ผม:"เฮ้ย ว่าจะไปปีนเขาฟานซิปันที่เวียดนามว่ะ สูงสุดในอินโดจีนเลยนะเว้ย"
เพื่อน:"เอาจิงดิ โคตรเท่!!!"
ผม:"ใช่ปะ จะมีซักกี่คนที่จะได้กลิ่นเหงื่อของความพยายามที่คุกรุ่นออกมาจากซอกจั๊กกะแร้ตอนเดินขึ้นวะ ถึงแม้จะมีกระเช้าขึ้นไปถึงยอดก็เถอะ"
ยิ้มกระหย่องอยู่ในใจ
เพื่อน:.......................
ผม: (ยัง ยังไม่หยุด) "แล้วยิ่งเทียบราคากันแล้ว ราคาอยู่ที่ 2000 บาท กับ 900 บาท ส่วนต่างนี่ถือว่าคุ้มค่าระดับแพล็ตตินั่ม
เพื่อน:เออๆ ถ้าขึ้นกระเช้า 2000 เทียบกับเดินขึ้น 900 ก็ยังถือว่าคุ้มวะ"
ผม:"ป่าว ที่ว่า 2000 อะ เดินขึ้น ส่วน 900 น่ะขึ้นกระเช้า"
เพื่อน:".........................โง่ชิบผาย!!!!! ราคาถูกกว่าทำไมไม่ขึ้นกระเช้าวะเหนื่อยก็ไม่ต้องเหนื่อย@##$%@!#$%^$^@%#$"
สายตาแห่งความชื่นชมแปรเปลี่ยนเป็นการรุมประนามรัวๆพร้อมใจกันโดยมิได้นัดหมาย = =
การเดินทางครั้งนี้เริ่มจากเจอโปรตั๋วเครื่องบินราคามหามิตรจากเครือหางแดง บินตรงไปกลับในราคา 2300 บาท เมื่อเย้ายวนขนาดนี้ก็กดจองมาแบบไม่มีข้อมูลในหัวเลยจ้า และแน่นอน มิตรรักแฟนเพลงของนักท่องเที่ยวก็คือห้องบลูพลาเน็ตของpantip นี่แหละ ว่าแล้วก็หาข้อมูล ลุย!!!!!!
“แฉ กลโกง เวียดนาม”
“ประสบการณ์โดนแท็กซี่เวียดนาม โกง”
“ครั้งแรกและครั้งเดียว เวียดนาม”
“ใครไปเวียดนามแล้วไม่โดนโกงถือว่าไปไม่ถึง!!”
“ระวังตัว มาเฟียในเวียดนาม”
ฯลฯ
................................................................................................................................................................................
เอ๊อะ ==
ขายตั๋วเครื่องบินทิ้งยังทันมั้ย?
[DAY 1] วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2559
สนามบินดอนเมือง
และแน่นอน ราคาค่าเครื่องที่ถูกมหัศจรรย์ต้องแลกมากับเวลาสุดพิศดาร นั่นก็คือ เครื่องออกจากสนามบินดอนเมืองตั้งแต่ 7.00 น.
แหกขี้ตาตื่นขึ้นมานั่งรถข้ามจากฝั่งธนไปดอนเมืองแบบแทบละเมอเดินขึ้นรถ เท่านั้นแหละพอถึงสนามบินเห็นเรทแลกเงินปั๊ปแทบจะกระอักเลือดออกปากแบบหนังจีนกำลังภายใน และด้วยความพร้อมจัดๆ เงินก็ไม่ได้แลกมา ต้องแลกเอาที่สนามบินนี่แหละ จัดไป๊!!!
5,500 บาท => 155 USD
1,200 บาท => 650,000 ด่องเวียดนาม
รวมต้นทุนเงินไทยที่หิ้วไปรั่วไหลต่างชาติ 6,700 บาทถ้วน
เกล็ดขนมปัง
- การเดินทางจากดอนเมืองมาสนามบินนอยไบใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาทีก็ถึง ใช้เวลาพอๆกับรถติดตรงแยกมไหสวรรค์ให้ตายเถอะ
- เรื่องของความแตกต่างของเวลาไม่เป็นปัญหา เพราะว่าสามารถอนุมานใช้เวลาเดียวกับประเทศไทยได้เลย แตกต่างกันน้อยมากๆ
- การเดินทางจากไทยเข้าเวียดนามไม่ต้องเขียนใบ ตม. (Immigration card) สามารถเดินกำ Passport อาดๆไปยื่นให้พนักงาน ตม. ด้วยรอยยิ้มที่ชื่นมื่นประหนึ่งเคยรู้จักกันมาก่อนได้เลย
สนามบินนอยไบ
หลังจากนั่งเก็บคองอเข่าบนเครื่องพอให้เส้นยึดกับปวดหลังอยู่พอสังเขป เราก็จะเหาะข้ามฟ้ามาถึงสนามบินนอยไบอย่างสวัสดิภาพ ว่าแล้วก็เดินเข้าไปถามประชาสัมพันธ์ว่ารถเมล์เข้าเมืองขึ้นได้ที่ไหน(ประชาสัมพันธ์จะแนะนำให้เรานั่งแท็กซี่อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเสมือนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสหกรณ์แท็กซี่เวียดนาม แต่อย่าไปสน นึกถึงจำนวนเงินที่แลกมาแล้วใจแข็งเข้าไว้)
หลังจากเดินออกมาจากประตูสนามบินท่านจะได้รับประสบการณ์การต้อนรับเยี่ยงเซเล็ป คนขับแท็กซี่จะรุมเฮละโลมามาล้อมนักท่องเที่ยวเพื่อที่จะเสนอตัวไปส่งที่ตัวเมือง เซย์โนวและโบกมือด้วยท่านางงามแหวกฝูงชนมาให้ได้ หลังจากเดินออกมาแล้วเดินไปทางซ้าย(หันหน้าออกจากประตู)ไม่ไกลนักก็จะเจอป้ายที่บ่งบอกถึงท่ารถเมลล์วิ่งเข้าเมืองตามที่ประชาสัมพันธ์บอกอย่างชัดเจน แน่นอน โชคดีจริงๆที่อ่านจาก Pantip มาว่าสามารถนั่งรถเมลล์สาย 17 เข้าเมืองได้แบบไหลยาวๆต่อเดียวถึงด้วยราคาแค่ 8000 ด่อง เท่านั้น!!!!!
เอ๊อะ!!!!
ทำไมตรงเลข 17 มันถูกเลาะออกอะ == ทำเอาซะความมั่นใจหล่นลงมาในระดับเรี่ยดิน เวรละ นี่กะฝากความหวังกับอนาคตทั้งหมดไว้กับสาย 17 เลยนะเฮ้ย หลังจากยืนดูรถเมล์สาย 7 วิ่งเข้าวิ่งออกไปซักพักก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ละ ถ้ายังคงแน่วแน่รอสาย 17 ต่อไปสงสัยต้องได้กางเตนท์นอนตรงนี้อีกหนึ่งคืนเป็นแน่แท้ เอาวะ ตัดสินใจเดินไปถามคนขับรถเมล์สาย 7 ที่วิ่งเข้าท่ามาพอดี
ผม : "Hanoi Old Quater?"
ลุงพนักงานขับรถสัญชาติเวียดนามที่หน้าตี๋ยิ่งกว่าคนจีนพยักหน้าสวนกลับมา
และด้วยความที่เป็นคนเชื่อคนง่าย รู้ตัวอีกทีก็ก้าวขาขึ้นมาอยุ่บนรถเมลล์สาย 7 เสียแล้ว จ่ายค่าโดยสารไป 7000 ด่อง บ๊ะ ราคาใกล้เคียงกันอย่างนี้วิ่งผ่านตัวเมืองแน่นอน
ตัวรถเคลื่อนตัวออกจากสถานีอย่างช้าๆ ทิวทัศน์รอบข้างเปลี่ยนจากปูนไปสู่ทุ่งหญ้าสีเขียวอย่างแนบเนียน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตัดกลับมาสู่ตึกแถวเรียงกันอย่างแน่นขนัดพร้อมเสียงแตรรถดังโต้ตอบกันไปมา บรรากาศของเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายซึ่งไม่ต่างจากที่จินตนาการเอาไว้มากนัก แต่ทันใดนั้นอยู่ดีๆก็มีมือปริศนามาจิ๋งๆที่หัวไหล่จากทางด้านหลัง
"พี่คะ กระเป๋าบอกว่าให้ลงตรงนี้แล้วไปต่อรถเมลล์สาย 14 ต่อค่ะ"
อ่อ..........กลุ่มน้องคนไทยที่ขึ้นรถมาด้วยกันตอนอยู่ที่สนามบินนี่เอง...........................................................................................
ไอลุ๊งงงงงงงง!!!!!!!! ไหนบอกผ่าน Old quater ไงฟระ!!!!!!
เกล็ดขนมปัง

- อีกวิธีการหนึ่งที่ใช้เดินทางจากสนามบินเข้าสู่ Old quater นอกเหนือจากรถเมลล์สาย 17 (ที่วันนี้ตั้งใจฝากอนาคตไว้แล้วพังไปแบบไม่เหลือชิ้นดี) ก็คือ การนั่งรถเมลล์สาย 7 ราคา 7000 ด่อง และต่อด้วย สาย 14 ราคา 8000 ด่อง ได้ โดยให้บอกกระเป๋ารถเมลล์ไว้เพื่อที่สมุนของลุงตี๋คนนี้จะได้ช่วยบอกเราได้ว่าต้องลงไปต่อรถเมลล์ที่ป้ายไหน
- ข้อดีของการขึ้นรถเมลล์สาย 14 คือมันจะไปสุดสายที่ทะเลสาบหว่านเกี๋ยมพอดี ยืนหลับ นั่งหลับ กระโดดม้วนหน้าหลับบนรถยังไงก็ไม่เลย
- ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินนอยไบถึงทะเลสาบประมาณชั่วโมงสิบห้านาทีก็ถึงตัวเมือง
- ใกล้ทะเลสาบข้ามถนนไปทางตะวันออกข้างๆอนุเสาวรีย์จะมีป้อมสำหรับ ทัวริสอินฟอเมชั่น อยู่ครับ สำหรับใครที่จะขอแผนที่ก็น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดี แต่บอกไปงั้นแหละ เพราะมันไม่เคยเปิด!!! (หรือเปิดวันเสาอาทิตย์ผมก็ไม่แน่ใจเพราะผมไปถึงวันธรรมดา เดินผ่านตั้งหลายรอบ ก็ยังล็อคตลอดเวลา หงุดหงิดจนอยากจะทุบตู้ ==)
หลังจากนั่งตุ๊มๆต่อมๆเหลียวซ้ายแลขวามาตลอดทางแบบส่อพิรุธสุดๆ เพราะตอนถามว่าผ่าน Old quater มั้ย ตาลุงตี๋เบอร์ 14 ที่หน้าจีนยิ่งกว่าคนจีนแผ่นดินใหญ่เช่นเคยก็ตอบรับมาแค่พยักหน้าอ่อนๆเหมือนกัน...............ไม่เชื่อใจลุงแล้วเฟร้ย!!!!!!!!
ทะเลสาบหว่านเกี๋ยม
ทะเลสาบกลางเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นจุดนัดพบสุดคลาสสิคค่อนไปทางสิ้นคิดของย่าน Old quater เลยก็ว่าได้ รอบๆทะเลสาบจะเต็มไปด้วยหาบเร่แผงลอยที่พร้อมจะเดินยิ้มหวานมาขายของนักท่องเที่ยว (ซึ่งราคาแพงชิบผายเมื่อเทียบกับที่ขายด้านในตัวเมือง) รอบทะเลสาบก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายทั้งนักท่องเที่ยวและคนพื้นเมืองที่มาเดินเล่นและถ่ายรูปกัน
สะพานเทฮุค
สะพานสีแดงสดสุดแจ่มที่แทงพร้วดไปกลางน้ำสำหรับเดินข้ามไปยังวัด หง็อกเซิน และเป็นเสมือนจุดเช็คอินว่า เอ๊ย ชั้นมาถึงฮานอยแล้วนะ

และแน่นอน ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดขายของที่นี่ การขึ้นสะพานรวมไปถึงข้ามไปที่วัดไม่ฟรีแน่นอน เอาวะ ไหนๆก็มาละ เท่าไหร่เท่ากัน ตอนนี้ยังต้นทริปเงินทุนยังเหลืออีกบาน จะไปกลัวอะไร เดินกำเงินไปซื้อตั๋วพร้อมทำหน้ามั่นใจในความร่ำรวยประหนึ่งอาเสี่ยโรงสีแล้วก็ลุย!!!!
- ราคาค่าเข้า 30k ด่อง หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 50 บาท
วัดหง็อกเซิน
หลังจากผ่านด่านเก็บเงินมาได้เราก็จะมาถึงวัดหง็อกเซิน

วัดแห่งนี้เป็นที่เคารพของคนพื้นเมืองด้วย สังเกตุได้จากวันที่ผมไปก็มีคนเวียดนามเข้าไปไหว้และขอพรเป็นจำนวนมากในระดับหนึ่ง
นุ้งตะพาบผู้งั่มดาบ

มาสค็อทที่แท้จริงและเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งก็คือ "ทะเลสาบคืนดาบ" เรื่องมันมีอยู่ว่า พระเจ้าเหล่ย แห่งราชวงศ์เลย์ ได้ยืมดาบศักดิ์สิทธิ์มาขับไล่การรุกรานของจีนได้สำเร็จ ในศตวรรษที่ 15 หลังจากศึกครั้งนั้นสิ้นสุดลง พระเจ้าเหล่ยก็ได้ภายเรือมากลางน้ำเพื่อคืนดาบวิเศษ โดยได้มีน้องตะพาบมาคาบดาบวิเศษดังกล่าว ดำหายไปในทะเลสาบ ที่มาของชื่อ "ทะเลสาบคืนดาบ" ก็มีที่มาตามประการฉะนี้ โดยร่างสตาฟของนุ้งตะพาบถูกสร้างขึ้นมาในปี 1968 น้ำหนักอยู่ที่ 250 กิโลกรัม ยาว 2.1 เมตร กว้าง 1.2 เมตร .............................ตัวขนาดนี้นี่ลูกชายคนสุดท้องของกาเมร่าเรอะ!!!
เอ๊อะ!!!! เดี๋ยวนะ ไหนบอกงั่มดาบ ทำไมในรูปด้านล่างทำไหงเอาดาบพันหลังไว้อย่างนั้นอะ???
ทราพรัว หอคอยน้องเต่า

หมด...........................................................................................................ห้าสิบบาทไทย หมดไว๊ไว ครั้นจะหาอะไรทำเพื่อให้คุ้มค่าตั๋วโดยการถอดเสื้อผ้าเหลือแต่บ็อกเซอร์ลงไปว่ายน้ำเล่นในทะเลสาบก็คงจะโดนรวบเข้าลูกกรงเป็นแน่แท้ ให้ตายเถอะ สำหรับใครที่ตัดสินใจว่าจะเข้าหรือไม่เข้าดี รูปที่ผมถ่ายมาทั้งหมดนี่ก็เกือบหมดพื้นที่วัดแล้วครับ ลองตัดสินใจกันดู
โบสถ์ เซนท์ โจเซฟ

โบสถ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆไม่ห่างจากทะเลสาบเท่าไหร่นัก(ตามแผนที่) ถ้าคุณคิดว่าโบสถ์ที่เป็นอีกหนึ่งจุดขายของเมืองฮานอยจะต้องกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยผู้คนมากมายล่ะก็.......................คุณคิดถูกครึ่งนึง ลานหน้าโบสถ์มันเล๊กกกกกกกเล็กแบบสุดลิ่ม แล้วดันทะลึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายอัดๆกันเข้าไปอีก มาถ่ายรูปไม่พอ วันนั้นเจอคนมาหัดเล่นเสก็ตกับหัดจักรยานเสริมความแออัดเข้าไปอีก แค่นี้ยังแน่นไม่พอหรอไอ้หนุ่ม!!! (ตัวโบสถ์ซ่อนตัวอยู่ในถนนเล็กๆทางด้านตะวันตกของทะเลสาบครับ ดูแผนที่แล้วเดินตามไปไม่ยากเท่าไหร่ เนื่องจากในฮานอยป้ายบอกชื่อถนนถี่มากค่อยๆคลำทางกันไป
[CR] แบกเป้เที่ยวเวียดนามเหนือ(ฮานอย ซาปา เพอฟูมพาโกด้า)คนเดียวสไตล์เพื่อนไม่คบ 5 วัน 6 คืน ฉบับคลานขึ้น Fansipan
ผม:"เฮ้ย ว่าจะไปปีนเขาฟานซิปันที่เวียดนามว่ะ สูงสุดในอินโดจีนเลยนะเว้ย"
เพื่อน:"เอาจิงดิ โคตรเท่!!!"
ผม:"ใช่ปะ จะมีซักกี่คนที่จะได้กลิ่นเหงื่อของความพยายามที่คุกรุ่นออกมาจากซอกจั๊กกะแร้ตอนเดินขึ้นวะ ถึงแม้จะมีกระเช้าขึ้นไปถึงยอดก็เถอะ"
ยิ้มกระหย่องอยู่ในใจ
เพื่อน:.......................
ผม: (ยัง ยังไม่หยุด) "แล้วยิ่งเทียบราคากันแล้ว ราคาอยู่ที่ 2000 บาท กับ 900 บาท ส่วนต่างนี่ถือว่าคุ้มค่าระดับแพล็ตตินั่ม
เพื่อน:เออๆ ถ้าขึ้นกระเช้า 2000 เทียบกับเดินขึ้น 900 ก็ยังถือว่าคุ้มวะ"
ผม:"ป่าว ที่ว่า 2000 อะ เดินขึ้น ส่วน 900 น่ะขึ้นกระเช้า"
เพื่อน:".........................โง่ชิบผาย!!!!! ราคาถูกกว่าทำไมไม่ขึ้นกระเช้าวะเหนื่อยก็ไม่ต้องเหนื่อย@##$%@!#$%^$^@%#$"
สายตาแห่งความชื่นชมแปรเปลี่ยนเป็นการรุมประนามรัวๆพร้อมใจกันโดยมิได้นัดหมาย = =
การเดินทางครั้งนี้เริ่มจากเจอโปรตั๋วเครื่องบินราคามหามิตรจากเครือหางแดง บินตรงไปกลับในราคา 2300 บาท เมื่อเย้ายวนขนาดนี้ก็กดจองมาแบบไม่มีข้อมูลในหัวเลยจ้า และแน่นอน มิตรรักแฟนเพลงของนักท่องเที่ยวก็คือห้องบลูพลาเน็ตของpantip นี่แหละ ว่าแล้วก็หาข้อมูล ลุย!!!!!!
“แฉ กลโกง เวียดนาม”
“ประสบการณ์โดนแท็กซี่เวียดนาม โกง”
“ครั้งแรกและครั้งเดียว เวียดนาม”
“ใครไปเวียดนามแล้วไม่โดนโกงถือว่าไปไม่ถึง!!”
“ระวังตัว มาเฟียในเวียดนาม”
ฯลฯ
................................................................................................................................................................................
เอ๊อะ ==
ขายตั๋วเครื่องบินทิ้งยังทันมั้ย?
[DAY 1] วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2559
สนามบินดอนเมือง
และแน่นอน ราคาค่าเครื่องที่ถูกมหัศจรรย์ต้องแลกมากับเวลาสุดพิศดาร นั่นก็คือ เครื่องออกจากสนามบินดอนเมืองตั้งแต่ 7.00 น.
แหกขี้ตาตื่นขึ้นมานั่งรถข้ามจากฝั่งธนไปดอนเมืองแบบแทบละเมอเดินขึ้นรถ เท่านั้นแหละพอถึงสนามบินเห็นเรทแลกเงินปั๊ปแทบจะกระอักเลือดออกปากแบบหนังจีนกำลังภายใน และด้วยความพร้อมจัดๆ เงินก็ไม่ได้แลกมา ต้องแลกเอาที่สนามบินนี่แหละ จัดไป๊!!!
5,500 บาท => 155 USD
1,200 บาท => 650,000 ด่องเวียดนาม
รวมต้นทุนเงินไทยที่หิ้วไปรั่วไหลต่างชาติ 6,700 บาทถ้วน
เกล็ดขนมปัง
- การเดินทางจากดอนเมืองมาสนามบินนอยไบใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาทีก็ถึง ใช้เวลาพอๆกับรถติดตรงแยกมไหสวรรค์ให้ตายเถอะ
- เรื่องของความแตกต่างของเวลาไม่เป็นปัญหา เพราะว่าสามารถอนุมานใช้เวลาเดียวกับประเทศไทยได้เลย แตกต่างกันน้อยมากๆ
- การเดินทางจากไทยเข้าเวียดนามไม่ต้องเขียนใบ ตม. (Immigration card) สามารถเดินกำ Passport อาดๆไปยื่นให้พนักงาน ตม. ด้วยรอยยิ้มที่ชื่นมื่นประหนึ่งเคยรู้จักกันมาก่อนได้เลย
สนามบินนอยไบ
หลังจากนั่งเก็บคองอเข่าบนเครื่องพอให้เส้นยึดกับปวดหลังอยู่พอสังเขป เราก็จะเหาะข้ามฟ้ามาถึงสนามบินนอยไบอย่างสวัสดิภาพ ว่าแล้วก็เดินเข้าไปถามประชาสัมพันธ์ว่ารถเมล์เข้าเมืองขึ้นได้ที่ไหน(ประชาสัมพันธ์จะแนะนำให้เรานั่งแท็กซี่อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเสมือนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสหกรณ์แท็กซี่เวียดนาม แต่อย่าไปสน นึกถึงจำนวนเงินที่แลกมาแล้วใจแข็งเข้าไว้)
หลังจากเดินออกมาจากประตูสนามบินท่านจะได้รับประสบการณ์การต้อนรับเยี่ยงเซเล็ป คนขับแท็กซี่จะรุมเฮละโลมามาล้อมนักท่องเที่ยวเพื่อที่จะเสนอตัวไปส่งที่ตัวเมือง เซย์โนวและโบกมือด้วยท่านางงามแหวกฝูงชนมาให้ได้ หลังจากเดินออกมาแล้วเดินไปทางซ้าย(หันหน้าออกจากประตู)ไม่ไกลนักก็จะเจอป้ายที่บ่งบอกถึงท่ารถเมลล์วิ่งเข้าเมืองตามที่ประชาสัมพันธ์บอกอย่างชัดเจน แน่นอน โชคดีจริงๆที่อ่านจาก Pantip มาว่าสามารถนั่งรถเมลล์สาย 17 เข้าเมืองได้แบบไหลยาวๆต่อเดียวถึงด้วยราคาแค่ 8000 ด่อง เท่านั้น!!!!!
เอ๊อะ!!!!
ทำไมตรงเลข 17 มันถูกเลาะออกอะ == ทำเอาซะความมั่นใจหล่นลงมาในระดับเรี่ยดิน เวรละ นี่กะฝากความหวังกับอนาคตทั้งหมดไว้กับสาย 17 เลยนะเฮ้ย หลังจากยืนดูรถเมล์สาย 7 วิ่งเข้าวิ่งออกไปซักพักก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ละ ถ้ายังคงแน่วแน่รอสาย 17 ต่อไปสงสัยต้องได้กางเตนท์นอนตรงนี้อีกหนึ่งคืนเป็นแน่แท้ เอาวะ ตัดสินใจเดินไปถามคนขับรถเมล์สาย 7 ที่วิ่งเข้าท่ามาพอดี
ผม : "Hanoi Old Quater?"
ลุงพนักงานขับรถสัญชาติเวียดนามที่หน้าตี๋ยิ่งกว่าคนจีนพยักหน้าสวนกลับมา
และด้วยความที่เป็นคนเชื่อคนง่าย รู้ตัวอีกทีก็ก้าวขาขึ้นมาอยุ่บนรถเมลล์สาย 7 เสียแล้ว จ่ายค่าโดยสารไป 7000 ด่อง บ๊ะ ราคาใกล้เคียงกันอย่างนี้วิ่งผ่านตัวเมืองแน่นอน
ตัวรถเคลื่อนตัวออกจากสถานีอย่างช้าๆ ทิวทัศน์รอบข้างเปลี่ยนจากปูนไปสู่ทุ่งหญ้าสีเขียวอย่างแนบเนียน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตัดกลับมาสู่ตึกแถวเรียงกันอย่างแน่นขนัดพร้อมเสียงแตรรถดังโต้ตอบกันไปมา บรรากาศของเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายซึ่งไม่ต่างจากที่จินตนาการเอาไว้มากนัก แต่ทันใดนั้นอยู่ดีๆก็มีมือปริศนามาจิ๋งๆที่หัวไหล่จากทางด้านหลัง
"พี่คะ กระเป๋าบอกว่าให้ลงตรงนี้แล้วไปต่อรถเมลล์สาย 14 ต่อค่ะ"
อ่อ..........กลุ่มน้องคนไทยที่ขึ้นรถมาด้วยกันตอนอยู่ที่สนามบินนี่เอง...........................................................................................
ไอลุ๊งงงงงงงง!!!!!!!! ไหนบอกผ่าน Old quater ไงฟระ!!!!!!
เกล็ดขนมปัง
- อีกวิธีการหนึ่งที่ใช้เดินทางจากสนามบินเข้าสู่ Old quater นอกเหนือจากรถเมลล์สาย 17 (ที่วันนี้ตั้งใจฝากอนาคตไว้แล้วพังไปแบบไม่เหลือชิ้นดี) ก็คือ การนั่งรถเมลล์สาย 7 ราคา 7000 ด่อง และต่อด้วย สาย 14 ราคา 8000 ด่อง ได้ โดยให้บอกกระเป๋ารถเมลล์ไว้เพื่อที่สมุนของลุงตี๋คนนี้จะได้ช่วยบอกเราได้ว่าต้องลงไปต่อรถเมลล์ที่ป้ายไหน
- ข้อดีของการขึ้นรถเมลล์สาย 14 คือมันจะไปสุดสายที่ทะเลสาบหว่านเกี๋ยมพอดี ยืนหลับ นั่งหลับ กระโดดม้วนหน้าหลับบนรถยังไงก็ไม่เลย
- ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินนอยไบถึงทะเลสาบประมาณชั่วโมงสิบห้านาทีก็ถึงตัวเมือง
- ใกล้ทะเลสาบข้ามถนนไปทางตะวันออกข้างๆอนุเสาวรีย์จะมีป้อมสำหรับ ทัวริสอินฟอเมชั่น อยู่ครับ สำหรับใครที่จะขอแผนที่ก็น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดี แต่บอกไปงั้นแหละ เพราะมันไม่เคยเปิด!!! (หรือเปิดวันเสาอาทิตย์ผมก็ไม่แน่ใจเพราะผมไปถึงวันธรรมดา เดินผ่านตั้งหลายรอบ ก็ยังล็อคตลอดเวลา หงุดหงิดจนอยากจะทุบตู้ ==)
หลังจากนั่งตุ๊มๆต่อมๆเหลียวซ้ายแลขวามาตลอดทางแบบส่อพิรุธสุดๆ เพราะตอนถามว่าผ่าน Old quater มั้ย ตาลุงตี๋เบอร์ 14 ที่หน้าจีนยิ่งกว่าคนจีนแผ่นดินใหญ่เช่นเคยก็ตอบรับมาแค่พยักหน้าอ่อนๆเหมือนกัน...............ไม่เชื่อใจลุงแล้วเฟร้ย!!!!!!!!
ทะเลสาบหว่านเกี๋ยม
ทะเลสาบกลางเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นจุดนัดพบสุดคลาสสิคค่อนไปทางสิ้นคิดของย่าน Old quater เลยก็ว่าได้ รอบๆทะเลสาบจะเต็มไปด้วยหาบเร่แผงลอยที่พร้อมจะเดินยิ้มหวานมาขายของนักท่องเที่ยว (ซึ่งราคาแพงชิบผายเมื่อเทียบกับที่ขายด้านในตัวเมือง) รอบทะเลสาบก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายทั้งนักท่องเที่ยวและคนพื้นเมืองที่มาเดินเล่นและถ่ายรูปกัน
สะพานเทฮุค
สะพานสีแดงสดสุดแจ่มที่แทงพร้วดไปกลางน้ำสำหรับเดินข้ามไปยังวัด หง็อกเซิน และเป็นเสมือนจุดเช็คอินว่า เอ๊ย ชั้นมาถึงฮานอยแล้วนะ
และแน่นอน ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดขายของที่นี่ การขึ้นสะพานรวมไปถึงข้ามไปที่วัดไม่ฟรีแน่นอน เอาวะ ไหนๆก็มาละ เท่าไหร่เท่ากัน ตอนนี้ยังต้นทริปเงินทุนยังเหลืออีกบาน จะไปกลัวอะไร เดินกำเงินไปซื้อตั๋วพร้อมทำหน้ามั่นใจในความร่ำรวยประหนึ่งอาเสี่ยโรงสีแล้วก็ลุย!!!!
- ราคาค่าเข้า 30k ด่อง หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 50 บาท
วัดหง็อกเซิน
หลังจากผ่านด่านเก็บเงินมาได้เราก็จะมาถึงวัดหง็อกเซิน
วัดแห่งนี้เป็นที่เคารพของคนพื้นเมืองด้วย สังเกตุได้จากวันที่ผมไปก็มีคนเวียดนามเข้าไปไหว้และขอพรเป็นจำนวนมากในระดับหนึ่ง
นุ้งตะพาบผู้งั่มดาบ
มาสค็อทที่แท้จริงและเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งก็คือ "ทะเลสาบคืนดาบ" เรื่องมันมีอยู่ว่า พระเจ้าเหล่ย แห่งราชวงศ์เลย์ ได้ยืมดาบศักดิ์สิทธิ์มาขับไล่การรุกรานของจีนได้สำเร็จ ในศตวรรษที่ 15 หลังจากศึกครั้งนั้นสิ้นสุดลง พระเจ้าเหล่ยก็ได้ภายเรือมากลางน้ำเพื่อคืนดาบวิเศษ โดยได้มีน้องตะพาบมาคาบดาบวิเศษดังกล่าว ดำหายไปในทะเลสาบ ที่มาของชื่อ "ทะเลสาบคืนดาบ" ก็มีที่มาตามประการฉะนี้ โดยร่างสตาฟของนุ้งตะพาบถูกสร้างขึ้นมาในปี 1968 น้ำหนักอยู่ที่ 250 กิโลกรัม ยาว 2.1 เมตร กว้าง 1.2 เมตร .............................ตัวขนาดนี้นี่ลูกชายคนสุดท้องของกาเมร่าเรอะ!!!
เอ๊อะ!!!! เดี๋ยวนะ ไหนบอกงั่มดาบ ทำไมในรูปด้านล่างทำไหงเอาดาบพันหลังไว้อย่างนั้นอะ???
ทราพรัว หอคอยน้องเต่า
หมด...........................................................................................................ห้าสิบบาทไทย หมดไว๊ไว ครั้นจะหาอะไรทำเพื่อให้คุ้มค่าตั๋วโดยการถอดเสื้อผ้าเหลือแต่บ็อกเซอร์ลงไปว่ายน้ำเล่นในทะเลสาบก็คงจะโดนรวบเข้าลูกกรงเป็นแน่แท้ ให้ตายเถอะ สำหรับใครที่ตัดสินใจว่าจะเข้าหรือไม่เข้าดี รูปที่ผมถ่ายมาทั้งหมดนี่ก็เกือบหมดพื้นที่วัดแล้วครับ ลองตัดสินใจกันดู
โบสถ์ เซนท์ โจเซฟ
โบสถ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆไม่ห่างจากทะเลสาบเท่าไหร่นัก(ตามแผนที่) ถ้าคุณคิดว่าโบสถ์ที่เป็นอีกหนึ่งจุดขายของเมืองฮานอยจะต้องกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยผู้คนมากมายล่ะก็.......................คุณคิดถูกครึ่งนึง ลานหน้าโบสถ์มันเล๊กกกกกกกเล็กแบบสุดลิ่ม แล้วดันทะลึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายอัดๆกันเข้าไปอีก มาถ่ายรูปไม่พอ วันนั้นเจอคนมาหัดเล่นเสก็ตกับหัดจักรยานเสริมความแออัดเข้าไปอีก แค่นี้ยังแน่นไม่พอหรอไอ้หนุ่ม!!! (ตัวโบสถ์ซ่อนตัวอยู่ในถนนเล็กๆทางด้านตะวันตกของทะเลสาบครับ ดูแผนที่แล้วเดินตามไปไม่ยากเท่าไหร่ เนื่องจากในฮานอยป้ายบอกชื่อถนนถี่มากค่อยๆคลำทางกันไป
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น