมการเป็นบอร์ดในหน่วยงานต่าง ๆ บวกโบนัสประจำปี แต่ละปีไม่น่ามีรายได้เกิน 3-5 ล้าน
แต่มีรถคนละหลายล้านหลายคัน มีบ้านหลังละสิบล้านยี่สิบล้าน
เป็นได้ได้ไง ?
ไม่นับที่เวลาแสดงบัญชีทรัพย์สินออกมาแล้ว ได้แต่ตาปริบ ๆ
ท่าน สนช. ครับ
เมื่อพวกท่านบอกว่าเข้ามาเพื่อปฏิรูปประเทศ จะรออะไรอยู่ล่ะครับ
เห็นปัญหา รู้วิธีป้องกันการทุจริต ลงมือเลยสิครับ
เสนอตรากฎหมายให้ต้องชี้แจงที่มาทรัยพ์สินเมื่อถูกประชาชนทำเรื่องสอบถาม สงสัย
ทั้งขณะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งหลังจากพ้นความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
ตรากฎหมายตั้งหน่วยงานเฉพาะสำหรับเรื่องนี้ มีอำนาจหน้าที่รับคำร้องจากประชาชนและตรวจสอบ
แต่ละหน่วยงานให้เป็นหน่วยงานในพื้นที่ อย่าง กทม. ก็แต่ละเขต ต่างจังหวัด ก็อำเภอละหน่วย
ให้มีภาคประชาชนร่วมเป็นคณะกรรมการตรวจสอบด้วย
ผ่านสามวาระรวด ประกาศใช้ภายในต้นปีหน้าไปเลย
ที่สำคัญ ตรากฎหมายให้ต้องทำเป็นกรณีสาธารณะ เปิดเผยรายละเอียดให้ประชาชนทราบ
ภายในกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 60 วัน
หากมีการถ่วงเวลา ชี้แจงชักช้า ให้ถือว่า "ส่อทุจริต"
ให้อายัดทรัยพ์ และตั้งคณะกรรมการไต่สวนเอาผิดทันที
นั่นแหละครับ ท่านจะได้รับเสียงปรบมือชื่นชมยกย่องเชิดชูจากประชาชน
ประเภทกฎหมายคุมพรรคการเมือง คุมนักการเมือง กฎหมายคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
อะไรเหล่านี้ ไม่ใช่ผลงานเลยครับ
ประชาชนส่ายหน้าทั้งนั้น
ขอเรื่องที่คุ้มกับเงินเดือนและสวัสดิการ (ผลประโยชน์ทางอ้อมจากตำแหน่ง สนช. ด้วย) สักเรื่องเถอะครับ
แล้วชื่อพวกท่านจะได้จดจารจารึกไว้ในแผ่นดิน
ลูกหลานได้ภาคภูมิใจ
นะครับ
ท่าน สนช. ที่เคารพครับ เมื่อบอกว่าเข้ามาเพื่อปฏิรูปประเทศแล้ว ทำไมไม่เอาให้มันสุด ๆ ไปเลยครับ กลัวอะไรอยู่ ?
2559
สองตัวอย่าง การจับได้ไล่ทัน "เจ้าหน้าที่รัฐ" ที่กระทำการทุจริต
แล้วที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หรือที่ไม่ยอมตรวจสอบกัน หรือเกี๊ยะเซียะกันจะมีอีกแค่ไหน ?
ประเด็นคือ การปราบปรามการทุจริต ควรเริ่มที่การป้องกันเป็นหลัก ไม่ใช่การไล่จับหลังเกิดการทุจริตแล้ว
วิธีการง่าย ๆ ที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาวางระบบป้องกันก็คือ
การออกกฎหมายให้ "เจ้าหน้าที่รัฐ" ทุกคน ทุกระดับ ต้องชี้แจงที่มาของทรัพย์สินเมื่อรับตำแหน่ง และเมื่อถูกสอบถาม
ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ มีอำนาจ ที่จะสอบถามเกี่ยวกับทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐทุกคน
และเมื่อสอบถาม ประชาชนต้องได้รับคำตอบภายในไม่เกิน 60 วัน
ต้องชี้แจงให้ชัด มีที่มาที่ไปชัดเจน มีรายละเอียดทางระบบภาษี
หากชี้แจงไม่ชัด ที่มาที่ไปไม่ชัด เรื่องภาษีไม่เคลียร์
โดนทั้งทางแพ่ง และทางอาญาทันที
ระบบอย่างนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีโอกาสน้อยมากครับ ที่จะทำการทุจริต
ยกเว้นทุจริตแล้วเอาเงินใส่ตุ่มฝังดินไว้ ซื้อรถก็ไม่ได้ ซื้อบ้านก็ไม่ได้ ใช้จ่ายเกินตัวก็ไม่ได้เพราะจะโดนประชาชนสอย
ต้องยุ่งยากในการหาทางซุกซ่อน หาทางฟอก
แต่ถึงจะฟอกแค่ไหน ก็เอามาใช้ไม่ได้ ต่อให้พ้นความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ก็โดนประชาชนตรวจสอบขอคำชึ้แจงได้
เช่น เจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่ง มีบ้านราคาสิบล้าน รถยนต์ราคาแพงคันละ 3-5 ล้าน
อย่างนี้ เจ้าหน้าที่รัฐคนนี้ ต้องชี้แจงได้ ว่าทรัพย์สินทั้งบ้านทั้งรถได้มาอย่างไร
ไม่ใช่อย่างทุกวันนี้ ที่เห็นเจ้าหน้าที่รัฐร่ำรวยกันเต็มตา แต่ไม่มีการตรวจสอบกัน
รอจนขัดแย้งกัน รอจนมีเหตุ รอจนมีเรื่อง รอจนทำลายกันทางการเมือง นั่นแหละจึงหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบ
และหากเป็นฝ่ายเดียวกัน พวกเดียวกัน ก็ไม่ตรวจสอบกัน
เมื่อวาน มีการเปิดบัญชีทรัพย์สินของ สนช. 33 คน http://www.matichon.co.th/news/387895
เห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้มครับ
ไม่ขอพูดรายละเอียด เด๋วทู้หาย
ประเทศไทยนั้น ดาษดื่นไปด้วยเจ้าหน้าที่รัฐที่ร่ำรวย ซึ่งแมวที่ไหนก็รู้ว่ารวยแบบไม่ปกติ
แต่ไม่ตรวจสอบกัน ไม่ป้องกันการทุจริตกัน แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ช่วยกันโกง
แค่ตรากฎหมายให้ต้องชี้แจงทรัพย์สิน ทุกอย่างก็ป้องกันได้แล้วครับ
ข้าราชการผู้น้อยบางหน่วยงาน เงินเดือนหลักสองหมื่นนิด ๆ
แต่ขับบีเอ็มซีรีส์ 3 คันละสามล้าน บ้านหลังห้าล้าน
ข้าราชการระดับหัวหน้ากอง อธิบดี ปลัดกระทรวง นายพลตำรวจ นายพลทหาร เงินเดือนหลักหกหมื่นถึงแสน
บวกเงินจากการเป็นกรรมการเป็นบอร์ดในหน่วยงานต่าง ๆ บวกโบนัสประจำปี แต่ละปีไม่น่ามีรายได้เกิน 3-5 ล้าน
แต่มีรถคนละหลายล้านหลายคัน มีบ้านหลังละสิบล้านยี่สิบล้าน
เป็นได้ได้ไง ?
ไม่นับที่เวลาแสดงบัญชีทรัพย์สินออกมาแล้ว ได้แต่ตาปริบ ๆ
ท่าน สนช. ครับ
เมื่อพวกท่านบอกว่าเข้ามาเพื่อปฏิรูปประเทศ จะรออะไรอยู่ล่ะครับ
เห็นปัญหา รู้วิธีป้องกันการทุจริต ลงมือเลยสิครับ
เสนอตรากฎหมายให้ต้องชี้แจงที่มาทรัยพ์สินเมื่อถูกประชาชนทำเรื่องสอบถาม สงสัย
ทั้งขณะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งหลังจากพ้นความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
ตรากฎหมายตั้งหน่วยงานเฉพาะสำหรับเรื่องนี้ มีอำนาจหน้าที่รับคำร้องจากประชาชนและตรวจสอบ
แต่ละหน่วยงานให้เป็นหน่วยงานในพื้นที่ อย่าง กทม. ก็แต่ละเขต ต่างจังหวัด ก็อำเภอละหน่วย
ให้มีภาคประชาชนร่วมเป็นคณะกรรมการตรวจสอบด้วย
ผ่านสามวาระรวด ประกาศใช้ภายในต้นปีหน้าไปเลย
ที่สำคัญ ตรากฎหมายให้ต้องทำเป็นกรณีสาธารณะ เปิดเผยรายละเอียดให้ประชาชนทราบ
ภายในกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 60 วัน
หากมีการถ่วงเวลา ชี้แจงชักช้า ให้ถือว่า "ส่อทุจริต"
ให้อายัดทรัยพ์ และตั้งคณะกรรมการไต่สวนเอาผิดทันที
นั่นแหละครับ ท่านจะได้รับเสียงปรบมือชื่นชมยกย่องเชิดชูจากประชาชน
ประเภทกฎหมายคุมพรรคการเมือง คุมนักการเมือง กฎหมายคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
อะไรเหล่านี้ ไม่ใช่ผลงานเลยครับ
ประชาชนส่ายหน้าทั้งนั้น
ขอเรื่องที่คุ้มกับเงินเดือนและสวัสดิการ (ผลประโยชน์ทางอ้อมจากตำแหน่ง สนช. ด้วย) สักเรื่องเถอะครับ
แล้วชื่อพวกท่านจะได้จดจารจารึกไว้ในแผ่นดิน
ลูกหลานได้ภาคภูมิใจ
นะครับ