เป็นหมอสูติ หนูไม่เอา
ในทุกๆ ปี ผมมักจะถามลูกศิษย์หลายคนว่าในอนาคตอยากจะเป็นหมอในสาขาอะไร บางคนก็ตอบว่าอยากเป็นศัลยแพทย์เพราะชอบผ่าตัด บางคนก็อยากเป็นอายุรแพทย์เพราะชอบรักษาผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังเพื่อช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในขณะที่บางคนก็อยากเป็นกุมารแพทย์เพราะรักเด็ก
แต่เมื่อผมถามว่ามีใครอยากจะเป็นสูติแพทย์บ้างไหม คำตอบของลูกศิษย์หลายคนทำให้ผมทุกข์ใจครับ เช่น “ ผมชอบวิชาสูติศาสตร์นะครับ แต่ไม่กล้าเรียนครับ” หรือ “ใจจริงหนูก็อยากเป็นหมอสูตินะคะ แต่คิดแล้ว เป็นหมอสูติ หนูไม่เอาดีกว่าคะ” ยังมีอีกหลายคำตอบที่แตกต่างออกไป แต่เหตุผลสำหรับทุกคำตอบที่มีต่อคำถามของผมก็คือ “กลัวถูกฟ้องร้อง”
ข่าวคราวการฟ้องร้องหมอเกี่ยวกับการดูแลรักษาคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มีให้เห็นในสื่อต่างๆ บ่อยขึ้นเรื่อยจนเป็นภาพฝังใจของคุณหมอที่จบใหม่และแม้กระทั้งสูติแพทย์ที่ทำงานมานานแล้วก็ตาม ทุกคนทั้งขยาดทั้งหวาดกลัวว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะถูกฟ้องร้อง
คนที่ไม่ใช่แพทย์ เวลาอ่านข่าวก็มักจะคิดคล้ายๆ กันว่า ก็ถ้าหมอใส่ใจดูแลคนไข้ให้ดีไม่ปล่อยปละละเลยจนเกิดอันตรายต่อคุณแม่หรือลูกแล้ว ใครจะไปฟ้องหมอ ?
ในฐานะที่เป็นสูติแพทย์มายาวนาน อยากจะเรียนว่าความคิดเช่นนั้นไม่ถูกทั้งหมดครับ ผมคิดว่าถ้าหมอคนไหนดูแลผู้ป่วยแบบประมาท เลินเล่อ ไม่ใสใจ จนผู้ป่วยและลูกได้รับอันตรายรุนแรงหรือถึงขั้นเสียชีวิต อย่างนี้ก็ฟ้องไปเถอะครับผมเห็นด้วย แต่ถ้าหมอคนไหนตั้งใจดูแลผู้ป่วยอย่างดี ทุ่มเททั้งกำลังกายและสติปัญญาเต็มที่ แต่ผลของการดูแลรักษาไม่ดีตามที่คาดหวัง มีความเสียหายเกิดขึ้นกับคุณแม่และ/หรือลูก แล้วยังถูกฟ้องร้อง อย่างนี้จะให้คุณหมอเหล่านี้รู้สึกกันอย่างไรดีครับ
ลองมาดูตัวอย่างผู้ป่วยที่ทำให้คุณหมอถูกฟ้องร้องกันดูสัก 3 รายนะครับ
รายที่ 1 คุณ ก. อายุ 38 ปี ตั้งครรภ์ที่ 3 ครรภ์แรกผ่าตัดคลอดเพราะดูฤกษ์ยามการเกิดของลูก ครรภ์ที่ 2 ผ่าตัดคลอดเพราะครรภ์แรกเคยผ่ามาแล้ว กลัวว่าถ้าไม่ผ่า เมื่อเจ็บครรภ์มดลูกอาจแตกจนเป็นอันตรายได้ ขณะตั้งครรภ์ที่ 3 ผู้ป่วยสบายดีไม่มีปัญหาใดๆ จนกระทั้งตั้งครรภ์ได้ 39 สัปดาห์ คุณหมอที่ดูแลจึงนัดผ่าตัดคลอด เมื่อผ่าตัด พบว่าภายในช่องท้องมีพังผืดติดแน่นระหว่างมดลูกกับอวัยวะข้างเคียงเป็นอย่างมาก คุณหมอต้องใช้เวลาเลาะพังผืดยาวนานและจำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้งเพราะมีเลือดออกจากผนังมดลูกมาก กระเพาะปัสสาวะก็ทะลุจากการผ่าตัด ผู้ป่วยเสียเลือดจนช็อก ต้องให้เลือดทดแทนถึง 5 ถุง หลังผ่าตัดต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนานถึง 1 เดือน
รายนี้คุณแม่และญาติฟ้องว่าคุณหมอให้การดูแลรักษาโดยประมาทจนทำใหคุณแม่ได้รับอันตรายที่รุนแรง
รายที่ 2 คุณ ข. อายุ 30 ปี ตั้งครรภ์ที่ 2 ไม่มีปัญหาใดๆ ขณะตั้งครรภ์ จนเมื่อตั้งครรภ์ได้ 39 สัปดาห์มีอาการเจ็บครรภ์จึงไปโรงพยาบาล ซึ่งคุณหมอได้รับไว้ในห้องคลอด 4 ชั่วโมงต่อมาคุณ ข.ปวดอยากเบ่ง ขณะกำลังเบ่งคลอดนั้น คุณ ข.หาย ใจไม่ออก ตัวเขียว และเสียชีวิตในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน ส่วนลูกก็เสียชีวิตในครรภ์ไปพร้อมกับคุณแม่ คุณหมอให้การวินิจฉัยว่าน้ำคร่ำไหลเข้ากระแสเลือดไปทำให้ระบบการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
รายนี้ญาติฟ้องว่าคุณหมอให้การดูแลรักษาโดยประมาทจนทำให้ทั้งแม่และลูกเสียชีวิต
รายที่ 3 คุณ ค. อายุ 38 ปี ตั้งครรภ์แรก ขณะตั้งครรภ์ไม่พบความผิดปกติใดๆ จนเมื่ออายุครรภ์ได้ 38 สัปดาห์ มาโรงพยาบาลเพราะเจ็บครรภ์ คุณหมอตรวจครรภ์เมื่อแรกรับพบว่าหัวใจทารกในครรภ์เต้นช้า และไม่สม่ำเสมอ จึงรีบตรวจภายในพบว่าปากมดลูกเปิด 5 เซนติเมตรและมีสายสะดือไหลลงมาอยู่ในช่องคลอด คุณหมอได้แก้ปัญหารีบด่วนโดยให้คุณแม่นอนยกก้นสูง ให้คุณหมอผู้ช่วยใส่มือเข้าไปในช่องคลอดเพื่อดันศีรษะทารกไม่ให้ลงมากดสายสะดือ แล้วรีบนำไปผ่าตัดคลอดฉุกเฉิน แต่เมื่อถึงห้องผ่าตัดต้องรอประมาณ 30 นาทีเพราะห้องผ่าตัดซึ่งมี 2 ห้องยังไม่ว่างกำลังมีการผ่าตัดคลอดฉุกเฉินเช่นเดียวกันอยู่ หลังผ่าตัดคลอดคุณแม่ปกติดี แต่ลูกหายใจไม่ดีต้องรีบส่งไปดูแลที่ห้องผู้ป่วยหนัก และภายหลังได้รับการดูแลรักษาประมาณ 6 ชั่วโมง กุมารแพทย์แจ้งว่าลูกเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจนนานเกินไป
รายนี้ผู้ป่วยและญาติฟ้องว่าแพทย์ทำการผ่าตัดล่าช้าจนทำให้ลูกเสียชีวิต
จากตัวอย่างผู้ป่วยทั้ง 3 รายนี้ ผมคงไม่วิเคราะห์วิจารณ์ว่าคุณหมอควรจะถูกฟ้องไหมหรอกครับ เพราะส่วนมากผู้เสียหายก็มักจะฟ้องไว้ก่อนอยู่แล้ว เนื่องจากการฟ้องร้องทำได้ง่ายมากและปัจจุบันยังมีหน่วยงานที่รับการฟ้องร้องหลายหน่วยงานรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคด้วยซึ่งผมไม่เข้าใจว่าการรักษาผู้ป่วยมันเป็นเรื่องของการบริโภคไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การฟ้องร้องไม่ทำให้ผู้ฟ้องร้องเสียอะไรมากนอกจากเสียเวลา มีแต่ได้กับไม่ได้ค่าเสียหาย
แต่เมื่อกล่าวถึงคุณหมอที่ถูกฟ้องร้อง ผมคิดว่าเสียหายหลายอย่าง แค่ดูแลผู้ป่วยแล้วทำให้เกิดการบาดเจ็บเสียหาย ไม่ว่าจะถูกหรือผิด หมอก็เสียใจกันแล้ว และยิ่งถูกตัดสินโดยกระแสสังคมว่าผิดตั้งแต่ยังไม่มีการฟ้องร้องด้วยซ้ำไป ก็จะทำให้เสียหายอีกหลายอย่างทั้ง เสียชื่อเสียง เสียเวลา เสียความมั่นใจในการประกอบวิชาชีพต่อไป และที่สำคัญคือ “หวั่นไหวที่จะทำความดี”
ผมจะลองวิเคราะห์ผู้ป่วยทั้ง 3 รายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณหมอให้ลองพิจารณาครับ
รายที่ 1 คุณ ก. ผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดมาหลายครั้ง เมื่อมารับการผ่าตัดใหม่อีกจะมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากภายหลังการผ่าตัดแต่ละครั้งจะมีการก่อตัวของพังผืดซึ่งก็คือแผลเป็นแต่อยู่ในท้องขึ้นมาทุกครั้ง มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ละคน คุณ ก. ได้รับการผ่าตัดมาแล้วถึง 2 ครั้งจึงเสี่ยงที่จะมีพังผืดในช่องท้องมากซึ่งวินิจฉัยก่อนผ่าตัดค่อนข้างยากหรือแทบไม่ได้เลย และไม่ว่าคุณหมอจะเตรียมตัวให้ดีอย่างไร ก็ต้องไปแก้ไขปัญหากันหน้างานเท่านั้น กรณีของคุณ ก. คุณหมอได้พยายามผ่าตัดอย่างระมัดระวังเต็มที่แล้วแต่ก็หลีกเลี่ยงการผ่าตัดไปถูกอวัยวะข้างเคียงไม่ได้ ผู้ป่วยรายนี้รอดชีวิตมาได้ต้องถือว่าเป็นฝีมือของคุณหมอล้วนๆ มีผู้ป่วยแบบนี้หลายรายที่ช็อกตายจากการเสียเลือดมากก็มี ดังนั้นเมื่อคุณหมอที่ทำงานยากอย่างเต็มที่แล้วยังได้รับการฟ้องร้อง คุณหมอควรจะรู้สึกอย่างไรดี
รายที่ 2 คุณ ข. โดยปกติเมื่อถึงเวลาคลอด น้ำคร่ำที่อยู่รอบๆ ตัวทารกในครรภ์จะไหลจากโพรงมดลูกโดยผ่านปากมดลูกและช่องคลอดออกมาสู่ภายนอกเท่านั้น มีคุณแม่บางรายเวลาเบ่งคลอด แรงเบ่งอาจทำให้น้ำคร่ำไหลทะลักผ่านหลอดเลือดที่มาเลี้ยงตัวมดลูกเข้าไปในกระแสเลือดแม่ได้ด้วย เมื่อเข้าไปในเลือดแม่ น้ำคร่ำจะไปก่อปฏิกิริยากับระบบอวัยวะภายในร่างกายคุณแม่หลายระบบอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนทำให้คุณแม่มีการหายใจล้มเหลวอย่างเฉียบพลันและเสียชีวิตทันที ภาวะนี้ป้องกันไม่ได้ คาดการณ์ก็ไม่ได้เช่นกัน จะเรียกว่าเป็นอุบัติเหตุของการคลอดก็ได้ โรคนี้เจอน้อยมากครับ แต่เวลาเกิดขึ้นก็มักเป็นข่าวใหญ่ทุกทีและคุณหมอหลายคนถูกฟ้องโดยไม่ทราบว่าตัวเองทำผิดอะไร หมอที่ทำคลอดทุกคนกลัวภาวะนี้ครับ หลายคนถามผมว่าจะทำอย่างไรดี ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีนอกจากให้ “ทำใจ” และ “ทำบุญ” กันไว้มากๆ
รายที่ 3 คุณ ค ในสายสะดือมีอาหารและออกซิเจนเพื่อไปเลี้ยงทารก การที่สายสะดือไหลลงมาในช่องคลอดจะทำให้สายสะดือถูกศีรษะทารกกดจนแบนและนำเอาสารอาหารไปเลี้ยงทารกไม่ได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายของทารก รายนี้คุณหมอได้พยายามทั้งบรรเทาปัญหาโดยให้แพทย์ผู้ช่วยดันศีรษะทารกไม่ให้มากดสายสะดือและแก้ปัญหาโดยการรีบนำไปผ่าตัดคลอด แต่ด้วยข้อจำกัดของห้องผ่าตัดที่แน่นตลอดเวลาโดยเฉพาะในโรงพยาบาลรัฐ การผ่าตัดจึงต้องล่าช้าและทำให้ทารกเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจนนาน แต่กรรมยังตกมาถึงคุณหมอที่พยายามช่วยชีวิตทารกอย่างสุดความสามารถ แต่ทำไม่สำเร็จจึงถูกฟ้องร้อง
ผมยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกเกี่ยวกับปัญหาการฟ้องร้องเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะมีเหตุปัจจัยให้หมอถูกฟ้องร้องได้หลายปัจจัย ทั้งตัวโรคของตัวผู้ป่วยเอง ระบบการบริการที่ไม่เพียงพอ และหนทางในการฟ้องร้องที่เปิดกว้าง ฯลฯ แต่ที่แน่ๆ ลูกศิษย์ผมหลายคนบอกกับผมแล้วว่า “เป็นหมอสูติ หนูไม่เอา”
Cr.อาจารย์วิทยา ถิฐาพันธ์
"เป็นหมอสูติ ...หนูไม่เอา หนูกลัวโดนฟ้องร้อง" เรียบเรียงจากเพจ อาจารย์วิทยา ถิฐาพันธ์
ในทุกๆ ปี ผมมักจะถามลูกศิษย์หลายคนว่าในอนาคตอยากจะเป็นหมอในสาขาอะไร บางคนก็ตอบว่าอยากเป็นศัลยแพทย์เพราะชอบผ่าตัด บางคนก็อยากเป็นอายุรแพทย์เพราะชอบรักษาผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังเพื่อช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในขณะที่บางคนก็อยากเป็นกุมารแพทย์เพราะรักเด็ก
แต่เมื่อผมถามว่ามีใครอยากจะเป็นสูติแพทย์บ้างไหม คำตอบของลูกศิษย์หลายคนทำให้ผมทุกข์ใจครับ เช่น “ ผมชอบวิชาสูติศาสตร์นะครับ แต่ไม่กล้าเรียนครับ” หรือ “ใจจริงหนูก็อยากเป็นหมอสูตินะคะ แต่คิดแล้ว เป็นหมอสูติ หนูไม่เอาดีกว่าคะ” ยังมีอีกหลายคำตอบที่แตกต่างออกไป แต่เหตุผลสำหรับทุกคำตอบที่มีต่อคำถามของผมก็คือ “กลัวถูกฟ้องร้อง”
ข่าวคราวการฟ้องร้องหมอเกี่ยวกับการดูแลรักษาคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มีให้เห็นในสื่อต่างๆ บ่อยขึ้นเรื่อยจนเป็นภาพฝังใจของคุณหมอที่จบใหม่และแม้กระทั้งสูติแพทย์ที่ทำงานมานานแล้วก็ตาม ทุกคนทั้งขยาดทั้งหวาดกลัวว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะถูกฟ้องร้อง
คนที่ไม่ใช่แพทย์ เวลาอ่านข่าวก็มักจะคิดคล้ายๆ กันว่า ก็ถ้าหมอใส่ใจดูแลคนไข้ให้ดีไม่ปล่อยปละละเลยจนเกิดอันตรายต่อคุณแม่หรือลูกแล้ว ใครจะไปฟ้องหมอ ?
ในฐานะที่เป็นสูติแพทย์มายาวนาน อยากจะเรียนว่าความคิดเช่นนั้นไม่ถูกทั้งหมดครับ ผมคิดว่าถ้าหมอคนไหนดูแลผู้ป่วยแบบประมาท เลินเล่อ ไม่ใสใจ จนผู้ป่วยและลูกได้รับอันตรายรุนแรงหรือถึงขั้นเสียชีวิต อย่างนี้ก็ฟ้องไปเถอะครับผมเห็นด้วย แต่ถ้าหมอคนไหนตั้งใจดูแลผู้ป่วยอย่างดี ทุ่มเททั้งกำลังกายและสติปัญญาเต็มที่ แต่ผลของการดูแลรักษาไม่ดีตามที่คาดหวัง มีความเสียหายเกิดขึ้นกับคุณแม่และ/หรือลูก แล้วยังถูกฟ้องร้อง อย่างนี้จะให้คุณหมอเหล่านี้รู้สึกกันอย่างไรดีครับ
ลองมาดูตัวอย่างผู้ป่วยที่ทำให้คุณหมอถูกฟ้องร้องกันดูสัก 3 รายนะครับ
รายที่ 1 คุณ ก. อายุ 38 ปี ตั้งครรภ์ที่ 3 ครรภ์แรกผ่าตัดคลอดเพราะดูฤกษ์ยามการเกิดของลูก ครรภ์ที่ 2 ผ่าตัดคลอดเพราะครรภ์แรกเคยผ่ามาแล้ว กลัวว่าถ้าไม่ผ่า เมื่อเจ็บครรภ์มดลูกอาจแตกจนเป็นอันตรายได้ ขณะตั้งครรภ์ที่ 3 ผู้ป่วยสบายดีไม่มีปัญหาใดๆ จนกระทั้งตั้งครรภ์ได้ 39 สัปดาห์ คุณหมอที่ดูแลจึงนัดผ่าตัดคลอด เมื่อผ่าตัด พบว่าภายในช่องท้องมีพังผืดติดแน่นระหว่างมดลูกกับอวัยวะข้างเคียงเป็นอย่างมาก คุณหมอต้องใช้เวลาเลาะพังผืดยาวนานและจำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้งเพราะมีเลือดออกจากผนังมดลูกมาก กระเพาะปัสสาวะก็ทะลุจากการผ่าตัด ผู้ป่วยเสียเลือดจนช็อก ต้องให้เลือดทดแทนถึง 5 ถุง หลังผ่าตัดต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนานถึง 1 เดือน
รายนี้คุณแม่และญาติฟ้องว่าคุณหมอให้การดูแลรักษาโดยประมาทจนทำใหคุณแม่ได้รับอันตรายที่รุนแรง
รายที่ 2 คุณ ข. อายุ 30 ปี ตั้งครรภ์ที่ 2 ไม่มีปัญหาใดๆ ขณะตั้งครรภ์ จนเมื่อตั้งครรภ์ได้ 39 สัปดาห์มีอาการเจ็บครรภ์จึงไปโรงพยาบาล ซึ่งคุณหมอได้รับไว้ในห้องคลอด 4 ชั่วโมงต่อมาคุณ ข.ปวดอยากเบ่ง ขณะกำลังเบ่งคลอดนั้น คุณ ข.หาย ใจไม่ออก ตัวเขียว และเสียชีวิตในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน ส่วนลูกก็เสียชีวิตในครรภ์ไปพร้อมกับคุณแม่ คุณหมอให้การวินิจฉัยว่าน้ำคร่ำไหลเข้ากระแสเลือดไปทำให้ระบบการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
รายนี้ญาติฟ้องว่าคุณหมอให้การดูแลรักษาโดยประมาทจนทำให้ทั้งแม่และลูกเสียชีวิต
รายที่ 3 คุณ ค. อายุ 38 ปี ตั้งครรภ์แรก ขณะตั้งครรภ์ไม่พบความผิดปกติใดๆ จนเมื่ออายุครรภ์ได้ 38 สัปดาห์ มาโรงพยาบาลเพราะเจ็บครรภ์ คุณหมอตรวจครรภ์เมื่อแรกรับพบว่าหัวใจทารกในครรภ์เต้นช้า และไม่สม่ำเสมอ จึงรีบตรวจภายในพบว่าปากมดลูกเปิด 5 เซนติเมตรและมีสายสะดือไหลลงมาอยู่ในช่องคลอด คุณหมอได้แก้ปัญหารีบด่วนโดยให้คุณแม่นอนยกก้นสูง ให้คุณหมอผู้ช่วยใส่มือเข้าไปในช่องคลอดเพื่อดันศีรษะทารกไม่ให้ลงมากดสายสะดือ แล้วรีบนำไปผ่าตัดคลอดฉุกเฉิน แต่เมื่อถึงห้องผ่าตัดต้องรอประมาณ 30 นาทีเพราะห้องผ่าตัดซึ่งมี 2 ห้องยังไม่ว่างกำลังมีการผ่าตัดคลอดฉุกเฉินเช่นเดียวกันอยู่ หลังผ่าตัดคลอดคุณแม่ปกติดี แต่ลูกหายใจไม่ดีต้องรีบส่งไปดูแลที่ห้องผู้ป่วยหนัก และภายหลังได้รับการดูแลรักษาประมาณ 6 ชั่วโมง กุมารแพทย์แจ้งว่าลูกเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจนนานเกินไป
รายนี้ผู้ป่วยและญาติฟ้องว่าแพทย์ทำการผ่าตัดล่าช้าจนทำให้ลูกเสียชีวิต
จากตัวอย่างผู้ป่วยทั้ง 3 รายนี้ ผมคงไม่วิเคราะห์วิจารณ์ว่าคุณหมอควรจะถูกฟ้องไหมหรอกครับ เพราะส่วนมากผู้เสียหายก็มักจะฟ้องไว้ก่อนอยู่แล้ว เนื่องจากการฟ้องร้องทำได้ง่ายมากและปัจจุบันยังมีหน่วยงานที่รับการฟ้องร้องหลายหน่วยงานรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคด้วยซึ่งผมไม่เข้าใจว่าการรักษาผู้ป่วยมันเป็นเรื่องของการบริโภคไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การฟ้องร้องไม่ทำให้ผู้ฟ้องร้องเสียอะไรมากนอกจากเสียเวลา มีแต่ได้กับไม่ได้ค่าเสียหาย
แต่เมื่อกล่าวถึงคุณหมอที่ถูกฟ้องร้อง ผมคิดว่าเสียหายหลายอย่าง แค่ดูแลผู้ป่วยแล้วทำให้เกิดการบาดเจ็บเสียหาย ไม่ว่าจะถูกหรือผิด หมอก็เสียใจกันแล้ว และยิ่งถูกตัดสินโดยกระแสสังคมว่าผิดตั้งแต่ยังไม่มีการฟ้องร้องด้วยซ้ำไป ก็จะทำให้เสียหายอีกหลายอย่างทั้ง เสียชื่อเสียง เสียเวลา เสียความมั่นใจในการประกอบวิชาชีพต่อไป และที่สำคัญคือ “หวั่นไหวที่จะทำความดี”
ผมจะลองวิเคราะห์ผู้ป่วยทั้ง 3 รายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณหมอให้ลองพิจารณาครับ
รายที่ 1 คุณ ก. ผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดมาหลายครั้ง เมื่อมารับการผ่าตัดใหม่อีกจะมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากภายหลังการผ่าตัดแต่ละครั้งจะมีการก่อตัวของพังผืดซึ่งก็คือแผลเป็นแต่อยู่ในท้องขึ้นมาทุกครั้ง มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ละคน คุณ ก. ได้รับการผ่าตัดมาแล้วถึง 2 ครั้งจึงเสี่ยงที่จะมีพังผืดในช่องท้องมากซึ่งวินิจฉัยก่อนผ่าตัดค่อนข้างยากหรือแทบไม่ได้เลย และไม่ว่าคุณหมอจะเตรียมตัวให้ดีอย่างไร ก็ต้องไปแก้ไขปัญหากันหน้างานเท่านั้น กรณีของคุณ ก. คุณหมอได้พยายามผ่าตัดอย่างระมัดระวังเต็มที่แล้วแต่ก็หลีกเลี่ยงการผ่าตัดไปถูกอวัยวะข้างเคียงไม่ได้ ผู้ป่วยรายนี้รอดชีวิตมาได้ต้องถือว่าเป็นฝีมือของคุณหมอล้วนๆ มีผู้ป่วยแบบนี้หลายรายที่ช็อกตายจากการเสียเลือดมากก็มี ดังนั้นเมื่อคุณหมอที่ทำงานยากอย่างเต็มที่แล้วยังได้รับการฟ้องร้อง คุณหมอควรจะรู้สึกอย่างไรดี
รายที่ 2 คุณ ข. โดยปกติเมื่อถึงเวลาคลอด น้ำคร่ำที่อยู่รอบๆ ตัวทารกในครรภ์จะไหลจากโพรงมดลูกโดยผ่านปากมดลูกและช่องคลอดออกมาสู่ภายนอกเท่านั้น มีคุณแม่บางรายเวลาเบ่งคลอด แรงเบ่งอาจทำให้น้ำคร่ำไหลทะลักผ่านหลอดเลือดที่มาเลี้ยงตัวมดลูกเข้าไปในกระแสเลือดแม่ได้ด้วย เมื่อเข้าไปในเลือดแม่ น้ำคร่ำจะไปก่อปฏิกิริยากับระบบอวัยวะภายในร่างกายคุณแม่หลายระบบอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนทำให้คุณแม่มีการหายใจล้มเหลวอย่างเฉียบพลันและเสียชีวิตทันที ภาวะนี้ป้องกันไม่ได้ คาดการณ์ก็ไม่ได้เช่นกัน จะเรียกว่าเป็นอุบัติเหตุของการคลอดก็ได้ โรคนี้เจอน้อยมากครับ แต่เวลาเกิดขึ้นก็มักเป็นข่าวใหญ่ทุกทีและคุณหมอหลายคนถูกฟ้องโดยไม่ทราบว่าตัวเองทำผิดอะไร หมอที่ทำคลอดทุกคนกลัวภาวะนี้ครับ หลายคนถามผมว่าจะทำอย่างไรดี ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีนอกจากให้ “ทำใจ” และ “ทำบุญ” กันไว้มากๆ
รายที่ 3 คุณ ค ในสายสะดือมีอาหารและออกซิเจนเพื่อไปเลี้ยงทารก การที่สายสะดือไหลลงมาในช่องคลอดจะทำให้สายสะดือถูกศีรษะทารกกดจนแบนและนำเอาสารอาหารไปเลี้ยงทารกไม่ได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายของทารก รายนี้คุณหมอได้พยายามทั้งบรรเทาปัญหาโดยให้แพทย์ผู้ช่วยดันศีรษะทารกไม่ให้มากดสายสะดือและแก้ปัญหาโดยการรีบนำไปผ่าตัดคลอด แต่ด้วยข้อจำกัดของห้องผ่าตัดที่แน่นตลอดเวลาโดยเฉพาะในโรงพยาบาลรัฐ การผ่าตัดจึงต้องล่าช้าและทำให้ทารกเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจนนาน แต่กรรมยังตกมาถึงคุณหมอที่พยายามช่วยชีวิตทารกอย่างสุดความสามารถ แต่ทำไม่สำเร็จจึงถูกฟ้องร้อง
ผมยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกเกี่ยวกับปัญหาการฟ้องร้องเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะมีเหตุปัจจัยให้หมอถูกฟ้องร้องได้หลายปัจจัย ทั้งตัวโรคของตัวผู้ป่วยเอง ระบบการบริการที่ไม่เพียงพอ และหนทางในการฟ้องร้องที่เปิดกว้าง ฯลฯ แต่ที่แน่ๆ ลูกศิษย์ผมหลายคนบอกกับผมแล้วว่า “เป็นหมอสูติ หนูไม่เอา”
Cr.อาจารย์วิทยา ถิฐาพันธ์