

ไดอารี่หมอดู โดย คุณหมอพีร์ ค่ะ 


จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 59 ค่ะ

มกราคม ๒๕๕๒
สวัสดีปีฉลูค่ะ ปีใหม่ปีนี้ขอให้เป็นปีที่ทุกคนอยู่กับปัจจุบัน มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีต่อไปนะคะ อะไรที่เคยผ่านมาไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ ความโศก ความเจ็บแค้นต่าง ๆ ให้กองไว้กับอดีต อย่าไปคิดถึงมัน
บ่อย ๆ ให้ลืม ๆ ไปเลยค่ะ ลองเริ่มต้นด้วยการสูดลมหายใจเข้า หายใจออกลึก ๆ พร้อมกับหลับตา บอกกับตัวเองว่า จะขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ นับหนึ่งใหม่ เพื่อคิดดีทำดี สิ่งที่ผ่านมาจะให้กลายเป็นอดีตไป “อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วอนาคตจะดีเอง” จะทำให้มีกำลังใจมากขึ้นค่ะ
อาทิตย์นี้ไม่มีเรื่องอะไรมากนะคะ จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับบุญ ๆ มาเล่าให้ฟังค่ะ เมื่ออาทิตย์ก่อนไปทำบุญที่ป่าละอูกันมา และมีโอกาสได้ไปทำบุญที่วัดใกล้เคียง วัดนั้นอยู่กลางเขา ทางที่เข้าไปต้องใช้รถปิคอัพเท่านั้น รถเก๋งเข้าไปลำบากมาก ใช้เวลาเดินทางไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ถ้าเป็นหน้าฝนจะเข้าไปลำบากที่สุดค่ะ
วันที่ไปมีรถสองคันขับตามกันไป พอขึ้นเขาไป หนทางสลับซับซ้อน ตอนแรกตกลงกันว่าจะให้คันหน้านำทาง พอขับไปจริง ๆ ฝุ่นตลบไม่สามารถขับตามหลังกันได้ พีร์ขับเองโดยที่ไม่รู้จักทางเลย ทำให้ทิ้งระยะห่างกันเยอะมาก แต่โชคดีเมื่อวันก่อนหน้านั้นเพิ่งมีงานที่วัด จึงมีป้ายบอกทางไว้ตลอดทางไม่อย่างนั้นต้องแย่มากแน่ ๆ เลยค่ะ เพราะทางแยกระหว่างไร่นั้นเยอะมาก
ระหว่างขับรถเข้าไปใจคอยลุ้นตลอดว่าวัดจะเป็นยังไง เพราะมีคนบอกว่าวัดสวย สองข้างทางมีแต่ไร่สับปะรด พวกเราขับรถตามป้ายบอกทาง และชมวิวไร่สับปะรดที่กว้างสุดลูกหูลูกตา สลับกับทิวป่าละเมาะเล็ก ๆ จนเพลิน คนที่นั่งไปในรถก็สนุกและหัวสั่นหัวคลอนไปตาม ๆ กันด้วย เพราะระหว่างทางมีแต่หลุม ขับรถชมวิวเพลินตาเวลาผ่านไปไม่รู้ว่าเกือบชั่วโมงแล้ว ก็ถึงทางเข้าวัดพอดี
ทางเข้าวัดมีแต่ต้นสนสูงเรียงรายสองฝั่ง รู้สึกดีมาก ๆ ค่ะ ต้องขับรถลอดต้นสนที่เรียงรายข้างทางขึ้นไปบนเขา วัดนั้นตั้งอยู่ตรงกลางเขาที่สูงมากเหมือนกัน บรรยากาศร่มรื่นมากค่ะ ต้นไม้เขียวขจี ซึ่งก่อนจะถึงวัดมีแต่สวนสับปะรดค่อนข้างแห้งแล้ง ทำให้รู้สึกแตกต่างกัน
มีน้องคนหนึ่งรู้จักวัดนี้อยู่แล้ว พระอาจารย์เคยไปฉันข้าวที่ไร่ ท่านชื่อพระอาจารย์เปา พวกเราพากันเดินถือสังฆทานเข้าไปทำบุญ พอท่านเห็นพวกเราเดินเข้าไป ท่านเลยเดินลงมารับ น้องบอกว่าโชคดีมากเลยนะที่เจอท่านพอดีเพราะว่าปรกติท่านไม่ค่อยอยู่วัด ท่านจะเดินธุดงค์บ่อย พอถวายสังฆทานเสร็จท่านก็สอนวิธีการฝึกวิปัสสนาประมาณหนึ่งชั่วโมง
พวกเรารู้มาอยู่แล้วว่าเมื่อวานที่วัดมีงาน เลยถามท่านว่างานเมื่อวานเป็นงานบรรจุพระธาตุใช่ไหมคะ ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่าใช่ ท่านบอกคนมาทำบุญเยอะมาก พิธีการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คนเยอะแต่เงียบกริบไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียวเลย พระธาตุที่ท่านบรรจุนั้นอยู่บนยอดเขาสูงสุดของที่วัด พระอาจารย์บอกว่าบรรจุแล้วจะไม่ได้เปิดให้คนไปกราบ เพราะว่ามีหลวงพ่อที่ท่านปฏิบัติธรรมอยู่ข้างบน เดี๋ยวจะรบกวนท่าน
แต่ท่านบอกว่าวันนี้เห็นตั้งใจกันมาเป็นกลุ่มใหญ่จะอนุญาตให้ขึ้นไปดูข้างบนแล้วกัน เพราะยังมีคนงานก่อสร้าง ยังสร้างไม่เสร็จเลยให้เข้าไปได้ ทุกคนดีใจกันมากเพราะไม่เคยมากันเลย ท่านบอกว่าเดินกันขึ้นไปได้เลยนะ
หลังจากนั้นจึงพากันเดินขึ้นไปบนเขา พอเห็นบันไดก็ชะงักนิดหนึ่ง เพราะมันสูงมาก ๆ ประมาณสามร้อยกว่าขั้น ทุกคนร้องโอ้โห รู้สึกไม่แน่ใจว่าจะไหวไหม เพราะมีลูกชายไปด้วย เดี๋ยวต้องร้องไห้ให้อุ้มแน่เลย ค่อย ๆ พากันเดินขึ้นไปผ่านขั้นแรก ต้องหลอกให้ลูกชายนับขั้นบันได พอเขาเริ่มสนุกทีนี้เดินได้เองเลย พบพระธาตุที่ทำไว้ก่อน ตั้งอยู่ระหว่างกลางเขาสวยมาก ๆ เป็นพระธาตุที่ใหญ่มากทาด้วยสีเหลืองทอง เห็นคนกำลังเดินจงกรมรอบ ๆ ทำให้บรรยากาศดูสวยสงบขลังเข้าไปใหญ่ มองไปจิตใจตัวเองก็เกิดอาการปีติเบิกบานอนุโมทนาในการตั้งใจปฏิบัติของพวกเขาจริง ๆ
ระหว่างที่กำลังชื่นชมพระธาตุกัน พระอาจารย์เดินถือต้นไม้มาหกต้น บอกว่าจะให้เอาไปปลูกบนเขาข้างบนจะได้ทำให้ร่มรื่น เป็นต้นสาละสี่ต้น ดอกไม้สองต้น ทุกคนดีใจกันอีก รีบไปช่วยกันขนต้นไม้เพื่อเดินขึ้นไปต่อเพราะที่เดินมาเป็นแค่เศษหนึ่งส่วนสี่ของทางเท่านั้น พากันเดินต่อส่วนลูกชายก็กำลังสนุกกับการนับบันได เลยลืมเหนื่อยไปเลย เดินนำหน้าทุกคนไม่มีบ่นสักคำ เขาบอกว่ามีความสุขสนุกมากครับแม่ ดีจังแม่ไม่ต้องอุ้ม
พระอาจารย์เดินนำหน้าขึ้นไป ท่านเดินไวมาก ๆ ตามไม่ทันเลย ทุกคนงงนิด ๆ ว่าทำไมท่านเดินเร็วจัง ท่านถึงยอดแล้ว พวกเรายังอยู่ต้น ๆ ทางอยู่เลย ท่านคงเดินขึ้นไปจนชิน ร่างกายท่านแข็งแรงมากเดินลิ่วเลย พวกเรายังหอบแฮก ค่อย ๆไต่ขึ้นอยู่เลยค่ะ คงเป็นเพราะพวกเราไม่เคยมาเดินเลยไม่ชิน อีกส่วนเพราะไม่ได้ออกกำลังกายเลยเหนื่อยง่ายกลายเป็นเหมือนคนแก่ไปเลย แต่ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น พวกเราไม่ท้อถอยให้กำลังใจกันเองตลอดทาง แต่ขอบอกว่าเหนื่อยจริง ๆ แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องถึง
พอถึงยอดเขาก็ได้ดีใจกันอีกครั้งเพราะข้างบนเป็นลานกว้าง ๆ มีถ้ำที่เป็นที่ปฏิบัติธรรมด้วย มีพระพุทธรูปสององค์สวยมาก ๆ ปางนี้ไม่เคยเห็นที่อื่นเลย พอมองหน้าพระพุทธรูปจิตใจก็เบิกบานตาม กราบพระเสร็จก็เดินสำรวจพื้นที่ พบว่ามีแต่กุฏิสำหรับพระปฏิบัติธรรมประมาณห้าหกหลังได้ และพระท่านกำลังทำงานสร้างกุฏิปฏิบัติธรรมเพิ่มอีก พวกเราก็เอาต้นไม้ไปปลูกตามหลุมที่ได้ขุดไว้และช่วยกันรดน้ำต้นไม้ ทำกันคนละไม้ละมือทั้งสนุกและมีความสุขกันมาก
หลังจากปลูกต้นไม้กันเสร็จพระอาจารย์ก็พาชมพื้นที่ ท่านพาไปดูน้ำตกบนยอดเขา ตอนนั้นแอบงงนิด ๆ ว่ายอดเขาที่สูงเนี่ยะนะ น้ำจะไหลออกมาจากไหน พอเดินไปดูไม่น่าเชื่อค่ะว่าในนั้นจะมีถ้ำเล็ก ๆ น้ำหยดมาจากหินงอกหินย้อยและไหลออกมาจากรากไม้ภายในถ้ำ ตกลงมาเป็นแอ่งเล็ก ๆ ไหลลงเขาเป็นน้ำตก น้ำเย็นมาก ลองเอาใบไม้ไปรองกิน เย็นเหมือนน้ำในตู้เย็นเลยค่ะ เกิดมาไม่เคยเห็นตาน้ำ นี่เป็นครั้งแรกเลยรู้สึกทึ่งกับธรรมชาติมาก ๆ ว่าเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ ทุกคนถ่ายรูปกันใหญ่
พระอาจารย์บอกว่าที่นี่เป็นบ่อน้ำที่ไว้ใช้ทำพิธีมงคลต่าง ๆ ซึ่งตอนนั้นงานเฉลิมฉลองของในหลวง ก็นำน้ำจากที่นี่ไปทำพิธีด้วย เข้าไปสำรวจข้างในมีหินย้อยใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีกเยอะเลย ทีแรกพระอาจารย์จะให้ขึ้นไปดูพระธาตุที่บรรจุใหม่ แต่ท่านบอกว่าหลวงพ่อที่อยู่ตรงนั้นปฏิบัติธรรมอยู่และคนงานไม่ไปที่นั่นแล้ว เกรงใจว่าจะไปรบกวนท่าน เลยให้พระที่เป็นลูกศิษย์อีกรูปหนึ่งเอากล้องถ่ายรูปไปถ่ายมาให้ดูแทน พอได้เห็นแล้วสวยมาก ๆ ค่ะ
พระอาจารย์บอกว่า หินก้อนนี้ ผู้หญิงสิบคนนะที่ลากขึ้นมาบนเขา ตกใจมากเพราะหินเป็นตันเลย พระธาตุสวยงามมากเป็นหินอ่อนที่ไม่เหมือนใคร ลักษณะเป็นแร่ธาตุทองปนในแผ่น พระอาจารย์เล่าให้ฟังต่อว่า หินนี้ได้มาอย่างแปลกมาก คือมีพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งบอกให้ไปเอา ที่จังหวัดหนึ่งทางเหนือ และบอกสถานที่อยู่ของหินนี้ถูกหมด หินก้อนนี้เจ้าของโรงงานได้มา หลังจากนั้นโรงงานก็เริ่มกิจการไม่ดี ทำให้ต้องปิดกิจการไป เจ้าของพอรู้ว่าวัดจะเอามาทำที่บรรจุพระธาตุเลยตั้งใจทำมาก ๆ ติดต่อโรงกลึงทำทุกอย่างให้หมด
มีรูปให้ดูด้วยค่ะแต่ต้องเป็นครั้งหน้าแล้วกันนะคะ วันนั้นอยู่จนเย็นจึงลาพระอาจารย์กลับลงมาจากเขา ทุกคนเบิกบานมีความสุขและอิ่มเอมเปรมใจกันมากเลยค่ะ





...ไดอารี่หมอดู... โดย คุณหมอพีร์ ค่ะ ^ ^ จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 59 - 60 ค่ะ
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 59 ค่ะ
สวัสดีปีฉลูค่ะ ปีใหม่ปีนี้ขอให้เป็นปีที่ทุกคนอยู่กับปัจจุบัน มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีต่อไปนะคะ อะไรที่เคยผ่านมาไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ ความโศก ความเจ็บแค้นต่าง ๆ ให้กองไว้กับอดีต อย่าไปคิดถึงมัน
บ่อย ๆ ให้ลืม ๆ ไปเลยค่ะ ลองเริ่มต้นด้วยการสูดลมหายใจเข้า หายใจออกลึก ๆ พร้อมกับหลับตา บอกกับตัวเองว่า จะขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ นับหนึ่งใหม่ เพื่อคิดดีทำดี สิ่งที่ผ่านมาจะให้กลายเป็นอดีตไป “อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วอนาคตจะดีเอง” จะทำให้มีกำลังใจมากขึ้นค่ะ
อาทิตย์นี้ไม่มีเรื่องอะไรมากนะคะ จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับบุญ ๆ มาเล่าให้ฟังค่ะ เมื่ออาทิตย์ก่อนไปทำบุญที่ป่าละอูกันมา และมีโอกาสได้ไปทำบุญที่วัดใกล้เคียง วัดนั้นอยู่กลางเขา ทางที่เข้าไปต้องใช้รถปิคอัพเท่านั้น รถเก๋งเข้าไปลำบากมาก ใช้เวลาเดินทางไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ถ้าเป็นหน้าฝนจะเข้าไปลำบากที่สุดค่ะ
วันที่ไปมีรถสองคันขับตามกันไป พอขึ้นเขาไป หนทางสลับซับซ้อน ตอนแรกตกลงกันว่าจะให้คันหน้านำทาง พอขับไปจริง ๆ ฝุ่นตลบไม่สามารถขับตามหลังกันได้ พีร์ขับเองโดยที่ไม่รู้จักทางเลย ทำให้ทิ้งระยะห่างกันเยอะมาก แต่โชคดีเมื่อวันก่อนหน้านั้นเพิ่งมีงานที่วัด จึงมีป้ายบอกทางไว้ตลอดทางไม่อย่างนั้นต้องแย่มากแน่ ๆ เลยค่ะ เพราะทางแยกระหว่างไร่นั้นเยอะมาก
ระหว่างขับรถเข้าไปใจคอยลุ้นตลอดว่าวัดจะเป็นยังไง เพราะมีคนบอกว่าวัดสวย สองข้างทางมีแต่ไร่สับปะรด พวกเราขับรถตามป้ายบอกทาง และชมวิวไร่สับปะรดที่กว้างสุดลูกหูลูกตา สลับกับทิวป่าละเมาะเล็ก ๆ จนเพลิน คนที่นั่งไปในรถก็สนุกและหัวสั่นหัวคลอนไปตาม ๆ กันด้วย เพราะระหว่างทางมีแต่หลุม ขับรถชมวิวเพลินตาเวลาผ่านไปไม่รู้ว่าเกือบชั่วโมงแล้ว ก็ถึงทางเข้าวัดพอดี
ทางเข้าวัดมีแต่ต้นสนสูงเรียงรายสองฝั่ง รู้สึกดีมาก ๆ ค่ะ ต้องขับรถลอดต้นสนที่เรียงรายข้างทางขึ้นไปบนเขา วัดนั้นตั้งอยู่ตรงกลางเขาที่สูงมากเหมือนกัน บรรยากาศร่มรื่นมากค่ะ ต้นไม้เขียวขจี ซึ่งก่อนจะถึงวัดมีแต่สวนสับปะรดค่อนข้างแห้งแล้ง ทำให้รู้สึกแตกต่างกัน
มีน้องคนหนึ่งรู้จักวัดนี้อยู่แล้ว พระอาจารย์เคยไปฉันข้าวที่ไร่ ท่านชื่อพระอาจารย์เปา พวกเราพากันเดินถือสังฆทานเข้าไปทำบุญ พอท่านเห็นพวกเราเดินเข้าไป ท่านเลยเดินลงมารับ น้องบอกว่าโชคดีมากเลยนะที่เจอท่านพอดีเพราะว่าปรกติท่านไม่ค่อยอยู่วัด ท่านจะเดินธุดงค์บ่อย พอถวายสังฆทานเสร็จท่านก็สอนวิธีการฝึกวิปัสสนาประมาณหนึ่งชั่วโมง
พวกเรารู้มาอยู่แล้วว่าเมื่อวานที่วัดมีงาน เลยถามท่านว่างานเมื่อวานเป็นงานบรรจุพระธาตุใช่ไหมคะ ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่าใช่ ท่านบอกคนมาทำบุญเยอะมาก พิธีการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คนเยอะแต่เงียบกริบไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียวเลย พระธาตุที่ท่านบรรจุนั้นอยู่บนยอดเขาสูงสุดของที่วัด พระอาจารย์บอกว่าบรรจุแล้วจะไม่ได้เปิดให้คนไปกราบ เพราะว่ามีหลวงพ่อที่ท่านปฏิบัติธรรมอยู่ข้างบน เดี๋ยวจะรบกวนท่าน
แต่ท่านบอกว่าวันนี้เห็นตั้งใจกันมาเป็นกลุ่มใหญ่จะอนุญาตให้ขึ้นไปดูข้างบนแล้วกัน เพราะยังมีคนงานก่อสร้าง ยังสร้างไม่เสร็จเลยให้เข้าไปได้ ทุกคนดีใจกันมากเพราะไม่เคยมากันเลย ท่านบอกว่าเดินกันขึ้นไปได้เลยนะ
หลังจากนั้นจึงพากันเดินขึ้นไปบนเขา พอเห็นบันไดก็ชะงักนิดหนึ่ง เพราะมันสูงมาก ๆ ประมาณสามร้อยกว่าขั้น ทุกคนร้องโอ้โห รู้สึกไม่แน่ใจว่าจะไหวไหม เพราะมีลูกชายไปด้วย เดี๋ยวต้องร้องไห้ให้อุ้มแน่เลย ค่อย ๆ พากันเดินขึ้นไปผ่านขั้นแรก ต้องหลอกให้ลูกชายนับขั้นบันได พอเขาเริ่มสนุกทีนี้เดินได้เองเลย พบพระธาตุที่ทำไว้ก่อน ตั้งอยู่ระหว่างกลางเขาสวยมาก ๆ เป็นพระธาตุที่ใหญ่มากทาด้วยสีเหลืองทอง เห็นคนกำลังเดินจงกรมรอบ ๆ ทำให้บรรยากาศดูสวยสงบขลังเข้าไปใหญ่ มองไปจิตใจตัวเองก็เกิดอาการปีติเบิกบานอนุโมทนาในการตั้งใจปฏิบัติของพวกเขาจริง ๆ
ระหว่างที่กำลังชื่นชมพระธาตุกัน พระอาจารย์เดินถือต้นไม้มาหกต้น บอกว่าจะให้เอาไปปลูกบนเขาข้างบนจะได้ทำให้ร่มรื่น เป็นต้นสาละสี่ต้น ดอกไม้สองต้น ทุกคนดีใจกันอีก รีบไปช่วยกันขนต้นไม้เพื่อเดินขึ้นไปต่อเพราะที่เดินมาเป็นแค่เศษหนึ่งส่วนสี่ของทางเท่านั้น พากันเดินต่อส่วนลูกชายก็กำลังสนุกกับการนับบันได เลยลืมเหนื่อยไปเลย เดินนำหน้าทุกคนไม่มีบ่นสักคำ เขาบอกว่ามีความสุขสนุกมากครับแม่ ดีจังแม่ไม่ต้องอุ้ม
พระอาจารย์เดินนำหน้าขึ้นไป ท่านเดินไวมาก ๆ ตามไม่ทันเลย ทุกคนงงนิด ๆ ว่าทำไมท่านเดินเร็วจัง ท่านถึงยอดแล้ว พวกเรายังอยู่ต้น ๆ ทางอยู่เลย ท่านคงเดินขึ้นไปจนชิน ร่างกายท่านแข็งแรงมากเดินลิ่วเลย พวกเรายังหอบแฮก ค่อย ๆไต่ขึ้นอยู่เลยค่ะ คงเป็นเพราะพวกเราไม่เคยมาเดินเลยไม่ชิน อีกส่วนเพราะไม่ได้ออกกำลังกายเลยเหนื่อยง่ายกลายเป็นเหมือนคนแก่ไปเลย แต่ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น พวกเราไม่ท้อถอยให้กำลังใจกันเองตลอดทาง แต่ขอบอกว่าเหนื่อยจริง ๆ แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องถึง
พอถึงยอดเขาก็ได้ดีใจกันอีกครั้งเพราะข้างบนเป็นลานกว้าง ๆ มีถ้ำที่เป็นที่ปฏิบัติธรรมด้วย มีพระพุทธรูปสององค์สวยมาก ๆ ปางนี้ไม่เคยเห็นที่อื่นเลย พอมองหน้าพระพุทธรูปจิตใจก็เบิกบานตาม กราบพระเสร็จก็เดินสำรวจพื้นที่ พบว่ามีแต่กุฏิสำหรับพระปฏิบัติธรรมประมาณห้าหกหลังได้ และพระท่านกำลังทำงานสร้างกุฏิปฏิบัติธรรมเพิ่มอีก พวกเราก็เอาต้นไม้ไปปลูกตามหลุมที่ได้ขุดไว้และช่วยกันรดน้ำต้นไม้ ทำกันคนละไม้ละมือทั้งสนุกและมีความสุขกันมาก
หลังจากปลูกต้นไม้กันเสร็จพระอาจารย์ก็พาชมพื้นที่ ท่านพาไปดูน้ำตกบนยอดเขา ตอนนั้นแอบงงนิด ๆ ว่ายอดเขาที่สูงเนี่ยะนะ น้ำจะไหลออกมาจากไหน พอเดินไปดูไม่น่าเชื่อค่ะว่าในนั้นจะมีถ้ำเล็ก ๆ น้ำหยดมาจากหินงอกหินย้อยและไหลออกมาจากรากไม้ภายในถ้ำ ตกลงมาเป็นแอ่งเล็ก ๆ ไหลลงเขาเป็นน้ำตก น้ำเย็นมาก ลองเอาใบไม้ไปรองกิน เย็นเหมือนน้ำในตู้เย็นเลยค่ะ เกิดมาไม่เคยเห็นตาน้ำ นี่เป็นครั้งแรกเลยรู้สึกทึ่งกับธรรมชาติมาก ๆ ว่าเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ ทุกคนถ่ายรูปกันใหญ่
พระอาจารย์บอกว่าที่นี่เป็นบ่อน้ำที่ไว้ใช้ทำพิธีมงคลต่าง ๆ ซึ่งตอนนั้นงานเฉลิมฉลองของในหลวง ก็นำน้ำจากที่นี่ไปทำพิธีด้วย เข้าไปสำรวจข้างในมีหินย้อยใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีกเยอะเลย ทีแรกพระอาจารย์จะให้ขึ้นไปดูพระธาตุที่บรรจุใหม่ แต่ท่านบอกว่าหลวงพ่อที่อยู่ตรงนั้นปฏิบัติธรรมอยู่และคนงานไม่ไปที่นั่นแล้ว เกรงใจว่าจะไปรบกวนท่าน เลยให้พระที่เป็นลูกศิษย์อีกรูปหนึ่งเอากล้องถ่ายรูปไปถ่ายมาให้ดูแทน พอได้เห็นแล้วสวยมาก ๆ ค่ะ
พระอาจารย์บอกว่า หินก้อนนี้ ผู้หญิงสิบคนนะที่ลากขึ้นมาบนเขา ตกใจมากเพราะหินเป็นตันเลย พระธาตุสวยงามมากเป็นหินอ่อนที่ไม่เหมือนใคร ลักษณะเป็นแร่ธาตุทองปนในแผ่น พระอาจารย์เล่าให้ฟังต่อว่า หินนี้ได้มาอย่างแปลกมาก คือมีพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งบอกให้ไปเอา ที่จังหวัดหนึ่งทางเหนือ และบอกสถานที่อยู่ของหินนี้ถูกหมด หินก้อนนี้เจ้าของโรงงานได้มา หลังจากนั้นโรงงานก็เริ่มกิจการไม่ดี ทำให้ต้องปิดกิจการไป เจ้าของพอรู้ว่าวัดจะเอามาทำที่บรรจุพระธาตุเลยตั้งใจทำมาก ๆ ติดต่อโรงกลึงทำทุกอย่างให้หมด
มีรูปให้ดูด้วยค่ะแต่ต้องเป็นครั้งหน้าแล้วกันนะคะ วันนั้นอยู่จนเย็นจึงลาพระอาจารย์กลับลงมาจากเขา ทุกคนเบิกบานมีความสุขและอิ่มเอมเปรมใจกันมากเลยค่ะ