คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
อ่านแล้วก็งงงง
ลองอธิบายจากความเข้าใจ(ที่อาจจะผิดก็ได้)
1.ถามตัวเองก่อนว่า รู้จักค่าเช่าไหม?
2.(ผมคิดของผมว่า) ค่าเช่า เกิดจาก"อะไร"ที่เราไม่ได้ใช้ เราก็เอา"อะไร"นั้นมาหา"ผลประโยชน์" โดยที่ไอ้เจ้า"อะไร"นั้นก็ยังอยู่กับเรา เช่น บ้านที่เราไม่ได้อยู่ เราก็ให้เขาเช่า เราก็ได้เงินที่เราเรียกว่า"ค่าเช่า"
3.ค่าเช่าในข้อ 3. เราเรียกกันทั่วไปว่า ค่าเช่าปกติๆ
4.มันมีของบางอย่างที่เราๆท่านๆไปให้"ค่า"กับมัน นอกจากให้ค่ากับมันแล้ว พอจะใช้มัน เราๆท่านๆก็ต้อง"จ่าย"ให้"ค่า"ของสิ่งนั้นซะด้วยสิ
- เช่น เราไปจ้างนักร้องจาก รร.จ่านกร้อง เราจะจ่ายค่าตัว 10,000 บาท แต่พอเราไปจ้างนักร้องอย่างก๊อต-จักรพันธ์ เรากลับต้องจ่าย 100,000 บาท ===== แพงกว่า 90,000 บาท ตรงนี้แหละที่เราให้"ค่า"
- เช่น เราไปซื้อแสตมป์มูลค่า 3 บาท เพื่อส่งจดหมาย เทียบกับแสตมป์ชุดฉลอง"รัชดาภิเษก"ราคาที่ตราไว้ 3 บาท แต่เราจ่ายไป 10,000 บาท ===== แพงกว่า 9,997 บาท ตรงนี้แหละที่เราให้"ค่า"
5.ที่เรา"จ่าย"ให้"ค่า"ของสิ่งนั้น เป็นการให้แบบ"ครั้งคราว" คือ ไม่ได้เอาของสิ่งนั้นมาครอบครองยาว .... ดังนั้นการที่เรา"จ่าย"ให้"ค่า"ของสิ่งนั้น ก็เหมือนกับการจ่าย"ค่าเช่า" -- ดั่งนี้ เราจึงเรียกว่า"ค่าเช่าทางเศรษฐกิจ"
Economics Rent)
6."อะไร"บางอย่างจะมี"ค่า"ที่ติดตัวไปเรื่อยๆ เช่น วัตถุโบราณ เราไปหยุดเวลาไม่ได้ วัตถุนั้นก็จะมีค่าเพิ่มไปเรื่อยๆ
"อะไร"บางอย่างจะมี"ค่า"ที่ติดตัวแบบจำกัดเวลา เช่น ชื่อเสียง (วันนี้ชื่อดัง วันหน้าอาจชื่อดับ)
7.จาก"ค่า"ที่ติดตัวแบบจำกัดเวลา ... ผู้ที่ครอบครอง"อะไร"นั้น ก็อยากจะหาวิธีที่จะกอบโกยจาก"ค่า"นั้น
8.จึงเกิดนวัตกรรมที่เรารู้จักกันว่า ในช่วงเวลานี้ หากเราๆท่านๆจะใช้สิ่งนี้ จะต้อง"จ่าย"เพื่อ"ค่า"ของสิ่งนั้น ต่อเมื่อเวลาผ่านไป "ค่า"ของสิ่งนั้นอาจจะลดลงจนเป็นศูนย์ หากเราๆท่านๆจะใช้สิ่งนี้ จะไม่ต้อง"จ่าย"เพื่อ"ค่า"ของสิ่งนั้นแล้ว
9.ตัวอย่างของนวัตกรรมที่ว่า ก็เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เป็นต้น
10.ที่ว่ามาในข้อ 6.-10. จึงเรียกรวมๆว่า ค่าเช่าระยะยสั้นหรือกึ่งค่าเช่า(Quasi Ren)
โปรดอ่าน และพิจารณาก่อนเชื่อ เพราะนี่ เป็นความเข้าใจส่วนตัวของผู้ตอบเพียงคนเดียว!
ลองอธิบายจากความเข้าใจ(ที่อาจจะผิดก็ได้)
1.ถามตัวเองก่อนว่า รู้จักค่าเช่าไหม?
2.(ผมคิดของผมว่า) ค่าเช่า เกิดจาก"อะไร"ที่เราไม่ได้ใช้ เราก็เอา"อะไร"นั้นมาหา"ผลประโยชน์" โดยที่ไอ้เจ้า"อะไร"นั้นก็ยังอยู่กับเรา เช่น บ้านที่เราไม่ได้อยู่ เราก็ให้เขาเช่า เราก็ได้เงินที่เราเรียกว่า"ค่าเช่า"
3.ค่าเช่าในข้อ 3. เราเรียกกันทั่วไปว่า ค่าเช่าปกติๆ
4.มันมีของบางอย่างที่เราๆท่านๆไปให้"ค่า"กับมัน นอกจากให้ค่ากับมันแล้ว พอจะใช้มัน เราๆท่านๆก็ต้อง"จ่าย"ให้"ค่า"ของสิ่งนั้นซะด้วยสิ
- เช่น เราไปจ้างนักร้องจาก รร.จ่านกร้อง เราจะจ่ายค่าตัว 10,000 บาท แต่พอเราไปจ้างนักร้องอย่างก๊อต-จักรพันธ์ เรากลับต้องจ่าย 100,000 บาท ===== แพงกว่า 90,000 บาท ตรงนี้แหละที่เราให้"ค่า"
- เช่น เราไปซื้อแสตมป์มูลค่า 3 บาท เพื่อส่งจดหมาย เทียบกับแสตมป์ชุดฉลอง"รัชดาภิเษก"ราคาที่ตราไว้ 3 บาท แต่เราจ่ายไป 10,000 บาท ===== แพงกว่า 9,997 บาท ตรงนี้แหละที่เราให้"ค่า"
5.ที่เรา"จ่าย"ให้"ค่า"ของสิ่งนั้น เป็นการให้แบบ"ครั้งคราว" คือ ไม่ได้เอาของสิ่งนั้นมาครอบครองยาว .... ดังนั้นการที่เรา"จ่าย"ให้"ค่า"ของสิ่งนั้น ก็เหมือนกับการจ่าย"ค่าเช่า" -- ดั่งนี้ เราจึงเรียกว่า"ค่าเช่าทางเศรษฐกิจ"
6."อะไร"บางอย่างจะมี"ค่า"ที่ติดตัวไปเรื่อยๆ เช่น วัตถุโบราณ เราไปหยุดเวลาไม่ได้ วัตถุนั้นก็จะมีค่าเพิ่มไปเรื่อยๆ
"อะไร"บางอย่างจะมี"ค่า"ที่ติดตัวแบบจำกัดเวลา เช่น ชื่อเสียง (วันนี้ชื่อดัง วันหน้าอาจชื่อดับ)
7.จาก"ค่า"ที่ติดตัวแบบจำกัดเวลา ... ผู้ที่ครอบครอง"อะไร"นั้น ก็อยากจะหาวิธีที่จะกอบโกยจาก"ค่า"นั้น
8.จึงเกิดนวัตกรรมที่เรารู้จักกันว่า ในช่วงเวลานี้ หากเราๆท่านๆจะใช้สิ่งนี้ จะต้อง"จ่าย"เพื่อ"ค่า"ของสิ่งนั้น ต่อเมื่อเวลาผ่านไป "ค่า"ของสิ่งนั้นอาจจะลดลงจนเป็นศูนย์ หากเราๆท่านๆจะใช้สิ่งนี้ จะไม่ต้อง"จ่าย"เพื่อ"ค่า"ของสิ่งนั้นแล้ว
9.ตัวอย่างของนวัตกรรมที่ว่า ก็เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เป็นต้น
10.ที่ว่ามาในข้อ 6.-10. จึงเรียกรวมๆว่า ค่าเช่าระยะยสั้นหรือกึ่งค่าเช่า(Quasi Ren)
โปรดอ่าน และพิจารณาก่อนเชื่อ เพราะนี่ เป็นความเข้าใจส่วนตัวของผู้ตอบเพียงคนเดียว!
แสดงความคิดเห็น
ด่วน!!! รบกวนถามเรื่อง กึ่งค่าเช่า Quasi Rent หน่อยค่า
ขอบคุณค่ะ