เราจบปริญญาตรี และโท จากม.ธรรมศาสตร์ กลับไปทำเกษตรแบบพอเพียงที่บ้านจังหวัดอุทัยธานี ปีนี้เป็นปีที่ 5 แล้ว แนวทางการปลูกพืชแบบผสมผสาน และ กินเองด้วย เหลือก็ขาย เราเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา และเลี้ยงหมูพันธุ์พื้นเมืองด้วย และเชื่อมั่ยว่า เรากินข้าวที่เราปลูกเอง..กับมือ!!
เราศึกษาแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและปฏิบัติตาม ซึ่งบอกเลยว่า ...ได้ผล ***แต่เราก็เห็นคนที่ทำแล้วทำไม่ได้ผลเหมือนกันกับเราจาก 2 เรื่องคือ
1.
ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น : ซึ่งหากจะหาเงินอย่างพอเพียงแล้ว ต้องใช้เงินอย่างพอเพียงด้วย
แต่ส่วนใหญ่ พอลูกจะต้องเข้าเรียน หรือบางคนอยากได้รถ ก็ยอมไปกู้หนี้ยืมสิน เช่น ธกส หรือ หนี้นอกระบบ อันนี้รายรับที่พอเพียงไม่พอรายจ่าย ก็จะเริ่มไปกู้เงิน จากนั้นก็ขายที่ เช่าที่ทำนา กำไรก็จ่ายค่าเช่าหมด
2.
อุบัติเหตุทางการเงิน เช่น ญาติป่วย อุบัติเหตุที่ต้องใช้เงิน ถึงแม้จะประหยัด แต่เมื่อเงินสำรองถูกดึงไปทำเรื่องสำคัญ อันนี้รวมถึงการมีลูกเพิ่ม การเงินที่เคยพอก็เริ่มไม่พอ
ปัจจัย2 ข้อนี้ เชื่อมั่ยว่า 70% ของชาวนาเป็นหนี้ เฉลี่ยประมาณ 2 แสนบาท ทำให้ทำนายังไงก็จน จะรับแนวทางแบบพอเพียงแบบที่ต้องการก็ทำไม่ได้ ใจพวกเขาไม่แข็งพอ
ตอนนี้เราเริ่มคิดว่า
"เราต้องพอเพียงไม่ใช่แค่กับปัจจุบัน แต่เราต้องพอเพียงสำหรับอนาคตเราด้วย" เราได้ไปศึกษาแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเพิ่มเติม และพบว่า การพัฒนาตัวเองตลอดเวลาเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่แค่ปลูกผักกินเอง การทำอุตสาหกรรม โรงงาน และธุรกิจขนาดใหญ่ ก็ถือเป็นแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงได้ ไม่ใช่แค่ทำเกษตร ตราบใดที่เรามีรายรับ มากกว่ารายจ่าย มีเงินสำรอง ไม่ทำอะไรเกินตัว
ตอนนี้ครอบครัวเราเริ่มมาทำโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรของตัวเอง เพราะเรากำลังจะมีลูก และตัวเราอยากเขียนเรื่องนี้เพื่อบอกทุกคนว่า คุณทำอะไรก็พอเพียงได้ ไม่ใช่ต้องมาเป็นเกษตรกร ต้องมาปลูกข้าวกินเอง เด็กรุ่นใหม่ถ้ามาทำเกษตร ก็อย่าลืมเอาเทคโนโลยี เอาความรู้มาด้วย ไม่ใช่ทำแบบเดิมๆ ที่รุ่นพ่อ-แม่ทำ
... อย่าเข้าใจว่า
ความพอเพียงคือปลูกผักกินเองอย่างเดียว !!!
และ เพราะโลกใบนี้ ต้องการความหลากหลาย และอย่าตัดสินคนที่ทำไม่เหมือนคุณ อย่าตัดสินธุรกิจขนาดใหญ่ ว่าไม่ใช่พอเพียง เพียงเพราะเค้าทำไม่เหมือนเรา..
5 ปี ที่ลงไปทำ ไม่เสียเวลาเลย...เพราะเราเข้าใจแล้ว...แค่ไม่รู้ว่า จะให้ทุกคนเข้าใจได้อย่างไร
#เกษตรกรเพียงพอสำหรับอนาคต
... แชร์ !!! ประสบการณ์จริง ... ความพอเพียง ...
เราศึกษาแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและปฏิบัติตาม ซึ่งบอกเลยว่า ...ได้ผล ***แต่เราก็เห็นคนที่ทำแล้วทำไม่ได้ผลเหมือนกันกับเราจาก 2 เรื่องคือ
1. ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น : ซึ่งหากจะหาเงินอย่างพอเพียงแล้ว ต้องใช้เงินอย่างพอเพียงด้วย
แต่ส่วนใหญ่ พอลูกจะต้องเข้าเรียน หรือบางคนอยากได้รถ ก็ยอมไปกู้หนี้ยืมสิน เช่น ธกส หรือ หนี้นอกระบบ อันนี้รายรับที่พอเพียงไม่พอรายจ่าย ก็จะเริ่มไปกู้เงิน จากนั้นก็ขายที่ เช่าที่ทำนา กำไรก็จ่ายค่าเช่าหมด
2. อุบัติเหตุทางการเงิน เช่น ญาติป่วย อุบัติเหตุที่ต้องใช้เงิน ถึงแม้จะประหยัด แต่เมื่อเงินสำรองถูกดึงไปทำเรื่องสำคัญ อันนี้รวมถึงการมีลูกเพิ่ม การเงินที่เคยพอก็เริ่มไม่พอ
ปัจจัย2 ข้อนี้ เชื่อมั่ยว่า 70% ของชาวนาเป็นหนี้ เฉลี่ยประมาณ 2 แสนบาท ทำให้ทำนายังไงก็จน จะรับแนวทางแบบพอเพียงแบบที่ต้องการก็ทำไม่ได้ ใจพวกเขาไม่แข็งพอ
ตอนนี้เราเริ่มคิดว่า "เราต้องพอเพียงไม่ใช่แค่กับปัจจุบัน แต่เราต้องพอเพียงสำหรับอนาคตเราด้วย" เราได้ไปศึกษาแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเพิ่มเติม และพบว่า การพัฒนาตัวเองตลอดเวลาเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่แค่ปลูกผักกินเอง การทำอุตสาหกรรม โรงงาน และธุรกิจขนาดใหญ่ ก็ถือเป็นแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงได้ ไม่ใช่แค่ทำเกษตร ตราบใดที่เรามีรายรับ มากกว่ารายจ่าย มีเงินสำรอง ไม่ทำอะไรเกินตัว
ตอนนี้ครอบครัวเราเริ่มมาทำโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรของตัวเอง เพราะเรากำลังจะมีลูก และตัวเราอยากเขียนเรื่องนี้เพื่อบอกทุกคนว่า คุณทำอะไรก็พอเพียงได้ ไม่ใช่ต้องมาเป็นเกษตรกร ต้องมาปลูกข้าวกินเอง เด็กรุ่นใหม่ถ้ามาทำเกษตร ก็อย่าลืมเอาเทคโนโลยี เอาความรู้มาด้วย ไม่ใช่ทำแบบเดิมๆ ที่รุ่นพ่อ-แม่ทำ
... อย่าเข้าใจว่า ความพอเพียงคือปลูกผักกินเองอย่างเดียว !!!
และ เพราะโลกใบนี้ ต้องการความหลากหลาย และอย่าตัดสินคนที่ทำไม่เหมือนคุณ อย่าตัดสินธุรกิจขนาดใหญ่ ว่าไม่ใช่พอเพียง เพียงเพราะเค้าทำไม่เหมือนเรา..
5 ปี ที่ลงไปทำ ไม่เสียเวลาเลย...เพราะเราเข้าใจแล้ว...แค่ไม่รู้ว่า จะให้ทุกคนเข้าใจได้อย่างไร
#เกษตรกรเพียงพอสำหรับอนาคต