...ร่วมเสวนากับจ่าพิเชษฐ์ "โลกนี้เป็นของเราทุกคน เพียงแต่มันไม่เท่ากัน"......

กระทู้คำถาม
ขอย่อลงมาที่ประเทศไทยนะครับ....

การประกาศเลิกทาสและไพร่ของพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่๕  ใช่ว่าจะประกาศปุ๊บก็เลิกกันได้ปั๊บทันทีทันใด  ประเภทประกาศเสร็จมีทาสนับเรือนหมื่นหอบข้าวหอบของออกจากบ้านมูลนายของตนเป็นอิสระออกมาทำมาหากินได้   ในด้านพฤตินัย...ผมเชื่อว่ากว่าทาสจะหลุดจากการเป็นทาสตั้งเนื้อตั้งตัวจริงๆ ก็คงใช้เวลาหลายปี   ส่วนที่ตั้งตัวไม่ได้ก็คงน่าจะขออยู่เป็นข้าทาสจากเจ้านายต่อไป    และต้องไม่ลืมว่าแม้จะมีการออกพรบ.เลิกทาส   แต่ยังไม่มีพรบ.ยกเลิกบรรดาศักดิ์   ดังนั้นผมเชื่อว่าบรรดาขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยา ฯลฯ ยังคงมีทาสรับใช้ในเรือนต่อไป  และทาสส่วนหนึ่งเองก็พอใจที่จะอยู่เช่นนั้นต่อไป   เป็นทาสมาเกือบตลอดชีวิตแล้วจะให้ออกไปตั้งหลักเลี้ยงชีพในสมัยนั้นก็น่าจะลำบากอยู่บ้าง


ประเทศไทยพึ่งผ่านการเลิกทาสมาร้อยกว่าปีนี่เอง  เท่ากับหนึ่งช่วงอายุคนกับอีกครึ่งหนึ่ง.....ไม่นานเลย....คือไม่นานเลยสำหรับเหล่าทาสซึ่งต่อมาได้กลายพลเมืองส่วนใหญ่ในการที่จะก่อร่างสร้างตัวและสร้างฐานะให้ทัดเทียมคนอื่นๆ ผู้ซึ่งไม่ได้ใช้ชีวิตการเป็นทาสหรือไพร่มาก่อน  ซึ่งเขาเหล่านั้นมีโอกาสและได้รับมอบโอกาสให้ก่อร่างสร้างตัวก่อนการเลิกทาสซะอีก  เช่น บรรพบุรุษของคนจีน อินเดีย  เปอร์เซียที่มีลูกหลานกลายเป็นเจ้าสัวเต็มบ้านเต็มเมืองในตอนนี้


สถานะความเป็น “คนไทย”ที่เป็นไพร่และทาส ในยุคก่อนและหลังเลิกทาสแทบจะไม่ต่างกัน    เอาเข้าจริงๆ....ไพร่และทาส(ซึ่งเป็นคนไทย)เหล่านั้นมีสิทธิ์ในประเทศของตัวเองน้อยกว่าคนต่างชาติอย่าง จีน  พม่า อินเดีย เสียอีก    พวกคนจีน พม่า อินเดีย  ยุโรปที่เข้ามาในประเทศไทยก็ไม่ได้อยู่ในสถานะ “ทาส”   เขาเหล่านั้นก็เข้ามาทำงานได้รับค่าจ้างแรงงานเลย  แม้อาจจะต้องจ่ายให้รัฐในรูปแบบ “ผูกปี้”   และที่สำคัญ...บางกลุ่มมีสิทธิพิเศษเหนือคนไทยด้วยซ้ำ    คือหลังสนธิสัญญาเบาริ่งที่เซ็นต์สัญญาในรัชกาลที่๔    หากคนพม่า คนจีนจากฮ่องกง คนอินเดียทำผิดกฏหมายในไทยหรือมีเรื่องทะเลาะกับคนไทย   พวกเขาก็จะขึ้นศาลอังกฤษเพราะพวกเขาถือว่าอยุ่ใต้อาณัติของอังกฤษโดยไม่ได้ขึ้นศาลไทย   ถือเป็น “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ที่พวกเขาได้รับ  ต่างจากคนไทยที่เป็นทาสแทบจะไม่มีสิทธิ์อะไรหลงเหลือเลย


ดังนั้น   จุดสตาร์ทในการก่อร่างสร้างตัวของ “คนไทย” แท้ๆ ที่พึ่งจะผ่านพ้นการเลิกทาสมา   จึงล่าช้ากว่า “จุดสตาร์ท” ของบรรดาบรรพบุรุษของเจ้าสัวเมืองไทยในปัจจุบัน     นี่ยังไม่รวมถึงสิทธิ์ต่างๆ  คอนเน็กชั่น  และการเข้าถึงทรัพยากร   นอกจากจุดสตาร์ทที่แตกต่างกันแล้ว ต้นทุนทางสังคมระหว่าง “อดีตทาส” กับ “คนต่างชาติ” ในสยามในตอนนั้นแตกต่างมากมาย   และการที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้ระบบทาสมาอย่างยาวนาน   และข้อจำกัดในด้านการศึกษา  รวมถึงประสบการณ์ในการสร้างฐานะจึงแตกต่างเป็นอย่างมาก   บวกกับความ “ขยันน้อย”ของคนไทยเมื่อเปรียบเทียบกับชาวจีนและอินเดียแล้วก็ยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างฐานะกว้างขึ้นๆ


ชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาในสยามตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์หรือก่อนหน้านั้นด้วยลักษณะที่หอบ “เสื่อผืนหมอนใบ”เข้ามา    และหากจะมองแบบเห็นใจและเข้าคนไทยสักหน่อย....ก็ยังนับว่าชาวจีนเหล่านั้นโชคดีอยู่บ้างที่นอกจาก “สื่อผืนหมอนใบ” แล้วก็ยังพอมีสมบัติ  เช่นความรู้และประสบการณ์ในโลกกว้างติดตัวมาด้วย    ต่างจากไพร่และทาสไทยที่แทบจะไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยในการที่จะสร้างฐานะหลังการประกาศการเลิกทาส    ลูกหลานของ “อดีตทาส” กับลูกหลานของบรรบพบุรุษคนจีนจึงแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด     ทั้งนี้ทั้งนั้น...ก็ต้องให้เครดิตในด้านความขยันขันแข็งของบรรพบุรุษเจ้าสัวด้วยเป็นอย่างมาก

ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน  เพียงแต่มันไม่เท่ากัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่