สวัสดีครับ ผมเป็นพนักงานออฟฟิศ เป็นคนชอบท่องเที่ยว ชอบถ่ายรูปนะครับแม้จะไม่มีกล้องแพงๆ ก็ใช้กล้อง Smart Phone ถ่ายรูปนี่แหละ 555 คือผมได้ไปเที่ยวประเทศอินเดียมา ซึ่งเมืองที่ได้ไปเที่ยว ก็คือ New Delhi และ Leh Ladakh ที่หลักๆก็คือ Leh Ladakh นะครับ ก็เลยอยากแชร์รูปภาพ การรีวิวนี้อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดการเดินทาง ค่าใช้จ่ายต่างๆนะครับ แล้วก็เป็นการทำรีวิวท่องเที่ยวครั้งแรก ถ้าภาษาติดๆขัดๆก็ขอโทษด้วยครับ และภาพส่วนใหญ่จะเป็นรูปผมกับวิวนะ แฮะๆ ถือซะว่าเป็น Photo Diary ละกันนะ

IG: ping_sasiwong
ระยะเวลาท่องเที่ยวประมาณ 9 วัน คือวันที่ 10 – 18 Sep 2016 นะครับ เริ่มจากการเตรียมตัวเดินทางผมเตรียมกระเป๋าใบใหญ่มาก ตั้ง9วันแหนะ แถมอากาศที่ Leh Ladakh หนาวมาก กลางวันมีแดด อากาศเย็น แต่บางทีก็ร้อน บางทีก็กลัวจะไม่สบาย เลยทำการเตรียมทั้งเสื้อกันหนาว แว่นกันแดด แล้วก็หมวกด้วย แล้วก็ไปทำ Visa ด้วยแถวอโศก ค่าทำVisa ประมาณ 1,700 บาทมั้ง 5555
Day 1
เดินทางจากสุวรรณภูมิ ถึง New Delhi ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชม
พอไปถึงสนามบินก็หา Taxi เข้าไปที่โรงแรม เขาก็ขนกระเป๋าเราไว้บนหลังคารถ ซึ่งใบใหญ่มาก กลัวตกกลางถนนเหมือนกัน อากาศที่ New Delhi ร้อนมาก ฝุ่นเยอะมาก ที่ประเทศอินเดียเขาบีบแตรกันเป็นเรื่องปกติ เสียงคือดังมาก รู้สึกถึงความวุ่นวาย คนค่อนข้างสกปรกอ่ะ นั่งในแท็กซี่สักพัก เขาปิดแอร์แล้วเปิดกระจกอย่างไม่มีสาเหตุ ผมและพี่คือบ่นกัน (เป็นภาษาไทย) แล้วก็ถามเขาว่าปิดแอร์ทำไมอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะก็ไม่รู้ถ้าคนขับโมโหขึ้นมาเราจะรับมือได้ยังไง เหงื่อนี่ไหลเป็นน้ำตกสาลิกาเลย ระหว่างทางก็เห็นคนจรจัด ขยะ มากมาย ฮืออ ในใจตอนนั้นคือ อยากกลับบ้าน แต่ก็ทำไม่ได้ เสียงเพลง “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง” ดังก้องในหู
ถึงโรงแรมก็ เข้ามา เห้ย โรงแรมไม่ได้แย่มาก นอนได้ มีแอร์ ห้องน้ำสะอาด ในโรงแรมมีRestaurantอาจจะไม่ได้อร่อยถูกปากมากแต่ก็โอเค ดีกว่าไม่มีอะไรให้กิน แต่ที่พึ่งของผมและผองเพื่อนก็คือ ร้านอาหาร Fast Food ไก่ทอดอะไรทำนองนั้น เพราะกลัวท้องเสีย แล้วก็พอจะประทังชีวิตไปได้
Day 2
เราตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไป Taj Mahal โดยรถไฟ ซึ่งรถไฟ พอไปถึงก็นั่งรถต่อไป พอถึง Taj Mahal เราต้องต่อคิวซื้อตั๋วเขาของชาวต่างชาติก่อน แล้วก็ไปฝากของด้วย พวกกระเป๋า แต่ถุงใบเล็กๆเอาไว้ใส่มือถือ กระเป๋าตังค์ เอาเข้าไปได้ จากนั้นก็ไปเข้าแถวผ่านเครื่องตรวจซึ่งผู้หญิงกับผู้ชายเขาจะแยกแถวกัน คนคือเยอะ อากาศร้อนมาก เข้าไปก็ไปถ่ายรูป เจอสิ่งแรกก็เป็นซุ้มประตูและกำแพงรอบนอกของ Taj Mahal จะเป็นสีน้ำตาลๆ อิฐๆ สวยดี เราคนไทยมักจะมีคนอินเดียมาขอถ่ายรูปด้วยบ้าง เป็นเรื่องปกตินะ ไม่ต้องตกใจ แล้วก็ระวังกระเป๋าตัวเองด้วยนะ
เดินเข้าไปจนถึง Taj Mahal ซึ่งทำมากจากหินอ่อน สะท้อนกับแสงอาทิตย์คือแสบตามากกกกกก แต่ก็ยิ่งใหญ่สมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
อันนี้เป็นซุ้มข้างบน Tajmahal นะ ตอนถ่ายคนมองใหญ่เลย เพราะชาวบ้านเขาไม่ทำกัน ละก็ร้อนมากตาแหกแต่ก็ทน 5555
Day 3
วันนี้เดินทาง จาก New Delhi ไป Leh Ladakh ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม บินข้ามเขาหลายลูกมาก เสียวเหมือนกัน 5555 พอลงเครื่องปุ๊ป ผมหนาวประทะหน้า กับวิวทิวเขาสูง สุดลูกหูลูกตามันฟินสุด เราร้องว้าวววกันหนักมาก เขาไปที่ Airport ก็เล็กๆน่ารัก จากนั้นก็เดินทางเข้าโรงแรมไม่ไกลมากประมาณ 20 นาที จากนั้นก็นอนพัก เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพกับแรงกดอากาศ ทีแรกผมดูรีวิวมากมายเห็นว่ามีคนแพ้ความกดอากาศด้วย อาจจะต้องใช้กระป๋อง Oxygen ช่วย ซึ่งผมและเพื่อนอาจจะโชคดีที่ไม่มีใครแพ้ความกดอากาศ แต่อาจจะมีบางคนเวียนหัวนิดหน่อย แต่อาการก็ดีขึ้น ไม่มีใครอาเจียน
Day 4
เราเดินทางไปที่ Likir Monastery เดินทางด้วยรถบัสคันใหญ่ประมาณ 14 คน เดินทางผ่านเขา หน้าผา แม่น้ำ สวยงามมาก ถ่ายรูปได้ตลอดทาง วิวตลอดทางมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันในแต่ละภาพ ถ้าไม่เพลียเผลอหลับไปซะก่อนอ่านะ ทางค่อนข้างคดเคี้ยวใครกลัวเมารถก็เตรียมยาไป หรือถ้ามีผลไม้ก็ติดไปทานด้วย เราบังเอิญเจอคนขายแอปเปิ้ลข้างทางเลยซื้อมากินกันมันช่วยให้เราสดชื่นได้มากจริงๆ
มาถึง Likir Monastery ก็จะเป็นอารมณ์ Kashmir เป็นวัดแบบ ฑิเบต ภูฏาน เป็นวัดที่อยู่บนภูเขาหิน สีของวัดก็จะเป็น สีแม่สีต่างตัดกัน เช่น แดง เหลือง น้ำเงิน แล้วก็มีธงประดับ ถ่ายภาพออกมาก็จะได้สีสดมาก
จากนั้นก็เดินทางมาต่อที่ Lamayuru Monastery ก็ยังคงเป็นวัดเช่นเคย 555 ซึ่ง Lamayuru Monastery ก็เป็นวัดที่อยู่บนเขาอยู่บนผาเหมือนกัน มีค่าเข้าด้วยนะ แต่ไม่แพงๆ
วันนี้เราแต่งตัวเป็นธีมยีนส์กัน
Day 5
เราออกเดินทางแต่เช้า คราวนี้เราต้องไปพักที่อื่น2คืน เราก็ฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้กับโรงแรมที่เรานอนคืนแรก แล้วก็เอากระเป๋าใบเล็กไปเพราะพื้นที่เก็บกระเป๋ามีน้อย Road Trip เช่นเคย ซึ่งวันนี้เราจะผ่านถนนที่เขา Claim ว่าเป็น Highest Motorable Road in the World บางเว็บบอกไม่ใช่ แต่ก็ช่างเหอะ มาเที่ยวจะไปคิดไรมาก 5555 มาถ่ายรูปกัน สถานที่ชื่อว่า Khardungla Pass คือมาถึง มันมีน้ำแข็งงงงง คือหนาว ปากคือเขียว อม ม่วง อย่างเป็นธรรมชาติลงโทษ ฮ่าๆ แต่ Filter คงจะช่วยคุณได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าไม่ไหวจริงก็หันหลังถ่ายกับวิวไปนะ ผมถ่ายรูปให้พี่คือมือสั่นเพราะมันหนาวมาก ต้องรีบถ่ายรูปแล้วรีบขึ้นรถ แต่ ก่อนขึ้นรถ แวะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อยดีกว่า ไปเจอส้วม มันเป็นส้มดินหลุม บระเจ้า!! คุณต้องทำใจ มองเพดานแล้วขับถ่ายซะ 55555
เดินทางต่อไปที่ Nubra Valley เราก็ไปแวะกันที่แคมป์เล็กๆเพื่อกินข้าวกัน ก็สั่งสลัดไป กินกับน้ำพริกที่พี่พกติดมาด้วยเพราะแม่ห่อมาให้ ณ ตอนนี้มันคือสิ่งมีค่ามากกกกก เพราะเราเบื่อกลิ่นเครื่องแกงเบื่อแป้งมาก อาหารที่ประเทศอินเดีย ที่Leh จะมีแบบมังสวิรัติด้วยนะ อาหารก็จะเป็นผัก แป้ง เครื่องแกงพวกนี้ กินไปสักพักก็เอียน ถ้าวันพระ ก็งดไปเลยเนื้อสัตว์ เขาไม่ขายกันนะ พูดถึงเรื่องแคมป์ต่อ ที่นี่คนขับรถพามาผมจำชื่อไม่ได้ ก็จะเป็นเต็นท์ มีวิวภูเขา ต้นไม้ก็จะเป็นไม้ล้มลุก ใบไม้จะเล็กๆมีหนาม ถ่ายรูปเป็น Back Ground ก็สวยดี มีลาเดินเล่นด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายมา แล้วก็มีธนูให้ยิงเล่น เพลินดีที่นี่
จากนั้นก็ไปแวะวัดแต่จำไม่ได้เพราะอากาศมันมัวๆถ่ายภาพวิวไม่ชัดเลยถ่ายรูปพระพุทธรูปมา
จากนั้น เป็นที่ที่ผมชอบที่สุดในทริปนี้ ส่วนตัวเป็นคนชอบสัตว์ ชอบขี่ม้า ขี่อูฐ มาก 5555 เราไปขี่อูฐกัน ที่ Hunder Sand Dunes ซึ่งไปเจออูฐจริงๆมันตัวใหญ่มากนะ แล้วพอเราไปใกล้มันมันก็จะหงุดหงิดแล้วพ่นน้ำลายใส่เรา ฟันอูฐคือเหลืองและดำมากด้วย ฮ่าๆ เราเช่าอูฐประมาณครึ่งชั่วโมง มัดกันเป็นแถวยาวว แล้วก็เดินไปกลับบนทะเลทราย สนุกดี ปนเสียวตกจากอูฐ อ้อวันนี้เรามีธีมกันด้วยนะ เป็นธีมเขียวทหาร
จากนั้นก็ไปเช็คอินเข้าโรงแรม โรงแรมเป็นเต็นท์ มีห้องน้ำในตัวนะ แต่ไม่มีน้ำอุ่น คำถามคือ อาบน้ำมั้ย??? ไปขี่อูฐ ไปเอาหัวหนุนอูฐ ซะขนาดนั้น สุดท้ายคือ อาบดิ 5555 อากาศตอนนั้นคือหนาววมากกกก ตอนอาบน้ำก็ฉีดที่เท้าก่อน ยะเยือก บอกตรงๆ ทำใจราดหัวแล้วก็รีบอาบ อันนี้ไม่ต้องเล่าแล้วแต่ความสามารถละกาน กลางคืนโรงแรมก็มีอาหารเป็นบุฟเฟ่ห์ ไม่มีเนื้อสัตว์อีกเช่นเคย เห้อ ไปก็ทางโรงแรมก็ก่อไฟให้พวกเราเพราะไปกันเยอะ ก็ผิงไฟก็ไปคุยกันไป และก็เข้านอน
Day 6
ต่อจากเมื่อวาน เช้ามา เขามีน้ำอุ่น แบบเป็นถังมาให้ซะที ค่อยโอเคหน่อย ก็กินข้าว ถ่ายรูปเล่นกันที่แคมป์ และที่ลานก็มีธนูให้เล่นอีกแล้ว มีความนึกถึง Sims Vacation 5555 จากนั้นก็ *Road Trip again and again and again (*Repeat) มุ่งหน้าไปที่ Pangong Lake ระหว่างทางก็สวยงาม เป็นธรรมชาติมีม้า มีจามารี มีแพะภูเขา
พอมาถึง Pangong Lake เป็นที่ที่คนที่มา Leh จะต้องมาถ่ายรูปเพราะมันสวยมาก อากาศเย็นมาก น้ำก็เย็นมาก สีของภูเขา ทะเลสาบ และท้องฟ้ามันสวยจริงๆ คือถ่ายยังไงก็ได้ภาพสวยอ่ะ
จากนั้นก็ไปพักโรงแรมอีกที่นึงซึ่งใกล้ทะเลสาบ หนาวกว่าเมื่อวานอีกให้ตายเหอะ ตอนแรกที่ที่คุยไว้เป็นเต็นท์แต่เขาบอกราคามาสูงมาก เราจึงเปลี่ยนโรงแรมที่เป็นห้องปูนใกล้ๆกันเดินไปได้ ราคาถูกกว่า ที่สำคัญอุ่นกว่า เราตกลงย้ายโรงแรมกัน กินข้าว นอน
[CR] อินดี้ที่อินเดีย [INDY at INDIA] Leh Ladakh x New Delhi
IG: ping_sasiwong
ระยะเวลาท่องเที่ยวประมาณ 9 วัน คือวันที่ 10 – 18 Sep 2016 นะครับ เริ่มจากการเตรียมตัวเดินทางผมเตรียมกระเป๋าใบใหญ่มาก ตั้ง9วันแหนะ แถมอากาศที่ Leh Ladakh หนาวมาก กลางวันมีแดด อากาศเย็น แต่บางทีก็ร้อน บางทีก็กลัวจะไม่สบาย เลยทำการเตรียมทั้งเสื้อกันหนาว แว่นกันแดด แล้วก็หมวกด้วย แล้วก็ไปทำ Visa ด้วยแถวอโศก ค่าทำVisa ประมาณ 1,700 บาทมั้ง 5555
Day 1
เดินทางจากสุวรรณภูมิ ถึง New Delhi ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชม
พอไปถึงสนามบินก็หา Taxi เข้าไปที่โรงแรม เขาก็ขนกระเป๋าเราไว้บนหลังคารถ ซึ่งใบใหญ่มาก กลัวตกกลางถนนเหมือนกัน อากาศที่ New Delhi ร้อนมาก ฝุ่นเยอะมาก ที่ประเทศอินเดียเขาบีบแตรกันเป็นเรื่องปกติ เสียงคือดังมาก รู้สึกถึงความวุ่นวาย คนค่อนข้างสกปรกอ่ะ นั่งในแท็กซี่สักพัก เขาปิดแอร์แล้วเปิดกระจกอย่างไม่มีสาเหตุ ผมและพี่คือบ่นกัน (เป็นภาษาไทย) แล้วก็ถามเขาว่าปิดแอร์ทำไมอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะก็ไม่รู้ถ้าคนขับโมโหขึ้นมาเราจะรับมือได้ยังไง เหงื่อนี่ไหลเป็นน้ำตกสาลิกาเลย ระหว่างทางก็เห็นคนจรจัด ขยะ มากมาย ฮืออ ในใจตอนนั้นคือ อยากกลับบ้าน แต่ก็ทำไม่ได้ เสียงเพลง “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง” ดังก้องในหู
ถึงโรงแรมก็ เข้ามา เห้ย โรงแรมไม่ได้แย่มาก นอนได้ มีแอร์ ห้องน้ำสะอาด ในโรงแรมมีRestaurantอาจจะไม่ได้อร่อยถูกปากมากแต่ก็โอเค ดีกว่าไม่มีอะไรให้กิน แต่ที่พึ่งของผมและผองเพื่อนก็คือ ร้านอาหาร Fast Food ไก่ทอดอะไรทำนองนั้น เพราะกลัวท้องเสีย แล้วก็พอจะประทังชีวิตไปได้
Day 2
เราตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไป Taj Mahal โดยรถไฟ ซึ่งรถไฟ พอไปถึงก็นั่งรถต่อไป พอถึง Taj Mahal เราต้องต่อคิวซื้อตั๋วเขาของชาวต่างชาติก่อน แล้วก็ไปฝากของด้วย พวกกระเป๋า แต่ถุงใบเล็กๆเอาไว้ใส่มือถือ กระเป๋าตังค์ เอาเข้าไปได้ จากนั้นก็ไปเข้าแถวผ่านเครื่องตรวจซึ่งผู้หญิงกับผู้ชายเขาจะแยกแถวกัน คนคือเยอะ อากาศร้อนมาก เข้าไปก็ไปถ่ายรูป เจอสิ่งแรกก็เป็นซุ้มประตูและกำแพงรอบนอกของ Taj Mahal จะเป็นสีน้ำตาลๆ อิฐๆ สวยดี เราคนไทยมักจะมีคนอินเดียมาขอถ่ายรูปด้วยบ้าง เป็นเรื่องปกตินะ ไม่ต้องตกใจ แล้วก็ระวังกระเป๋าตัวเองด้วยนะ
เดินเข้าไปจนถึง Taj Mahal ซึ่งทำมากจากหินอ่อน สะท้อนกับแสงอาทิตย์คือแสบตามากกกกกก แต่ก็ยิ่งใหญ่สมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
อันนี้เป็นซุ้มข้างบน Tajmahal นะ ตอนถ่ายคนมองใหญ่เลย เพราะชาวบ้านเขาไม่ทำกัน ละก็ร้อนมากตาแหกแต่ก็ทน 5555
Day 3
วันนี้เดินทาง จาก New Delhi ไป Leh Ladakh ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม บินข้ามเขาหลายลูกมาก เสียวเหมือนกัน 5555 พอลงเครื่องปุ๊ป ผมหนาวประทะหน้า กับวิวทิวเขาสูง สุดลูกหูลูกตามันฟินสุด เราร้องว้าวววกันหนักมาก เขาไปที่ Airport ก็เล็กๆน่ารัก จากนั้นก็เดินทางเข้าโรงแรมไม่ไกลมากประมาณ 20 นาที จากนั้นก็นอนพัก เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพกับแรงกดอากาศ ทีแรกผมดูรีวิวมากมายเห็นว่ามีคนแพ้ความกดอากาศด้วย อาจจะต้องใช้กระป๋อง Oxygen ช่วย ซึ่งผมและเพื่อนอาจจะโชคดีที่ไม่มีใครแพ้ความกดอากาศ แต่อาจจะมีบางคนเวียนหัวนิดหน่อย แต่อาการก็ดีขึ้น ไม่มีใครอาเจียน
Day 4
เราเดินทางไปที่ Likir Monastery เดินทางด้วยรถบัสคันใหญ่ประมาณ 14 คน เดินทางผ่านเขา หน้าผา แม่น้ำ สวยงามมาก ถ่ายรูปได้ตลอดทาง วิวตลอดทางมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันในแต่ละภาพ ถ้าไม่เพลียเผลอหลับไปซะก่อนอ่านะ ทางค่อนข้างคดเคี้ยวใครกลัวเมารถก็เตรียมยาไป หรือถ้ามีผลไม้ก็ติดไปทานด้วย เราบังเอิญเจอคนขายแอปเปิ้ลข้างทางเลยซื้อมากินกันมันช่วยให้เราสดชื่นได้มากจริงๆ
มาถึง Likir Monastery ก็จะเป็นอารมณ์ Kashmir เป็นวัดแบบ ฑิเบต ภูฏาน เป็นวัดที่อยู่บนภูเขาหิน สีของวัดก็จะเป็น สีแม่สีต่างตัดกัน เช่น แดง เหลือง น้ำเงิน แล้วก็มีธงประดับ ถ่ายภาพออกมาก็จะได้สีสดมาก
จากนั้นก็เดินทางมาต่อที่ Lamayuru Monastery ก็ยังคงเป็นวัดเช่นเคย 555 ซึ่ง Lamayuru Monastery ก็เป็นวัดที่อยู่บนเขาอยู่บนผาเหมือนกัน มีค่าเข้าด้วยนะ แต่ไม่แพงๆ
วันนี้เราแต่งตัวเป็นธีมยีนส์กัน
Day 5
เราออกเดินทางแต่เช้า คราวนี้เราต้องไปพักที่อื่น2คืน เราก็ฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้กับโรงแรมที่เรานอนคืนแรก แล้วก็เอากระเป๋าใบเล็กไปเพราะพื้นที่เก็บกระเป๋ามีน้อย Road Trip เช่นเคย ซึ่งวันนี้เราจะผ่านถนนที่เขา Claim ว่าเป็น Highest Motorable Road in the World บางเว็บบอกไม่ใช่ แต่ก็ช่างเหอะ มาเที่ยวจะไปคิดไรมาก 5555 มาถ่ายรูปกัน สถานที่ชื่อว่า Khardungla Pass คือมาถึง มันมีน้ำแข็งงงงง คือหนาว ปากคือเขียว อม ม่วง อย่างเป็นธรรมชาติลงโทษ ฮ่าๆ แต่ Filter คงจะช่วยคุณได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าไม่ไหวจริงก็หันหลังถ่ายกับวิวไปนะ ผมถ่ายรูปให้พี่คือมือสั่นเพราะมันหนาวมาก ต้องรีบถ่ายรูปแล้วรีบขึ้นรถ แต่ ก่อนขึ้นรถ แวะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อยดีกว่า ไปเจอส้วม มันเป็นส้มดินหลุม บระเจ้า!! คุณต้องทำใจ มองเพดานแล้วขับถ่ายซะ 55555
เดินทางต่อไปที่ Nubra Valley เราก็ไปแวะกันที่แคมป์เล็กๆเพื่อกินข้าวกัน ก็สั่งสลัดไป กินกับน้ำพริกที่พี่พกติดมาด้วยเพราะแม่ห่อมาให้ ณ ตอนนี้มันคือสิ่งมีค่ามากกกกก เพราะเราเบื่อกลิ่นเครื่องแกงเบื่อแป้งมาก อาหารที่ประเทศอินเดีย ที่Leh จะมีแบบมังสวิรัติด้วยนะ อาหารก็จะเป็นผัก แป้ง เครื่องแกงพวกนี้ กินไปสักพักก็เอียน ถ้าวันพระ ก็งดไปเลยเนื้อสัตว์ เขาไม่ขายกันนะ พูดถึงเรื่องแคมป์ต่อ ที่นี่คนขับรถพามาผมจำชื่อไม่ได้ ก็จะเป็นเต็นท์ มีวิวภูเขา ต้นไม้ก็จะเป็นไม้ล้มลุก ใบไม้จะเล็กๆมีหนาม ถ่ายรูปเป็น Back Ground ก็สวยดี มีลาเดินเล่นด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายมา แล้วก็มีธนูให้ยิงเล่น เพลินดีที่นี่
จากนั้นก็ไปแวะวัดแต่จำไม่ได้เพราะอากาศมันมัวๆถ่ายภาพวิวไม่ชัดเลยถ่ายรูปพระพุทธรูปมา
จากนั้น เป็นที่ที่ผมชอบที่สุดในทริปนี้ ส่วนตัวเป็นคนชอบสัตว์ ชอบขี่ม้า ขี่อูฐ มาก 5555 เราไปขี่อูฐกัน ที่ Hunder Sand Dunes ซึ่งไปเจออูฐจริงๆมันตัวใหญ่มากนะ แล้วพอเราไปใกล้มันมันก็จะหงุดหงิดแล้วพ่นน้ำลายใส่เรา ฟันอูฐคือเหลืองและดำมากด้วย ฮ่าๆ เราเช่าอูฐประมาณครึ่งชั่วโมง มัดกันเป็นแถวยาวว แล้วก็เดินไปกลับบนทะเลทราย สนุกดี ปนเสียวตกจากอูฐ อ้อวันนี้เรามีธีมกันด้วยนะ เป็นธีมเขียวทหาร
จากนั้นก็ไปเช็คอินเข้าโรงแรม โรงแรมเป็นเต็นท์ มีห้องน้ำในตัวนะ แต่ไม่มีน้ำอุ่น คำถามคือ อาบน้ำมั้ย??? ไปขี่อูฐ ไปเอาหัวหนุนอูฐ ซะขนาดนั้น สุดท้ายคือ อาบดิ 5555 อากาศตอนนั้นคือหนาววมากกกก ตอนอาบน้ำก็ฉีดที่เท้าก่อน ยะเยือก บอกตรงๆ ทำใจราดหัวแล้วก็รีบอาบ อันนี้ไม่ต้องเล่าแล้วแต่ความสามารถละกาน กลางคืนโรงแรมก็มีอาหารเป็นบุฟเฟ่ห์ ไม่มีเนื้อสัตว์อีกเช่นเคย เห้อ ไปก็ทางโรงแรมก็ก่อไฟให้พวกเราเพราะไปกันเยอะ ก็ผิงไฟก็ไปคุยกันไป และก็เข้านอน
Day 6
ต่อจากเมื่อวาน เช้ามา เขามีน้ำอุ่น แบบเป็นถังมาให้ซะที ค่อยโอเคหน่อย ก็กินข้าว ถ่ายรูปเล่นกันที่แคมป์ และที่ลานก็มีธนูให้เล่นอีกแล้ว มีความนึกถึง Sims Vacation 5555 จากนั้นก็ *Road Trip again and again and again (*Repeat) มุ่งหน้าไปที่ Pangong Lake ระหว่างทางก็สวยงาม เป็นธรรมชาติมีม้า มีจามารี มีแพะภูเขา
พอมาถึง Pangong Lake เป็นที่ที่คนที่มา Leh จะต้องมาถ่ายรูปเพราะมันสวยมาก อากาศเย็นมาก น้ำก็เย็นมาก สีของภูเขา ทะเลสาบ และท้องฟ้ามันสวยจริงๆ คือถ่ายยังไงก็ได้ภาพสวยอ่ะ
จากนั้นก็ไปพักโรงแรมอีกที่นึงซึ่งใกล้ทะเลสาบ หนาวกว่าเมื่อวานอีกให้ตายเหอะ ตอนแรกที่ที่คุยไว้เป็นเต็นท์แต่เขาบอกราคามาสูงมาก เราจึงเปลี่ยนโรงแรมที่เป็นห้องปูนใกล้ๆกันเดินไปได้ ราคาถูกกว่า ที่สำคัญอุ่นกว่า เราตกลงย้ายโรงแรมกัน กินข้าว นอน