เกริ่นนำ
สวัสดีครับ จขกท. อยากแบ่งปัน เรื่องราวการสร้างทรัพย์สิน หนึ่งล้านบาทแรก ในชีวิตครับ
เริ่มต้นด้วยการเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง เรียกได้ว่าทุกคนในครอบครัวเป็นมนุษย์เงินเดือนทั้งหมด เส้นทางการใช้ชีวิตของ จขกท. ตั้งแต่เด็กจนโต ก็ไม่มีอะไรมากครับ ตั้งใจเรียน สอบเข้ามหาวิทยาลัย และ
จบออกมาทำงาน เมื่อเข้าสู่ช่วงชีวิตวัยทำงาน จขกท. รู้สึกได้ว่าตัวเราเหมือนแค่เป็นฟันเฟืองเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในองค์กรเท่านั้น จึงทบทวนกับตัวเองแล้วคิดว่านี่เราจะอยู่แบบนี้ไปตลอดอีกสามสิบกว่าปีหรือ? เราต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อตัวเราเองหรือไม่? โดยเรื่องราวด้านล่างเป็นเรื่องราวชีวิตทางการเงินของ 4 ปี ในชีวิตการทำงานของ จขกท. ครับ
เริ่มต้นเก็บออม
หลังจากที่คิดได้ว่าเราต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อหลุดพ้นจากสถานะดังกล่าว จขกท. เริ่มเก็บออม เป็นสัดส่วนที่ไม่กระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม โดยเริ่มต้นหัก 5,000 บาท/เดือน บางเดือนก็มากหรือน้อยกว่านั้น เข้าไปเก็บที่บัญชีออมทรัพย์ ที่ไม่ได้ทำ ATM ครับ
เริ่มรู้จักหุ้น
หลังจาก จขกท. เก็บเงินออมได้ก้อน ก็ได้แบ่งเงินส่วนหนึ่งประมาณ 4-5 หมื่นบาท มาชื้อหุ้นตัวแรกครับ โดยตอนนั้นการเลือกหุ้นก็ไม่มีอะไรมากครับ ชื้อหุ้นที่อัตราการปันผล เยอะๆเข้าไว้ครับ โดยหุ้นตัวแรกที่ชื้อ คือ SE-ED ทำธุรกิจร้านหนังสือ โดยตอนั้นไม่ได้คำนึงถึงการเติบโตของกิจการ หรือความสามารถทางการแข่งขันอะไรเลยครับ ตอนนั้นคิดแค่ว่าแค่ชื้อก็สามารถได้ผลตอบแทนชนะ เงินฝากออมทรัพย์แบบสบายๆ แต่ตอนหลัง จขกท. เริ่มมีประสบการณ์มากขึ้นจึงมีการจัดพอร์ทที่มีคุณภาพมากขึ้น มีหุ้นเติบโตมากขึ้น และที่สำคัญเรานำเงินออม ใส่เข้าพอร์ทตลอดเวลา
สิทธิประโยชน์การเป็นมนุษย์เงินเดือน
การเป็นมนุษย์เงินเดือนบางทีก็มีตัวช่วยให้เราสามารถสร้างทรัพย์สินได้ดีเหมือนกันครับ โดย จขกท. พบว่า “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” (PVD) เป็นเครื่องมือที่ดีมากๆครับ โดย PVD จะหักเงินเดือนเราไปลงทุนแบบอัตโนมัติ และนายจ้างยังสมทบเงินให้เราอีก โดย จขกท. หักที่อัตรา 15% ของเงินเดือน และเลือกแผนการลงทุนแบบ หุ้น 100% ครับ (คาดหวังผลตอบแทนที่ 10%) เนื่องจาก จขกท. ยังมีเวลาในการทำงานอีกนาน จึงคิดว่าสามารถผ่านความผันผวนระยะสั้นต่างๆ ไปได้ครับ อ่อหัก PVD เยอะๆ ลดหย่อนภาษีได้ด้วยนะครับ
LTF/RMF
เมื่อทำงานมีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ก็เริ่มรู้จัก LTF/RMF ครับ ซึ่งเหมือนเดิมครับ จขกท. เลือกกองทุนที่เป็นประเภทหุ้น ทั้งหมดครับ เนื่องจากคาดหวังผลระยะยาว โดย จขกท. ลงทุนในส่วนนี้เป็นส่วนน้อย เนื่องจากฐานภาษียังไม่เยอะครับ จขกท. จึงเน้นนำเงินไปเติบพอร์ทหุ้นเพื่อการเติบโตของพอร์ทและเครดิตภาษีเงินปันผล ครับ
เครดิตภาษีเงินปันผล
เมื่อถือหุ้น ก็ได้ปันผลจากหุ้นครับ จขกท. ถ้านำปันผลจากหุ้นมาคิดรวมในการยื่นภาษี เราจะได้รับสิทธิ์พิเศษคือ “เครดิตภาษีเงินปันผล” ครับ โดยถ้า รายได้ + ปันผล + เครดิตภาษีเงินปันผล – ลดหย่อนต่างๆ ถ้าตกฐานภาษียังไม่เยอะ จะได้ประโยชน์มากกว่า ยื่นแบบไม่รวมครับ
หลีกเลี่ยงการสร้างรายจ่ายคงที่ถาวรใหญ่ๆ
รายจ่ายคงที่ถาวรใหญ่ๆ เช่นการผ่อนรถยนต์ ผ่อนบ้าน เมื่อเรามีอัตราการผ่อนเป็นสัดส่วนที่มากเทียบกับเงินเดือนเรา จะทำให้เราออมเงินมาลงทุน ทำให้งอกเงยได้ยากขึ้นครับ ดังนั้นถ้าคิดจะสร้างรายจ่ายในส่วนนี้ควรพิจารณาถึงความจำเป็น หรือทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดครับ
1 ล้านบาทแรก แบบมนุษย์เงินเดือนธรรมดา
สวัสดีครับ จขกท. อยากแบ่งปัน เรื่องราวการสร้างทรัพย์สิน หนึ่งล้านบาทแรก ในชีวิตครับ
เริ่มต้นด้วยการเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง เรียกได้ว่าทุกคนในครอบครัวเป็นมนุษย์เงินเดือนทั้งหมด เส้นทางการใช้ชีวิตของ จขกท. ตั้งแต่เด็กจนโต ก็ไม่มีอะไรมากครับ ตั้งใจเรียน สอบเข้ามหาวิทยาลัย และ
จบออกมาทำงาน เมื่อเข้าสู่ช่วงชีวิตวัยทำงาน จขกท. รู้สึกได้ว่าตัวเราเหมือนแค่เป็นฟันเฟืองเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในองค์กรเท่านั้น จึงทบทวนกับตัวเองแล้วคิดว่านี่เราจะอยู่แบบนี้ไปตลอดอีกสามสิบกว่าปีหรือ? เราต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อตัวเราเองหรือไม่? โดยเรื่องราวด้านล่างเป็นเรื่องราวชีวิตทางการเงินของ 4 ปี ในชีวิตการทำงานของ จขกท. ครับ
เริ่มต้นเก็บออม
หลังจากที่คิดได้ว่าเราต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อหลุดพ้นจากสถานะดังกล่าว จขกท. เริ่มเก็บออม เป็นสัดส่วนที่ไม่กระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม โดยเริ่มต้นหัก 5,000 บาท/เดือน บางเดือนก็มากหรือน้อยกว่านั้น เข้าไปเก็บที่บัญชีออมทรัพย์ ที่ไม่ได้ทำ ATM ครับ
เริ่มรู้จักหุ้น
หลังจาก จขกท. เก็บเงินออมได้ก้อน ก็ได้แบ่งเงินส่วนหนึ่งประมาณ 4-5 หมื่นบาท มาชื้อหุ้นตัวแรกครับ โดยตอนนั้นการเลือกหุ้นก็ไม่มีอะไรมากครับ ชื้อหุ้นที่อัตราการปันผล เยอะๆเข้าไว้ครับ โดยหุ้นตัวแรกที่ชื้อ คือ SE-ED ทำธุรกิจร้านหนังสือ โดยตอนั้นไม่ได้คำนึงถึงการเติบโตของกิจการ หรือความสามารถทางการแข่งขันอะไรเลยครับ ตอนนั้นคิดแค่ว่าแค่ชื้อก็สามารถได้ผลตอบแทนชนะ เงินฝากออมทรัพย์แบบสบายๆ แต่ตอนหลัง จขกท. เริ่มมีประสบการณ์มากขึ้นจึงมีการจัดพอร์ทที่มีคุณภาพมากขึ้น มีหุ้นเติบโตมากขึ้น และที่สำคัญเรานำเงินออม ใส่เข้าพอร์ทตลอดเวลา
สิทธิประโยชน์การเป็นมนุษย์เงินเดือน
การเป็นมนุษย์เงินเดือนบางทีก็มีตัวช่วยให้เราสามารถสร้างทรัพย์สินได้ดีเหมือนกันครับ โดย จขกท. พบว่า “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” (PVD) เป็นเครื่องมือที่ดีมากๆครับ โดย PVD จะหักเงินเดือนเราไปลงทุนแบบอัตโนมัติ และนายจ้างยังสมทบเงินให้เราอีก โดย จขกท. หักที่อัตรา 15% ของเงินเดือน และเลือกแผนการลงทุนแบบ หุ้น 100% ครับ (คาดหวังผลตอบแทนที่ 10%) เนื่องจาก จขกท. ยังมีเวลาในการทำงานอีกนาน จึงคิดว่าสามารถผ่านความผันผวนระยะสั้นต่างๆ ไปได้ครับ อ่อหัก PVD เยอะๆ ลดหย่อนภาษีได้ด้วยนะครับ
LTF/RMF
เมื่อทำงานมีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ก็เริ่มรู้จัก LTF/RMF ครับ ซึ่งเหมือนเดิมครับ จขกท. เลือกกองทุนที่เป็นประเภทหุ้น ทั้งหมดครับ เนื่องจากคาดหวังผลระยะยาว โดย จขกท. ลงทุนในส่วนนี้เป็นส่วนน้อย เนื่องจากฐานภาษียังไม่เยอะครับ จขกท. จึงเน้นนำเงินไปเติบพอร์ทหุ้นเพื่อการเติบโตของพอร์ทและเครดิตภาษีเงินปันผล ครับ
เครดิตภาษีเงินปันผล
เมื่อถือหุ้น ก็ได้ปันผลจากหุ้นครับ จขกท. ถ้านำปันผลจากหุ้นมาคิดรวมในการยื่นภาษี เราจะได้รับสิทธิ์พิเศษคือ “เครดิตภาษีเงินปันผล” ครับ โดยถ้า รายได้ + ปันผล + เครดิตภาษีเงินปันผล – ลดหย่อนต่างๆ ถ้าตกฐานภาษียังไม่เยอะ จะได้ประโยชน์มากกว่า ยื่นแบบไม่รวมครับ
หลีกเลี่ยงการสร้างรายจ่ายคงที่ถาวรใหญ่ๆ
รายจ่ายคงที่ถาวรใหญ่ๆ เช่นการผ่อนรถยนต์ ผ่อนบ้าน เมื่อเรามีอัตราการผ่อนเป็นสัดส่วนที่มากเทียบกับเงินเดือนเรา จะทำให้เราออมเงินมาลงทุน ทำให้งอกเงยได้ยากขึ้นครับ ดังนั้นถ้าคิดจะสร้างรายจ่ายในส่วนนี้ควรพิจารณาถึงความจำเป็น หรือทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดครับ