คอลัมน์: หุ้นส่วนประเทศไทย
หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์
ตลาดหุ้นไทย... “แมว 9 ชีวิต” ตอนจบ
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.CsiSociety.com
Add Line: @CsiSociety
เมื่อวานนี้ เราได้คุยกันไปบ้างแล้วถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย ในวันนี้ ผมจะขอพาคุณผู้อ่านมาคุยกันต่อเลย ดังนี้ครับ
ปี 2544 เหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ในสหรัฐอเมริกา
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 เมื่อผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด ในนครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เหตุการณ์นี้ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก และส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกดำดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าไม่เว้นดัชนีตลาดหุ้นไทยด้วย โดยพบว่าก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดอยู่ที่ระดับ 330 จุด หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาปิดที่ระดับ 266 จุด คิดเป็นการปรับตัวลดลงประมาณ 19%
ปี 2549 มาตรการสกัดกั้นค่าเงินบาทแข็งค่า ของธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นเหตุการณ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการสะกัดกั้นค่าเงินบาท...แข็งค่า ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลที่ ธปท. ประกาศใช้มาตรการสำรอง 30% สำหรับการนำเข้าเงินทุนระยะสั้น การประกาศมีขึ้นในตอนเย็นของวันที่ 18 ธันวาคม 2549 หลังตลาดหุ้นปิดไปแล้ว
จากนั้นเช้าวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ทันทีที่ตลาดหุ้นเปิด...บรรดาหุ้นทั้งหลายก็ดำดิ่งลงทันทีโดยดัชนีติดลบกว่า 100 จุด ก่อนจะหยุดพักการซื้อขาย 30 นาที ตลาดปิดภาคเช้าติดลบไป 83 จุด ในภาคบ่ายตลาดรูดลงไปมากสุดถึง 142.63 จุด และปิดตลาดที่ระดับ 622.14 ลดลง 108.41 จุด หรือ 14.84% ซึ่งเป็นดัชนีที่ปิดต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ในวันนั้นเพียงวันเดียวมูลค่าตลาดหุ้นไทยลดลงไปกว่า 5 แสนล้านบาท
ปี 2551 วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์
วิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมิรกาในปี 2551 เกิดจากการปัญหาการปล่อยกู้ที่ไม่มีคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตลาดทุนและตลาดเงินเป็นวงกว้าง โดยวิกฤตการณ์ดังกล่าวได้ลุกลามจากสหรัฐอเมริกาไปสู่...ยุโรป ...เข้าสู่เอเชีย ...และกระจายออกไปทั่วโลก
โดยตั้งแต่ต้นปี 2551 ต่างชาติเริ่มเทขายหุ้นในภูมิภาคเอเชียทิ้ง เพื่อนำเงินกลับไปพยุงบริษัทแม่ที่กำลังประสบปัญหา ความแรงของการเทขายยังมีอย่างต่อเนื่องเพราะความวิตกกังวลจากนักลงทุน การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องประกาศใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ เพื่อพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราวในช่วงเดือนตุลาคมในปีนั้นถึง 2 ครั้ง หลังดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแรงถึง 10% ภายในวันเดียว
วันที่ 15 กันยายน 2551 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา “เลแมน บราเดอร์ส” ขอยื่นล้มละลาย ส่งผลทางจิตวิทยาอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง และตลาดหุ้นไทยก็ได้ซึมซับรับพิษไปอย่างแสนสาหัสด้วยเช่นกัน โดยดัชนีมาแตะในระดับต่ำสุดที่ 380.05 จุด ในวันที่ 26 เดือนพฤศจิกายน ทั้งที่ในต้นปีเดียวกันนั้น ในวันที่ 2 มกราคม 2551 ดัชนีตลาดหุ้นยังปิดอยู่ที่ 842.97 จุด
หลังจากนั้นมา ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปี 2558 ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็มีความผันผวนในแต่ละปีอยู่ในระดับที่สูงมาก ตามตารางด้านล่างนี้

จากตารางจะพบว่า เราจะมีจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดรวมถึงวันที่เกิดเหตุการณ์นั้นๆขึ้น โดยในปี 2552 จะมีความผันผวนระหว่างจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดถึง 85.6% และปี 2558 จะเป็นปีที่ความผันผวนต่ำที่สุดในรอบ 8 ปีนี้คืออยู่ที่ 21.9% และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนเราจึงนำเอาความผันผวนทั้ง 8 ปี มาหาค่าเฉลี่ย (Average) ซึ่งค่าที่ได้ออกมาคือ ค่าเฉลี่ยความผันผวนทั้ง 8 ปี = 42.39%
นั่นหมายถึง ในทุกปีที่ดัชนีสูงขึ้นหรือลงมานั้น โอกาสความแตกต่างระหว่างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของดัชนีตลาดหุ้นในปีนั้นๆจะมีความแตกต่างน้อยที่สุดประมาณ 20% ความแตกต่างเฉลี่ยอยู่ที่ 40% เช่น เรากะว่าดัชนีปีนี้จะขึ้นไปสูงสุดที่ 1,700 จุด โอกาสที่เราจะได้จุดต่ำสุดที่ลดลงมา 20% ซึ่งดัชนีจะเหลือเพียง 1,360 จุด หรือกะว่าดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 1,600 จุด โอกาสที่เราะจะได้จุดต่ำสุดอาจจะลงมาถึง 1,280 จุด ก็น่าจะมีโอกาสสูงมาก เป็นต้น
จนถึงบรรทัดนี้ เราได้คุยกันไปแล้วถึงวิกฤตการณ์ที่ได้ถาโถมกระหน่ำเข้าใส่ตลาดหุ้นไทยครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ตกต่ำลงถึงขีดสุดหลายต่อหลายครั้ง เหตุการณ์ต่างๆที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วนั้น ได้พิสูจน์แล้วว่า “ตลาดหุ้นไทย...ไม่มีวันตาย” อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น ตั้งแต่วันที่เปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518 จนถึงเวลานี้ก็เป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้ว จากดัชนีวันเปิดตลาดที่ 100 จุด มาถึงปัจจุบันอาจจะประมาณ 1,500 จุด สมมุติว่าเราสามารถซื้อหุ้นที่มีราคาหุ้นขึ้นลงได้ตามดัชนีตลาด โดยลงทุน 1 ล้านบาทไปซื้อหุ้นเหล่านั้นตั้งแต่วันแรกที่เปิดตลาดและเก็บไว้จนถึงวันนี้ อะไรจะเกิดขึ้น?
เงินลงทุน 1 ล้านบาท ในปี 2518 ผ่านไปประมาณ 40 ปี
เงินก้อนนั้นก็กลายเป็นเงินจำนวน 15 ล้านบาทในวันนี้
คิดเป็นการเติบโต 1,400% ภายในระยะเวลาประมาณ 40 ปี
คิดเป็นผลตอบแทน 8.83% ต่อปี ในขณะที่คุณฝากธนาคารได้เพียง 3% ต่อปีเท่านั้น
ปัจจุบันมีกองทุนจำนวนมากมายที่มีการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเช่นเดียวกับดัชนีตลาด ซึ่งมักจะเรียกกันย่อๆว่า TDEX ซึ่งอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่มีความรู้ไม่มากนัก แต่ต้องการได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากธนาคาร และต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงให้มากที่สุด อ่านถึงบรรทัดนี้แล้ว
คุณผู้อ่าน ยังคิดที่จะ... “ฝากเงินในธนาคาร” อีกต่อไปหรือเปล่าครับ ?
ท่านที่สนใจจะอ่านตอนแรกเชิญเข้าได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยครับ
http://www.doctorwe.com/posttoday/20161121/6560
ตลาดหุ้นไทย... “แมว 9 ชีวิต” ตอนจบ หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์
คอลัมน์: หุ้นส่วนประเทศไทย
หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์
ตลาดหุ้นไทย... “แมว 9 ชีวิต” ตอนจบ
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.CsiSociety.com
Add Line: @CsiSociety
เมื่อวานนี้ เราได้คุยกันไปบ้างแล้วถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย ในวันนี้ ผมจะขอพาคุณผู้อ่านมาคุยกันต่อเลย ดังนี้ครับ
ปี 2544 เหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ในสหรัฐอเมริกา
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 เมื่อผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด ในนครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เหตุการณ์นี้ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก และส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกดำดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าไม่เว้นดัชนีตลาดหุ้นไทยด้วย โดยพบว่าก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดอยู่ที่ระดับ 330 จุด หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาปิดที่ระดับ 266 จุด คิดเป็นการปรับตัวลดลงประมาณ 19%
ปี 2549 มาตรการสกัดกั้นค่าเงินบาทแข็งค่า ของธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นเหตุการณ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการสะกัดกั้นค่าเงินบาท...แข็งค่า ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลที่ ธปท. ประกาศใช้มาตรการสำรอง 30% สำหรับการนำเข้าเงินทุนระยะสั้น การประกาศมีขึ้นในตอนเย็นของวันที่ 18 ธันวาคม 2549 หลังตลาดหุ้นปิดไปแล้ว
จากนั้นเช้าวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ทันทีที่ตลาดหุ้นเปิด...บรรดาหุ้นทั้งหลายก็ดำดิ่งลงทันทีโดยดัชนีติดลบกว่า 100 จุด ก่อนจะหยุดพักการซื้อขาย 30 นาที ตลาดปิดภาคเช้าติดลบไป 83 จุด ในภาคบ่ายตลาดรูดลงไปมากสุดถึง 142.63 จุด และปิดตลาดที่ระดับ 622.14 ลดลง 108.41 จุด หรือ 14.84% ซึ่งเป็นดัชนีที่ปิดต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ในวันนั้นเพียงวันเดียวมูลค่าตลาดหุ้นไทยลดลงไปกว่า 5 แสนล้านบาท
ปี 2551 วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์
วิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมิรกาในปี 2551 เกิดจากการปัญหาการปล่อยกู้ที่ไม่มีคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตลาดทุนและตลาดเงินเป็นวงกว้าง โดยวิกฤตการณ์ดังกล่าวได้ลุกลามจากสหรัฐอเมริกาไปสู่...ยุโรป ...เข้าสู่เอเชีย ...และกระจายออกไปทั่วโลก
โดยตั้งแต่ต้นปี 2551 ต่างชาติเริ่มเทขายหุ้นในภูมิภาคเอเชียทิ้ง เพื่อนำเงินกลับไปพยุงบริษัทแม่ที่กำลังประสบปัญหา ความแรงของการเทขายยังมีอย่างต่อเนื่องเพราะความวิตกกังวลจากนักลงทุน การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องประกาศใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ เพื่อพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราวในช่วงเดือนตุลาคมในปีนั้นถึง 2 ครั้ง หลังดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแรงถึง 10% ภายในวันเดียว
วันที่ 15 กันยายน 2551 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา “เลแมน บราเดอร์ส” ขอยื่นล้มละลาย ส่งผลทางจิตวิทยาอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง และตลาดหุ้นไทยก็ได้ซึมซับรับพิษไปอย่างแสนสาหัสด้วยเช่นกัน โดยดัชนีมาแตะในระดับต่ำสุดที่ 380.05 จุด ในวันที่ 26 เดือนพฤศจิกายน ทั้งที่ในต้นปีเดียวกันนั้น ในวันที่ 2 มกราคม 2551 ดัชนีตลาดหุ้นยังปิดอยู่ที่ 842.97 จุด
หลังจากนั้นมา ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปี 2558 ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็มีความผันผวนในแต่ละปีอยู่ในระดับที่สูงมาก ตามตารางด้านล่างนี้
จากตารางจะพบว่า เราจะมีจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดรวมถึงวันที่เกิดเหตุการณ์นั้นๆขึ้น โดยในปี 2552 จะมีความผันผวนระหว่างจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดถึง 85.6% และปี 2558 จะเป็นปีที่ความผันผวนต่ำที่สุดในรอบ 8 ปีนี้คืออยู่ที่ 21.9% และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนเราจึงนำเอาความผันผวนทั้ง 8 ปี มาหาค่าเฉลี่ย (Average) ซึ่งค่าที่ได้ออกมาคือ ค่าเฉลี่ยความผันผวนทั้ง 8 ปี = 42.39%
นั่นหมายถึง ในทุกปีที่ดัชนีสูงขึ้นหรือลงมานั้น โอกาสความแตกต่างระหว่างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของดัชนีตลาดหุ้นในปีนั้นๆจะมีความแตกต่างน้อยที่สุดประมาณ 20% ความแตกต่างเฉลี่ยอยู่ที่ 40% เช่น เรากะว่าดัชนีปีนี้จะขึ้นไปสูงสุดที่ 1,700 จุด โอกาสที่เราจะได้จุดต่ำสุดที่ลดลงมา 20% ซึ่งดัชนีจะเหลือเพียง 1,360 จุด หรือกะว่าดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 1,600 จุด โอกาสที่เราะจะได้จุดต่ำสุดอาจจะลงมาถึง 1,280 จุด ก็น่าจะมีโอกาสสูงมาก เป็นต้น
จนถึงบรรทัดนี้ เราได้คุยกันไปแล้วถึงวิกฤตการณ์ที่ได้ถาโถมกระหน่ำเข้าใส่ตลาดหุ้นไทยครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ตกต่ำลงถึงขีดสุดหลายต่อหลายครั้ง เหตุการณ์ต่างๆที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วนั้น ได้พิสูจน์แล้วว่า “ตลาดหุ้นไทย...ไม่มีวันตาย” อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น ตั้งแต่วันที่เปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518 จนถึงเวลานี้ก็เป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้ว จากดัชนีวันเปิดตลาดที่ 100 จุด มาถึงปัจจุบันอาจจะประมาณ 1,500 จุด สมมุติว่าเราสามารถซื้อหุ้นที่มีราคาหุ้นขึ้นลงได้ตามดัชนีตลาด โดยลงทุน 1 ล้านบาทไปซื้อหุ้นเหล่านั้นตั้งแต่วันแรกที่เปิดตลาดและเก็บไว้จนถึงวันนี้ อะไรจะเกิดขึ้น?
เงินลงทุน 1 ล้านบาท ในปี 2518 ผ่านไปประมาณ 40 ปี
เงินก้อนนั้นก็กลายเป็นเงินจำนวน 15 ล้านบาทในวันนี้
คิดเป็นการเติบโต 1,400% ภายในระยะเวลาประมาณ 40 ปี
คิดเป็นผลตอบแทน 8.83% ต่อปี ในขณะที่คุณฝากธนาคารได้เพียง 3% ต่อปีเท่านั้น
ปัจจุบันมีกองทุนจำนวนมากมายที่มีการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเช่นเดียวกับดัชนีตลาด ซึ่งมักจะเรียกกันย่อๆว่า TDEX ซึ่งอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่มีความรู้ไม่มากนัก แต่ต้องการได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากธนาคาร และต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงให้มากที่สุด อ่านถึงบรรทัดนี้แล้ว
คุณผู้อ่าน ยังคิดที่จะ... “ฝากเงินในธนาคาร” อีกต่อไปหรือเปล่าครับ ?
ท่านที่สนใจจะอ่านตอนแรกเชิญเข้าได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยครับ
http://www.doctorwe.com/posttoday/20161121/6560