วันนั้น...วันนี้...
“มาแล้วๆ กระเพราไก่ไข่ดาวร้อนๆ เลยครับ” พี่เบย์กิจกรรมตัวพ่อของออฟฟิศเรา เดินแจกกล่องข้าวให้พนักงานทุกคนที่มาช่วยกันปลูกป่าอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีน้ำตาลแกมเหลือง ซึ่งมองดูแล้วให้ความรู้สึกร้อนระอุไม่ต่างจากอุณหภูมิของอากาศในขณะนี้
เมื่อทุกคนได้อาหารกลางวัน ต่างก็แยกย้ายกันไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้ตัวที่สุดเพื่อหลบแดด ซึ่ง...ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ต้นในบริเวณนี้
ผมกับกลุ่มพนักงานที่อยู่ใกล้กันอีกสี่ห้าคน ได้ต้นมะกอกป่าเป็นที่กำบัง
“ไอ้...เนี่ย มายืนมองหน้าอยู่ได้ แบบนี้ใครจะกินลงวะ อย่างนี้มันต้องเจอแข้งขวา” เสียงเข้มของพี่วุธดังขึ้นพร้อมการกระโจนหนีออกจากใต้ร่มไม้ที่พวกเรานั่งอยู่...ของหมาจรจัดตัวหนึ่ง
“เดี๋ยวพี่วุธ เดี๋ยวพี่ อย่าไปทำมันเลย” ผมตะโกนห้ามในขณะที่เจ้าของชื่อปรี่ตามหมาตัวนั้นไป คงหมายจะประทับรอยแข้งไว้กับชายโครงเจ้าตัวสี่ขาสักหนึ่งทีจังๆ
“อะไรวะไอ้ตาล เอ็งจะมาห้ามทำไม...หมาจรจัดแบบนี้ถ้าไม่เล่นหนักๆ มีหวังตามตอแยไม่เลิกแน่” พี่วุธหันมาถามเชิงตำหนิกลายๆ แต่ก็หยุดการกระทำก่อนหน้านั้นไว้ตามคำขอของผม
“ผมว่ามันเป็นหมาแม่ลูกอ่อนนะพี่ ให้อาหารมันหน่อยมันก็คงไปแหละครับ” ดูจากเต้านมที่ย้วยเต็มท้องก็คงไม่มีใครคัดค้านคำพูดของผม
พี่วุธเองก็เช่นกัน “แล้วเอ็งจะเอาอาหารที่ไหนให้มัน”
“ข้าวกล่องผมไงพี่...ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” ผมโกหกไปอย่างนั้น... เพราะเย็นๆ ก็มีปาร์ตี้ที่โรงแรม หิ้วท้องรอสักหน่อยไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว
“ตามใจเอ็งแล้วกัน ข้าวเอ็งไม่ใช่ข้าวพี่” พี่วุธกลับไปนั่งที่เดิม ส่วนผมค่อยๆ เรียกเจ้าหมาจรจัดตัวนั้นให้ออกห่างจากจุดที่พรรคพวกกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ แล้วยกกล่องอาหารกลางวันทั้งหมดให้มันไป
...
“พี่ตาลชอบน้องหมาเหรอคะ” เสียงหวานดึงสายตาผมจากการแสดงดนตรีบนเวที หันไปมองยังเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามของโต๊ะอาหารตัวยาว ซึ่งจัดไว้ให้พนักงานร่วมทานอาหารด้วยกัน
“ก็ไม่เชิงครับ พี่รักสัตว์ทุกชนิดบนโลกใบนี้ครับ” ผมคิดว่าน้องเก๋คงถามเล่นๆ แต่ทำไม...ผมถึงได้ตอบจริงจังเสียขนาดนั้นก็ไม่รู้ หรือเพราะดาวแผนกบัญชีคนนี้...คือคนที่ผมหมายปองมาตลอด แต่ไม่เคยกล้าเข้าไปจีบเธอสักที
เธออมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถามคำถามใหม่ “แล้ว...แบบนี้ พี่ไม่เลี้ยงสัตว์เต็มบ้านเลยเหรอคะ”
“พี่...เลี้ยงแค่แมวตัวเดียวครับ”
“ชื่ออะไรเหรอคะ”
“ชื่อ...ไทสันครับ” แปลกดีเหมือนกันที่ร้อยวันพันปีผมไม่เคยได้คุยกับเก๋เลย แต่วันนี้เธอกลับเป็นฝ่ายเปิดฉากคุยก่อน จนผมแทบตั้งตัวไม่ติด
“ไทสัน!...แมวเนี่ยนะชื่อไทสัน” จะว่าไปก็คงไม่มีใครตั้งชื่อแมวแบบนี้จริงๆ นั่นแหละ ก็ไม่น่าแปลกที่เธอจะตกใจตาโตอยู่เบื้องหน้าผมอย่างนั้น
“เอ่อ...ว่าแต่ ทำไมจู่ๆ มาถามพี่เรื่องนี้ล่ะ” ในที่สุดการสนทนาก็เริ่มจากการถามของผมบ้าง
“ก็...เก๋ เมื่อกลางวันเก๋เห็นพี่ยกกล่องข้าวให้น้องหมาจรจัดตัวนั้นน่ะค่ะ ก็...ก็เลย...”
“ก็เลยอยากจีบพี่ตาล เพราะเก๋ชอบผู้ชายรักสัตว์ไงคะ” เพื่อนสาวที่นั่งติดกันกับเธอเอ่ยแทรกขึ้นในขณะเจ้าของชื่อกำลังอ้ำอึ้งอยู่
“บ้า!...แกนี่” เก๋หยิกที่แขนคนเอ่ยแทรกก่อนจะหันมาสบตาผมนิดหนึ่งและหลบตาลง นี่คงเป็นอาการเขินอายของหญิงสาว ซึ่งมันทำให้ผมอึ้งทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
“เฮ้อ...พี่ว่าเหล้ากลมนี้มันขมไปหน่อยว่ะ พวกเราย้ายไปกินกลมอื่นดีกว่า ไปๆ...พวกเรา” พี่เบย์ชวนพนักงานผู้ชายย้ายไปอีกโต๊ะ คิดว่าคงอยากเปิดทางให้ผมได้คุยกับ...สาวสวยตรงหน้า แสดงว่าทุกคนแอบดูที่ผมกับเก๋คุยกันมาตั้งแต่ต้นเลยแน่ๆ
เพื่อนสาวของเก๋คนเมื่อครู่ลุกขึ้นยืน “มีใครจะไปห้องน้ำบ้าง”
“ฉันไป”
“ฉันไปด้วย”
นั่นประไร ไม่ใช่แค่พี่เบย์และพนักงานผู้ชาย สาวๆ แผนกบัญชีก็เป็นไปด้วย
“พี่ตาล...มีรูปไทสันไหมคะ” เก๋ชวนคุยอีกครั้งและดูเธอจะเขินอายอยู่ไม่น้อย ดูท่าวันนี้ผมคงเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
“เก๋อยากดูรูปนักมวยไปทำไมเหรอครับ” ผมไม่ได้เล่นมุก แต่สมองมันคิดไม่ทัน...มานึกได้อีกทีตอนพูดจบประโยคไปแล้ว
“เก๋...หมายถึงแมวพี่น่ะค่ะ”
“อ๋อ” ผมรีบล้วงโทรศัพท์มือถืออกจากกระเป๋ากางเกงทันที เพื่อหาสิ่งที่คู่สนทนาของผมอยากจะเห็น
“แมวไทยลายเสือ...ไม่เห็นมันจะเหมือนนักมวยคนนั้นตรงไหนเลย” ไม่แน่ใจว่าเธอถามผมหรือกำลังพึมพำกับตัวเองกันแน่
“คือ...จริงๆ มันไม่ได้ชื่อไทสันเพราะเหมือนนักมวยคนนั้นหรอกครับ ตอนมันเล็กๆ เท้ามันใหญ่เหมือนใส่นวม พี่เลยตั้งชื่อนักมวยให้มันน่ะครับ” เธอจะถามผมหรือเปล่าไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ๆ คือเธอกำลังสงสัยที่มาของชื่อแมวผมอย่างแน่นอน...
วันนั้นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเก๋ สองเดือนต่อมาเราจึงแน่ใจว่ามันคือความรัก ผมจึงตัดสินใจขอคบเธอเป็นแฟน และเก๋...ก็ตอบตกลง...
วันนี้ผมกลับมานั่งที่เก่าและมีเก๋อยู่ที่เก้าอี้ตรงกันข้าม มันเหมือนเดิมไม่มีผิด...อันที่จริงมันคือวันและเวลาเดิม เดือนเดิม ปี พ.ศ. เดิม
และ...คำถามของเก๋ก็ยังเหมือนเดิม “พี่ตาลชอบน้องหมาเหรอคะ”
ผมอยากจะตอบเหมือนเดิม แต่... “ก็ไม่เชิงหรอกครับ คือ...ตอนแรกก็ไม่ชอบ แต่พอพี่มีแฟน...แบบว่าแฟนพี่เป็นคนรักสัตว์ ก็เลยกลายเป็นคนรักสัตว์เหมือนแฟนน่ะครับ” ผมจำเป็นต้องโกหก...เพื่อตัวเธอ
แววตาเก๋ดูตกใจเล็กน้อย ...บางทีมันอาจเพราะเธอกำลังข่มความรู้สึกผิดหวังเอาไว้เพื่อไม่ให้ผมจับได้ “แสดงว่าแฟนพี่ตาลต้องเป็นคนใจดีมากแน่ๆ”
รอยยิ้มหลังคำพูดนั้น ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดกว่าเดิมที่จะต้องโกหกเธอต่อไปอีก “ครับ...แฟนพี่เป็นคนใจดีมากๆ ...ถ้าไม่ใจดีพี่คงไม่เอาเป็นแฟนหรอก”
น้ำตาตกใน...คืออะไร ผมเพิ่งเข้าใจในวันนี้ ในวันที่พยายามจะบอกให้เก๋ไม่ต้องมารักมาชอบ ทั้งที่ข้างในใจของผมมันรักเธอใจจะขาด
“อยากรู้จักแฟนพี่ตาลจังเลยค่ะ” ถึงตอนนี้ผมไม่รู้ว่าข้างในใจเธอจะเป็นอย่างไร กับการตั้งใจมาสานสัมพันธ์กับผม แต่ถูกผมชิงตัดหนทางไปเสียก่อน
“ครับ...เดี๋ยววันหลังพี่พามาแนะนำนะ แต่ตอนนี้พี่ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน” ผมตัดบทและเดินออกมา เพราะรู้ว่าน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ มันถึงที่สุดจนต้องปล่อยออกมาแล้ว
แปลกนะที่เมื่อก่อนผมมีความสุขทุกครั้งที่เห็นเก๋ยิ้ม...ตอนที่เรารักกัน แต่ตอนนี้ทำไมยิ่งนึกถึงรอยยิ้มของเธอเท่าไหร่มันยิ่งทรมาน มันรู้สึกเหมือนอกข้างซ้ายไม่มีอะไรอยู่แล้ว หัวใจที่เคยอยู่ตรงนั้นเหมือนแหลกสลายลงไปไม่มีชิ้นดี
แต่มันคงดีที่สุดแล้ว...ผมคงให้เธอได้เท่านี้
เพราะอีกสามเดือนข้างหน้าผมต้องตาย ไม่สิ...ผมตายไปแล้ว ผู้คุมวิญญาณให้ผมย้อนเวลากลับมาวันนี้เพื่อแก้ไขเรื่องราวในอดีต
ผมเลือกที่จะไม่ให้เก๋รัก...มันคงดีกว่า ถ้าเธอได้พบรักกับคนอื่นที่อยู่กับเธอได้นานกว่าผม เขาคนนั้นคงทำให้เธอมีความสุขได้มากกว่าสามเดือนที่...ผมเคยมีให้
แต่ตอนนี้...ไม่มีแล้ว
********************
วันนั้น...วันนี้...
“มาแล้วๆ กระเพราไก่ไข่ดาวร้อนๆ เลยครับ” พี่เบย์กิจกรรมตัวพ่อของออฟฟิศเรา เดินแจกกล่องข้าวให้พนักงานทุกคนที่มาช่วยกันปลูกป่าอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีน้ำตาลแกมเหลือง ซึ่งมองดูแล้วให้ความรู้สึกร้อนระอุไม่ต่างจากอุณหภูมิของอากาศในขณะนี้
เมื่อทุกคนได้อาหารกลางวัน ต่างก็แยกย้ายกันไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้ตัวที่สุดเพื่อหลบแดด ซึ่ง...ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ต้นในบริเวณนี้
ผมกับกลุ่มพนักงานที่อยู่ใกล้กันอีกสี่ห้าคน ได้ต้นมะกอกป่าเป็นที่กำบัง
“ไอ้...เนี่ย มายืนมองหน้าอยู่ได้ แบบนี้ใครจะกินลงวะ อย่างนี้มันต้องเจอแข้งขวา” เสียงเข้มของพี่วุธดังขึ้นพร้อมการกระโจนหนีออกจากใต้ร่มไม้ที่พวกเรานั่งอยู่...ของหมาจรจัดตัวหนึ่ง
“เดี๋ยวพี่วุธ เดี๋ยวพี่ อย่าไปทำมันเลย” ผมตะโกนห้ามในขณะที่เจ้าของชื่อปรี่ตามหมาตัวนั้นไป คงหมายจะประทับรอยแข้งไว้กับชายโครงเจ้าตัวสี่ขาสักหนึ่งทีจังๆ
“อะไรวะไอ้ตาล เอ็งจะมาห้ามทำไม...หมาจรจัดแบบนี้ถ้าไม่เล่นหนักๆ มีหวังตามตอแยไม่เลิกแน่” พี่วุธหันมาถามเชิงตำหนิกลายๆ แต่ก็หยุดการกระทำก่อนหน้านั้นไว้ตามคำขอของผม
“ผมว่ามันเป็นหมาแม่ลูกอ่อนนะพี่ ให้อาหารมันหน่อยมันก็คงไปแหละครับ” ดูจากเต้านมที่ย้วยเต็มท้องก็คงไม่มีใครคัดค้านคำพูดของผม
พี่วุธเองก็เช่นกัน “แล้วเอ็งจะเอาอาหารที่ไหนให้มัน”
“ข้าวกล่องผมไงพี่...ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” ผมโกหกไปอย่างนั้น... เพราะเย็นๆ ก็มีปาร์ตี้ที่โรงแรม หิ้วท้องรอสักหน่อยไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว
“ตามใจเอ็งแล้วกัน ข้าวเอ็งไม่ใช่ข้าวพี่” พี่วุธกลับไปนั่งที่เดิม ส่วนผมค่อยๆ เรียกเจ้าหมาจรจัดตัวนั้นให้ออกห่างจากจุดที่พรรคพวกกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ แล้วยกกล่องอาหารกลางวันทั้งหมดให้มันไป
...
“พี่ตาลชอบน้องหมาเหรอคะ” เสียงหวานดึงสายตาผมจากการแสดงดนตรีบนเวที หันไปมองยังเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามของโต๊ะอาหารตัวยาว ซึ่งจัดไว้ให้พนักงานร่วมทานอาหารด้วยกัน
“ก็ไม่เชิงครับ พี่รักสัตว์ทุกชนิดบนโลกใบนี้ครับ” ผมคิดว่าน้องเก๋คงถามเล่นๆ แต่ทำไม...ผมถึงได้ตอบจริงจังเสียขนาดนั้นก็ไม่รู้ หรือเพราะดาวแผนกบัญชีคนนี้...คือคนที่ผมหมายปองมาตลอด แต่ไม่เคยกล้าเข้าไปจีบเธอสักที
เธออมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถามคำถามใหม่ “แล้ว...แบบนี้ พี่ไม่เลี้ยงสัตว์เต็มบ้านเลยเหรอคะ”
“พี่...เลี้ยงแค่แมวตัวเดียวครับ”
“ชื่ออะไรเหรอคะ”
“ชื่อ...ไทสันครับ” แปลกดีเหมือนกันที่ร้อยวันพันปีผมไม่เคยได้คุยกับเก๋เลย แต่วันนี้เธอกลับเป็นฝ่ายเปิดฉากคุยก่อน จนผมแทบตั้งตัวไม่ติด
“ไทสัน!...แมวเนี่ยนะชื่อไทสัน” จะว่าไปก็คงไม่มีใครตั้งชื่อแมวแบบนี้จริงๆ นั่นแหละ ก็ไม่น่าแปลกที่เธอจะตกใจตาโตอยู่เบื้องหน้าผมอย่างนั้น
“เอ่อ...ว่าแต่ ทำไมจู่ๆ มาถามพี่เรื่องนี้ล่ะ” ในที่สุดการสนทนาก็เริ่มจากการถามของผมบ้าง
“ก็...เก๋ เมื่อกลางวันเก๋เห็นพี่ยกกล่องข้าวให้น้องหมาจรจัดตัวนั้นน่ะค่ะ ก็...ก็เลย...”
“ก็เลยอยากจีบพี่ตาล เพราะเก๋ชอบผู้ชายรักสัตว์ไงคะ” เพื่อนสาวที่นั่งติดกันกับเธอเอ่ยแทรกขึ้นในขณะเจ้าของชื่อกำลังอ้ำอึ้งอยู่
“บ้า!...แกนี่” เก๋หยิกที่แขนคนเอ่ยแทรกก่อนจะหันมาสบตาผมนิดหนึ่งและหลบตาลง นี่คงเป็นอาการเขินอายของหญิงสาว ซึ่งมันทำให้ผมอึ้งทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
“เฮ้อ...พี่ว่าเหล้ากลมนี้มันขมไปหน่อยว่ะ พวกเราย้ายไปกินกลมอื่นดีกว่า ไปๆ...พวกเรา” พี่เบย์ชวนพนักงานผู้ชายย้ายไปอีกโต๊ะ คิดว่าคงอยากเปิดทางให้ผมได้คุยกับ...สาวสวยตรงหน้า แสดงว่าทุกคนแอบดูที่ผมกับเก๋คุยกันมาตั้งแต่ต้นเลยแน่ๆ
เพื่อนสาวของเก๋คนเมื่อครู่ลุกขึ้นยืน “มีใครจะไปห้องน้ำบ้าง”
“ฉันไป”
“ฉันไปด้วย”
นั่นประไร ไม่ใช่แค่พี่เบย์และพนักงานผู้ชาย สาวๆ แผนกบัญชีก็เป็นไปด้วย
“พี่ตาล...มีรูปไทสันไหมคะ” เก๋ชวนคุยอีกครั้งและดูเธอจะเขินอายอยู่ไม่น้อย ดูท่าวันนี้ผมคงเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
“เก๋อยากดูรูปนักมวยไปทำไมเหรอครับ” ผมไม่ได้เล่นมุก แต่สมองมันคิดไม่ทัน...มานึกได้อีกทีตอนพูดจบประโยคไปแล้ว
“เก๋...หมายถึงแมวพี่น่ะค่ะ”
“อ๋อ” ผมรีบล้วงโทรศัพท์มือถืออกจากกระเป๋ากางเกงทันที เพื่อหาสิ่งที่คู่สนทนาของผมอยากจะเห็น
“แมวไทยลายเสือ...ไม่เห็นมันจะเหมือนนักมวยคนนั้นตรงไหนเลย” ไม่แน่ใจว่าเธอถามผมหรือกำลังพึมพำกับตัวเองกันแน่
“คือ...จริงๆ มันไม่ได้ชื่อไทสันเพราะเหมือนนักมวยคนนั้นหรอกครับ ตอนมันเล็กๆ เท้ามันใหญ่เหมือนใส่นวม พี่เลยตั้งชื่อนักมวยให้มันน่ะครับ” เธอจะถามผมหรือเปล่าไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ๆ คือเธอกำลังสงสัยที่มาของชื่อแมวผมอย่างแน่นอน...
วันนั้นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเก๋ สองเดือนต่อมาเราจึงแน่ใจว่ามันคือความรัก ผมจึงตัดสินใจขอคบเธอเป็นแฟน และเก๋...ก็ตอบตกลง...
วันนี้ผมกลับมานั่งที่เก่าและมีเก๋อยู่ที่เก้าอี้ตรงกันข้าม มันเหมือนเดิมไม่มีผิด...อันที่จริงมันคือวันและเวลาเดิม เดือนเดิม ปี พ.ศ. เดิม
และ...คำถามของเก๋ก็ยังเหมือนเดิม “พี่ตาลชอบน้องหมาเหรอคะ”
ผมอยากจะตอบเหมือนเดิม แต่... “ก็ไม่เชิงหรอกครับ คือ...ตอนแรกก็ไม่ชอบ แต่พอพี่มีแฟน...แบบว่าแฟนพี่เป็นคนรักสัตว์ ก็เลยกลายเป็นคนรักสัตว์เหมือนแฟนน่ะครับ” ผมจำเป็นต้องโกหก...เพื่อตัวเธอ
แววตาเก๋ดูตกใจเล็กน้อย ...บางทีมันอาจเพราะเธอกำลังข่มความรู้สึกผิดหวังเอาไว้เพื่อไม่ให้ผมจับได้ “แสดงว่าแฟนพี่ตาลต้องเป็นคนใจดีมากแน่ๆ”
รอยยิ้มหลังคำพูดนั้น ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดกว่าเดิมที่จะต้องโกหกเธอต่อไปอีก “ครับ...แฟนพี่เป็นคนใจดีมากๆ ...ถ้าไม่ใจดีพี่คงไม่เอาเป็นแฟนหรอก”
น้ำตาตกใน...คืออะไร ผมเพิ่งเข้าใจในวันนี้ ในวันที่พยายามจะบอกให้เก๋ไม่ต้องมารักมาชอบ ทั้งที่ข้างในใจของผมมันรักเธอใจจะขาด
“อยากรู้จักแฟนพี่ตาลจังเลยค่ะ” ถึงตอนนี้ผมไม่รู้ว่าข้างในใจเธอจะเป็นอย่างไร กับการตั้งใจมาสานสัมพันธ์กับผม แต่ถูกผมชิงตัดหนทางไปเสียก่อน
“ครับ...เดี๋ยววันหลังพี่พามาแนะนำนะ แต่ตอนนี้พี่ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน” ผมตัดบทและเดินออกมา เพราะรู้ว่าน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ มันถึงที่สุดจนต้องปล่อยออกมาแล้ว
แปลกนะที่เมื่อก่อนผมมีความสุขทุกครั้งที่เห็นเก๋ยิ้ม...ตอนที่เรารักกัน แต่ตอนนี้ทำไมยิ่งนึกถึงรอยยิ้มของเธอเท่าไหร่มันยิ่งทรมาน มันรู้สึกเหมือนอกข้างซ้ายไม่มีอะไรอยู่แล้ว หัวใจที่เคยอยู่ตรงนั้นเหมือนแหลกสลายลงไปไม่มีชิ้นดี
แต่มันคงดีที่สุดแล้ว...ผมคงให้เธอได้เท่านี้
เพราะอีกสามเดือนข้างหน้าผมต้องตาย ไม่สิ...ผมตายไปแล้ว ผู้คุมวิญญาณให้ผมย้อนเวลากลับมาวันนี้เพื่อแก้ไขเรื่องราวในอดีต
ผมเลือกที่จะไม่ให้เก๋รัก...มันคงดีกว่า ถ้าเธอได้พบรักกับคนอื่นที่อยู่กับเธอได้นานกว่าผม เขาคนนั้นคงทำให้เธอมีความสุขได้มากกว่าสามเดือนที่...ผมเคยมีให้
แต่ตอนนี้...ไม่มีแล้ว